ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 660-662
บทที่ 662 ท่านมีเงินหรือไม่
พวกนางรีบร้อนเดินตรงไปที่หน้าประตูสวน เฉินหานเดินพลางเอ่ยถาม “น้องสี่ส่งข่าวให้ท่านแม่กับท่านป้าใหญ่ทราบแล้วใช่หรือไม่ แล้วน้องห้าตอนนี้อยู่ที่ใด ได้รับบาดเจ็บอันใดหรือเปล่า”
“เรียนคุณหนูสาม คุณหนูของพวกเราพอได้ยินสาวใช้ตัวน้อยบอกว่าคุณหนูห้าตกน้ำก็รีบให้คนนำความไปบอกกับฮูหยินทั้งหลายทันที พร้อมพาคนไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เพียงแต่ตอนคุณหนูของพวกเราไปถึง คุณหนูห้าก็ถูกคนช่วยขึ้นมาก่อนแล้ว คุณหนูของพวกผู้น้อยตัดสินใจให้พาคุณหนูห้าส่งกลับห้อง คุณหนูห้าไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอันใด แค่ตกใจเสียขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” ชิวสุ่ยเดินตามเฉินหานมาติดๆ พลางกล่าวรายงาน
เฉินหานใบหน้าเขียวคล้ำ โดยเฉพาะตอนได้ยินคำพูดที่ว่า ‘คุณหนูห้าถูกคนช่วยขึ้นมาก่อนแล้ว’ สีหน้าขยะแขยงจงเกลียดจงชังปรากฏอยู่บนหว่างคิ้วนางอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใดเป็นคนช่วยนางไว้” หลังจากหยุดไปสองสามอึดใจ ในที่สุดเฉินหานก็ถามออกมา น้ำเสียงเย็นเยียบกว่าเมื่อครู่
ชิวสุ่ยก้มหน้า ตอบอย่างคลุมเครือว่า “แขกบุรุษที่ลานด้านนอก…สั่งคนให้ลงไปช่วยเจ้าค่ะ”
แขกบุรุษ…
หูของเฉินอิ๋งได้ยินก็แต่สองคำนั้น
เฉินหานหันกลับมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าชวนหนาวสะท้าน ร่างทั้งร่างคล้ายถูกหุ้มห่อไว้ด้วยหิมะน้ำแข็ง ไร้สิ้นความอบอุ่นใดๆ “เหตุใดน้องห้าถึงไปที่ลานด้านนอกได้ คนที่ปกติทำตัวไม่ต่างจากนกกระทา วันทั้งวันรู้จักก็แต่หดหัวเช่นนั้นเอาความกล้าจากที่ใดเผ่นไปลานด้านนอก”
พอได้ยินเช่นนี้สีหน้าโกรธขึ้งชิงชังเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชิวสุ่ย นางกัดฟันกล่าว “คุณหนูห้าบอกว่าสาวใช้ข้างกายของคุณหนูรองเซี่ยมาเชิญนางไป ว่ากันว่าสาวใช้นางนั้นบอกกับคุณหนูห้าว่าคุณหนูรองเซี่ยกำลังดูการแสดงรอนางอยู่ที่โถงใหญ่ คุณหนูห้าเพราะไม่กล้าปฏิเสธจึงตามบ่าวนางนั้นไป ใครจะไปรู้ว่านางกลับพาคุณหนูเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็ไปถึงลานด้านนอก พอได้ยินเสียงบุรุษพูดคุยกัน คุณหนูห้าก็ลนลานตกใจ พลัดตกลงไปในสระ”
เฉินหานส่งเสียง “หึๆ” หัวเราะออกมาสองครา ทว่าใบหน้ากลับร้างไร้ซึ่งรอยยิ้ม น้ำเสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกเป็นที่สุด “ไม่ต้องบอกก็รู้ ยายคุณหนูรองเซี่ยนั่นไหนเลยจะยอมรับ”
ชิวสุ่ยแม้จะนึกโมโหแต่ก็ไม่อาจแสดงออกอันใด ทำได้เพียงบอก “คุณหนูของพวกเราถามนาง แต่คุณหนูรองเซี่ยกลับร้องไห้บอกว่าคุณหนูของพวกเราปรักปรำนาง อีกทั้งยังเรียกสาวใช้ข้างกายนางนั้นมาถาม คุณหนูของพวกเรามิได้พูดอันใดกับนางมากมาย ทำเพียงลากคนไปพบฮูหยินใหญ่”
เฉินหานถอนหายใจด้วยความขุ่นข้องออกมาอย่างหนักหน่วง
เฉินชิงเป็นก็แค่ดรุณีน้อยนางหนึ่ง เรื่องราวเกี่ยวกับชื่อเสียงของอิสตรีพวกนี้วาจาใดจากนางย่อมไร้น้ำหนัก มอบให้สวี่ซื่อจัดการนับเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เรื่องนี้เฉินชิงจัดการได้ดียิ่งนัก ยามนี้เด็กอย่างพวกนางย่อมไม่อาจสอดปากพูดแทรกอันใดได้
ทว่าเฉินหานกลับรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง
นางหลับตาพยายามควบคุมความรู้สึกกลัดกลุ้มอย่างสุดกำลังพลางเอ่ยปากถามเสียงแผ่ว “บุรุษที่ช่วยคุณหนูห้าไว้คือผู้ใด”
เมื่อครู่ชิวสุ่ยพูดคลุมเครือยิ่ง เฉินหานหมายถามให้กระจ่าง
พอได้ยินเช่นนั้นชิวสุ่ยก็กัดริมฝีปากไม่พูดตอบ ใบหน้าฉายแววลังเล
“รีบพูดออกมา เลิกอิดๆ ออดๆ ได้แล้ว!” เฉินหานร้อนรน คว้าคอเสื้อของชิวสุ่ย สีหน้าดุดันยิ่ง “เป็นพวกกเฬวรากต่ำชั้นตระกูลใดกล้าหมายตาคุณหนูจวนโหวของพวกเรา หรือเจ้าคิดจะช่วยคนพวกนั้นปิดบัง”
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็แทบจะรู้ได้ชัดแจ้ง เซี่ยเหยียนวางแผนชั่วช้าเช่นนี้ นางต้องร่วมหัวสมคบคิดกับลูกผู้ดีมีเงินชั้นต่ำที่ใดสักตระกูลแน่ เริ่มด้วยการลงมือทำลายชื่อเสียงของเฉินหยวนก่อน หลังจากนั้นค่อยใช้งานแต่งไม่คุ้มค่าเกี่ยวดองเป็นญาติกับตระกูลโหวเรืองอำนาจของพวกนาง
เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองหลวงไม่ใช่น้อย คุณหนูที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบสุดท้ายก็ได้แต่กล้ำกลืนแบกรับความอยุติธรรม
ชิวสุ่ยรีบส่ายหน้า แต่เพราะถูกกระชากคอเสื้อไว้เสียงพูดจึงขาดๆ หายๆ “มิใช่…คุณหนูสาม…มิใช่…คุณหนูปล่อยผู้น้อยก่อน ผู้น้อยจะเล่าให้คุณหนูฟังเดี๋ยวนี้”
เฉินหานคลายมือ สีหน้ายังคงชวนประหวั่น
ชิวสุ่ยมองซ้ายมองขวา ไม่กล้าเอ่ยปากเสียงดัง นางขยับเข้าไปกระซิบอยู่ที่ข้างหูเฉินหาน กล่าววาจาสองสามประโยคก่อนจะถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
เพียงคำพูดไม่กี่คำ เฉินหานก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมา
นางคล้ายตะลึงลาน กว่าจะมองไปทางชิวสุ่ยด้วยสายตาไม่อยากนึกเชื่อก็หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ “เจ้าดูไม่ผิด?”
“ผู้น้อยเห็นกับตา” ชิวสุ่ยจัดคอเสื้อ น้ำเสียงแผ่วเบา “คุณหนูของพวกผู้น้อยเองก็หมายจะไปเอ่ยปากขอบคุณ ทว่า…คนผู้นั้นไม่ยอม บอกให้รีบพาคุณหนูห้ากลับไป”
เฉินหานยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาเอาแน่เอานอนไม่ได้
ยามนี้พวกนางเดินพ้นออกจากสวนเหมยแล้ว กำลังเดินอยู่บนเส้นทางหินที่เชื่อมต่อไปยังเรือนรับรอง ทางด้านซ้ายลำธารไหลเอื่อย ต้นไม้รูปร่างแปลกตา สะพานไผ่ภูเขาหินจำลอง ทางขวาคือกำแพงขาว ด้านบนมีต้นไม้เลื้อยลาม ยามนี้แม้จะมิได้ผลิดอก แต่ก็ใบเขียวชอุ่มทับซ้อน ส่งเสียงซื่อซ่าทุกครั้งยามสายลมพัดผ่าน
น้ำเสียงจืดชืดโดดเดี่ยวทุกข์ระทม ใบไม้นับหมื่นส่งเสียงโอดครวญมิรู้สิ้น
สีหน้าของเฉินหานยามนี้ไม่ต่างอันใดกับเสียงดังกล่าว อ้างว้างยากเกินบรรยาย
นางมองดูเฉินอิ๋ง ฝืนฉีกยิ้มกล่าวขออภัย “คุณหนูใหญ่เฉินได้โปรดให้อภัยด้วย ในบ้านเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าคงต้องกลับไปช่วยจัดการก่อน ไม่อาจไปเรือนรับรองเป็นเพื่อนท่านแล้ว”
ความหมายปฏิเสธชัดแจ้งเช่นนี้เฉินอิ๋งมีหรือจะฟังไม่เข้าใจ เรื่องนี้เฉินหานไม่ต้องการให้นางยื่นมือเข้ามาสอดนั่นเอง
นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องชื่อเสียงของเฉินหยวนเพียงคนเดียวลำพัง หากยังโยงใยไปถึงชื่อเสียงของสตรีจวนโหวคนอื่นๆ ด้วย หากจัดการไม่เหมาะสมย่อมเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน
เฉินอิ๋งเข้าใจถึงความหมายของอีกฝ่ายดี ทว่าเรื่องที่ควรพูดไม่ว่าเช่นไรก็ต้องพูด “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้เร่งด่วนยิ่งนัก เพราะฉะนั้นข้าจะไม่พูดเหลวไหลไร้สาระอันใดทั้งสิ้น ที่ข้าต้องการพูดมีเพียงประโยคเดียวคือ…หากมีปัญหายากจะจัดการอันใด สำนักศึกษาสตรีเฉวียนเฉิงกับสถานพำนักเด็กและสตรียินดีให้ความช่วยเหลือ”
หากสุดท้ายเฉินหยวนไม่มีทางให้เดิน สำนักศึกษาสตรีและสถานพำนักยินดีเป็นเส้นทางใต้ฝ่าเท้าให้นาง
พอได้ยินเฉินอิ๋งพูดเช่นนั้นเฉินหานก็มีสีหน้าประหลาดใจคล้ายนึกซาบซึ้ง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจนางก็หลุดหัวเราะออกมาคราหนึ่ง โบกมือกล่าวว่า “หาใช่เช่นนั้นไม่ เรื่องนี้มิได้เป็นอย่างที่ท่านคิด ทว่าไม่ว่าเช่นไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านมาก มีคำพูดเช่นนี้ของท่าน น้องห้าต่อให้…ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว”
นางชักเท้าเดินขึ้นหน้าสองสามก้าว กุมมือของเฉินอิ๋ง ส่ายหน้าหนักแน่น
เฉินอิ๋งพยักหน้ากล่าว “รีบไปจัดการธุระของเจ้าเถิด”
เฉินหานส่งเสียง “อืม” ออกมาคราหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินขึ้นหน้าไป แต่เดินไปไม่กี่ก้าวจู่ๆ นางก็หันกลับมา ยิ้มบางพลางเอ่ย “ท่านดู นี่ก็คือเหตุผลที่ข้ากลัดกลุ้ม น้องห้าวันนี้โชคดี ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าชะตาชีวิตในวันข้างหน้าของนางจะเป็นเช่นไร นี่คือวันเวลาของข้าในยามนี้ แต่ละวันช่าง…”
จู่ๆ นางก็เงียบเสียงลง ทำเพียงนิ่งมองเฉินอิ๋ง คล้ายมีคำพูดนับหมื่นพันขณะเดียวกันก็คล้ายไม่มีอันใดจะกล่าว
เปาะ
ยามนี้เองไม่รู้ผู้ใดเหยียบกิ่งไม้หัก
เสียงแผ่วเบานี้สำหรับเฉินหานแล้วมันกลับไม่ต่างอันใดกับเสียงอสนีบาต
นางเนื้อตัวสั่นสะท้าน มองดูเฉินอิ๋งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จู่ๆ ก็คล้ายตัดสินใจแน่วแน่ นางกัดริมฝีปากแน่น ชักเท้าเดินกลับไปหยุดอยู่หน้าเฉินอิ๋ง เอ่ยปากอย่างรวดเร็วทว่าแผ่วเบา “มีเงินหรือไม่ พอจะให้ข้ายืมได้หรือเปล่า”
เฉินอิ๋งตะลึง คำพูดนี้หมายความเช่นไร จู่ๆ เฉินหานก็คิดจะยืมเงินนางหรือ
หลังจากตะลึงไปชั่วขณะ นางก็ย้อนถามเสียงแผ่ว “เจ้าต้องการเงินด้วยเหตุใด”
เฉินหานขมวดคิ้ว “ท่านแค่บอกมาก็พอว่าจะมีให้ข้าหยิบยืมหรือไม่”
เฉินอิ๋งครุ่นคิดและถาม “เจ้าต้องการเท่าใด”
“ตอนนี้ท่านพอจะดึงเงินออกมาได้เท่าไร” เฉินหานคล้ายลิงโลดยิ่ง นางขยับเข้าไปที่ข้างหูของเฉินอิ๋ง พูดเน้นเสียงคล้ายกลัวอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ “ข้าหมายถึงว่าตอนนี้เวลานี้ในมือท่านมีเงินอยู่เท่าใด”
คำพูดนี้แปลกประหลาดมากขึ้นทุกที ชวนให้คนสับสนไม่เข้าใจยิ่ง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มิ.ย. 66 เวลา 12.00 น.