บทที่ 1
ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
เซี่ยหมิงกวงขุนนางเจ้าเล่ห์แห่งยุคผู้นั้นแทบจะตายอยู่แล้ว ทว่ายังกอดตำแหน่งอัครเสนาบดีไม่ยอมปล่อย ยิ่งกว่านั้น วันนี้ยังถึงขั้นส่งฎีกาขึ้นมาบอกว่าจะมอบตำแหน่งนี้ให้กับหลานชายของตนเองเป็นผู้สืบทอด!
ไร้ยางอายเป็นเช่นไรน่ะหรือ…ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า!
ทั่วทั้งอาณาจักรต้าจิ้น ใครบ้างไม่รู้ว่าสกุลเซี่ยมีอำนาจคับฟ้าเพียงใด ลูกหลานหลายคนในตระกูลที่เป็นญาติใกล้ชิดของเซี่ยหมิงกวงล้วนแต่ไม่เอาไหน ที่สืบสายเลือดโดยตรงก็มีเพียงบุตรชายคนเดียว ซึ่งคนผู้นั้นก็คิดแต่จะหลอมยาแสวงหาความเป็นเซียนอยู่ทุกวัน ทั้งยังลาโลกไปก่อนเขาเสียอีก มิทันได้มีบุตรชายไว้สืบสกุลเลยด้วยซ้ำ
ฮ่องเต้บีบนวดขมับ แล้วเริ่มอ่านฎีกาอย่างละเอียด จะค้นหาให้ได้ว่าที่จริงแล้วสกุลเซี่ยไปมีหลานชายตั้งแต่เมื่อใด
ที่เซี่ยหมิงกวงเล่ามาในฎีกาก็นับว่ากระจ่างชัด เขาเล่าว่าก่อนบุตรชายของตนเองจะลาโลกก็เป็นคนเจ้าสำราญผู้หนึ่ง ตอนยังหนุ่มเคยลักลอบได้เสียกับสาวชาวบ้านจนให้กำเนิดบุตรชายมาคนหนึ่ง ให้ชื่อว่า ‘เซี่ยซู’ และรับกลับมาอยู่ด้วยกันที่จวนได้แปดปีแล้ว
เดิมทีชาวบ้านทั่วไปแห่งอาณาจักรต้าจิ้นจะไม่มีการแต่งงาน เซี่ยหมิงกวงรู้สึกว่าชาติกำเนิดของหลานชายผู้นี้ออกจะต่ำต้อยไปบ้าง ไม่มีหน้ามีตาเหมือนลูกหลานขุนนางคนอื่นๆ เขาจึงไม่กล้าเปิดเผยให้ฮ่องเต้ทราบ หลังจากอบรมสั่งสอนมาหลายปี ในที่สุดก็นับว่าใช้การได้ จึงให้หลานชายเข้าสู่แวดวงขุนนางเพื่อเรียนรู้ บัดนี้เซี่ยซูได้เป็นซื่อจง ฝ่ายตรวจสอบ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์รอบคอบยิ่ง เขาจึงค่อยกล้าเปิดเผย
กล่าวโดยสรุปก็คือ เซี่ยหมิงกวงรู้สึกว่าบัดนี้ตนเองจำต้องลาจากตำแหน่งแล้ว ทว่าตำแหน่งอัครเสนาบดีนี้ไม่อาจปล่อยให้ว่างเว้นได้ ผู้อาวุโสยึดถือจิตใจที่เปี่ยมด้วยความเสียสละและคิดอุทิศตัวชนิดที่ว่าข้าไม่ลงนรกแล้วผู้ใดจะลง จึงตัดสินใจผลักดันหลานชายขึ้นสืบทอดตำแหน่งนี้ต่อ
เซี่ยหมิงกวงกล่าวขึ้นอย่างถ่อมตัวว่า “ฝ่าบาทโปรดรับคนไว้ใช้สอยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“บังอาจนัก!” อาณาจักรต้าจิ้นให้ความสำคัญเรื่องสายเลือดของสกุลมากที่สุด ฮ่องเต้ก็ไม่อยู่ในข้อยกเว้น พออ่านจบแล้วก็บันดาลโทสะจนปาฎีกาลงกับพื้น “อัครเสนาบดีเซี่ยคิดจะตั้งคนตามอำเภอใจอย่างนั้นรึ! เซี่ยซูผู้นี้ก็แค่บุตรชายนอกสมรสที่มีสายเลือดชาวบ้านผู้หนึ่งมิใช่หรือ ไม่พูดพล่ามอะไรก็ตั้งให้เป็นซื่อจงเสียแล้ว มาบัดนี้ยังคิดจะให้ก้าวพรวดเดียวขึ้นไปเป็นอัครเสนาบดี? หึ! เราว่าคนแก่เช่นเจ้าคงกระดูกเหล็กฟันทองแดง คิดจะฮุบอำนาจในราชสำนักไว้ไม่ยอมปล่อย ยังเห็นฮ่องเต้อย่างเราอยู่ในสายตาอีกรึ!”
ทุกคนต่างก้มหน้า ทั่วท้องพระโรงพลันเงียบกริบ
ฮ่องเต้จึงค่อยตระหนักได้ ตระกูลใหญ่หลายตระกูลในราชสำนักล้วนถูกสกุลเซี่ยกดข่มจนไม่กล้ามีปากมีเสียง บัดนี้ขุนนางกว่าครึ่งล้วนเป็นคนของสกุลเซี่ยแล้ว! ฮ่องเต้กริ้วเสียจนโลหิตแทบเอ่อขึ้นมาในคอ หวิดจะเป็นลมแล้ว
เซี่ยหมิงกวงสมกับเป็นขุนนางเจ้าเล่ห์อันดับหนึ่ง ทั้งที่เหลือลมหายใจอีกแค่เฮือกเดียวก็ยังสามารถบีบบังคับฮ่องเต้ได้ โดยให้ขุนนางที่เป็นพรรคพวกของตนมารบกวนฮ่องเต้อยู่ทุกวันมิได้ขาด ทยอยกันส่งฎีกาขึ้นมาฉบับแล้วฉบับเล่าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย โดยไม่คิดจะหยุดพักกันเลยสักนิด
เห็นทีหากอัครเสนาบดีคนใหม่ไม่ใช่แซ่เซี่ย เซี่ยหมิงกวงคงนอนตายตาไม่หลับเป็นแน่
“น่าโมโห น่าโมโหจริงๆ!” ฮ่องเต้กริ้วเสียจนหนวดกระตุก จะหาใครสักคนที่พอพึ่งพาได้ในหมู่ขุนนางนั้นไม่มีเลย จะมีก็ต้องไปหาไทเฮาที่วังโซ่วอันเท่านั้น