ฝ่ายที่หนุนข้างอู่หลิงอ๋องก็ตวาดกลับมาทันที “ที่พูดถึงก็คืออัครเสนาบดีที่ไม่คู่ควรผู้นั้นน่ะสิ! ทำไมเล่า เขามีอะไรเทียบเคียงอู่หลิงอ๋องของพวกเราได้หรือ อู่หลิงอ๋องต่างหากถึงจะสง่างามจนผู้ใดก็ไม่อาจเทียบได้!”
“เจ้ามันตาไร้แวว! ไหลฝู กัดนางซะ!”
“มาสิ คิดว่าข้ากลัวรึ!”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันเป็นพัลวัน
ทางนี้สู้กันอุตลุด ทางนั้นก็มีคนอยากรู้อยากเห็นคิดชะเง้อคอเข้ามาดูใกล้ๆ จึงไม่ทันระวังถูกคนข้างหลังผลักออกมา ก่อนชนทหารองครักษ์ที่กั้นถนนนายหนึ่งจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน หอกยาวในมือทหารองครักษ์พุ่งเข้าไปขัดในซี่ล้อรถม้าอย่างพอดิบพอดี ทว่าม้ากลับไม่ได้หยุดวิ่ง รถม้าจึงถูกกระชากจนแล่นแฉลบออกข้าง ตัวหอกครูดไปกับผืนดิน เห็นๆ อยู่ว่าจะแทงถูกคนเข้าให้แล้ว
ชายสวมชุดชาวหูรีบควบม้ามาหมายรั้งม้าเทียมรถเอาไว้ ทว่ากลับเห็นคนในรถชะโงกหน้าออกมาเสียก่อน เขาตวัดแส้คราหนึ่งก็เกี่ยวหอกเล่มนั้นหลุดออกไปจากซี่ล้อ
คนทั้งหลายมองภาพเหตุการณ์ไม่วางตา สายตาเคลื่อนไปตามการขยับของแส้นั้นอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งหอกเล่มนั้นกระเด็นไปปักพื้นดินแล้วจึงค่อยได้สติ แต่เมื่อหันไปมองที่รถม้าอีกครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นก็กลับเข้าไปนั่งตามเดิมแล้ว แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่โผล่ออกมาให้เห็น
ชายในชุดชาวหูลงจากหลังม้า มือข้างหนึ่งกุมกระบี่เดินอาดๆ ไปยังทหารองครักษ์และชาวบ้านที่ล้มกลิ้ง ทั้งสองตกใจจนใบหน้าเผือดสี ต่างคุกเข่าขออภัยไม่หยุด
“ช่างเถอะ ฝูเสวียน” มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมาจากในรถ น้ำเสียงทุ้มต่ำเนิบช้า ฟังแล้วมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
บุรุษที่ชื่อฝูเสวียนจึงต้องถอยกลับมาแล้วพลิกร่างขึ้นหลังม้า เปิดทางใหม่อีกครั้ง
“ท่านผู้นั้นคงเป็นอู่หลิงอ๋องกระมัง” ชาวบ้านนึกรู้ได้ในทันที
เซี่ยซูนั่งดื่มชาอยู่ในห้องหนังสือ พอฟังรายงานจากมู่ไป๋แล้วก็เลิกคิ้วประหลาดใจ “อู่หลิงอ๋องผู้นี้ช่างลึกลับเสียจริง”
มู่ไป๋ยังคงมีท่าทีดูแคลนอยู่ “ทำตัวลึกลับไปอย่างนั้นเองแหละขอรับ!”
เซี่ยซูเดาะลิ้นแล้วเอ่ยว่า “เห็นทีน่าจะเป็นบุรุษรูปงาม”
“ชิ! เทียบกับขนสักเส้นของคุณชายไม่ได้เลย!”
เซี่ยซูหันไปมองมู่ไป๋อย่างชื่นชม “เจ้านี่ตาถึง”
อู่หลิงอ๋องกลับเมืองหลวงมาคราวนี้เป็นที่ปลาบปลื้มของฮ่องเต้ยิ่งนัก ว่ากันว่าวันนั้นพระองค์มีรับสั่งเรียกเขาเข้าวังไปสนทนาอย่างสนิทสนม พูดคุยกันยาวนานตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว
พวกเขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน เซี่ยซูก็ไม่ดีกว่ากันสักเท่าไรนัก ในเมื่อฮ่องเต้เห็นนางเป็นดั่งหนามตำตา อู่หลิงอ๋องเองก็มีความแค้นกับสกุลเซี่ย เมื่อสองคนที่เห็นนางเป็นศัตรูมารวมตัว เกรงว่าคงคิดหาวิธีเข่นฆ่านางได้หลายสิบวิธีแล้วกระมัง
เฮ้อ! แย่จริง จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรกันเล่าครานี้
ฮ่องเต้สนทนาจนเหนื่อยล้ามาทั้งคืนแล้ว วันต่อมาจึงงดการเข้าเฝ้ายามเช้า เซี่ยซูรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่มารัดหน้าอก
ทว่าเพิ่งจะลิงโลดอย่างตื่นเต้นยินดีไม่ทันไร มู่ไป๋ก็ปรี่เข้ามาหาแต่ไกลแล้ว “คุณชาย อู่หลิงอ๋องเพิ่งจะให้คนเอาของกำนัลของท่านมาคืนขอรับ”
มู่ไป๋ถูกล้างสมองนานแล้วว่า ‘สกุลเซี่ยเป็นที่หนึ่งในต้าจิ้น’ เขาไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าการส่งของกำนัลไปให้อู่หลิงอ๋องเป็นการผูกสัมพันธ์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับมองว่าเป็นการทำทานเสียมากกว่า เมื่อคนผู้นั้นส่งของมาคืนเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจ จนนึกอยากจะยุให้เซี่ยซูไปปะทะกับอู่หลิงอ๋องสักรอบหนึ่งด้วยซ้ำ
เซี่ยซูนึกสงสัยครามครัน เห็นทีอู่หลิงอ๋องคงหาทางขีดเส้นแบ่งแยกกับนางสักแปดส่วน นางจึงเบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ แล้วแต่เขาก็แล้วกัน”
“คุณชาย…” มู่ไป๋ร้องเสียงหลง ท่านทำอะไรมากกว่านี้สักหน่อยเถอะ!