อัครเสนาบดีถูกมารดาของตนเองต่อว่าด่าทอเสียยกใหญ่ต่อหน้าบ่าวรับใช้ในเรือนของตนเอง เรื่องเช่นนี้แม้อยากจะปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด เซี่ยซูรู้ว่าอู่หลิงอ๋องจะต้องทำอะไรสักอย่างแน่
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็รีบมาที่จวนอัครเสนาบดี แต่ไม่ได้เข้าไป บอกเพียงว่ารู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้า ทำได้เพียงส่งเทียบเชิญเข้ามาฉบับหนึ่ง
เซี่ยซูรับมาอ่าน เว่ยอี้จือเริ่มด้วยการแสดงการขอโทษอย่างจริงใจที่เสียมารยาทด้วยการไม่ไปต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งที่นางอุตส่าห์มาเยือนถึงเรือนที่ต่ำต้อย จากนั้นจึงพูดแทนมารดาของเขาด้วยถ้อยคำดีๆ สองสามประโยค
เอาล่ะ ไม่ใช่แค่สองสามประโยคหรอก
เซียงฮูหยินเป็นชาวลั่วหยาง หลงใหลในดอกไม้นานาพรรณ โดยเฉพาะดอกเบญจมาศ ทว่าน่าเสียดาย แม่น้ำและขุนเขาอันงดงามในยามนี้ล้วนถูกแคว้นฉินแย่งชิงไปหมดแล้ว นางไม่อาจกลับไปบ้านเกิดได้อีก และไม่อาจยลบุปผาอันลือชื่อได้อีกต่อไป
ตอนนั้นทางเหนือมีการสู้รบวุ่นวาย ตะวันออกแยกขาดจากตะวันตก เซียงฮูหยินยังเยาว์วัยนัก ยามต้องอพยพย้ายครอบครัวลงใต้จึงมีสองสิ่งที่ไม่อาจตัดใจ หนึ่งคือบิดาที่นางจำต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง และอีกหนึ่งคือดอกเบญจมาศงามยวนเสน่ห์ที่นางเพาะเอาไว้ที่เรือน
มารดาของเซียงฮูหยินจึงสั่งให้คนนำเบญจมาศสองกระถางลงใต้มาด้วย ระหว่างการเดินทางอันยากลำบาก โชคดีที่ได้คนมีฝีมือมาช่วยดูแล ดอกเบญจมาศจึงรอดมาได้
จากนั้นมาเซียงฮูหยินก็ไม่ได้พบหน้าบิดาอีกเลย เห็นแค่เพียงมารดาคอยประคบประหงมแปลงดอกไม้ด้วยตนเอง และทุกครั้งที่มารดาเห็นก็จะหวนนึกถึงบ้านเกิดจนน้ำตาหลั่งริน
ดังนั้นเซียงฮูหยินจึงได้รักทะนุถนอมเบญจมาศสองต้นนี้มาก ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดก็ต้องย้ายเบญจมาศไปด้วย ทั้งยังลงมือปลูกใหม่ด้วยตนเอง ไม่เคยให้ต้นเบญจมาศได้อยู่ห่างกาย และต้นเบญจมาศที่นางชอบมากที่สุดก็คือต้นที่เซี่ยซูเด็ดกลีบมานั่นเอง
เซี่ยซูอ่านถึงตรงนี้ก็ตบโต๊ะรัวๆ เว่ยอี้จือพูดจาเหลวไหลได้คล่องปากนัก บอกว่านางเด็ดกลีบดอกไม้ก็ช่างเถอะ แต่อีกไม่นานเบญจมาศดอกนั้นก็จะร่วงโรยไปเหมือนท่านตาของเขาแล้วนี่
ตระกูลของเซียงฮูหยินเป็นญาติกับสกุลหวังแห่งหลางหยา บิดาของนางเซียงอี้เฟิ่งตอนนั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อคราวที่ทางเหนือเกิดเหตุวุ่นวายเพราะชนเผ่าเซียนเปย ลุกฮือขึ้นต่อสู้นั้น เขาก็ยืนหยัดสู้โดยไม่ยอมหนี กระทั่งถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดี ภายหลังถูกตีกระหนาบจากทั้งเผ่าซยงหนูและเซียนเปย เขาจึงสละชีพในการสงคราม สมแก่การเชิดชูว่าเป็นผู้มีความจงรักภักดี
หลายสิบปีให้หลัง เว่ยอี้จือก็ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินจนสงบสุข เขามีผลงานในการสู้รบอย่างโดดเด่น จนมีคำพูดในหมู่ชาวบ้านว่า…เขาได้สร้างชื่อให้แก่สกุลเว่ยจนต่อเนื่องไปถึงอีกรุ่นหนึ่ง ทว่าชื่อเสียงด้านความภักดีและกตัญญูก็ได้รับการสืบทอดมาจากทางเซียงอี้เฟิ่งนี่เอง
จะว่าไปแล้ว เซี่ยซูหาใช่เพียงแค่ทำลายกลีบดอกไม้โดยไม่ทันระวัง แต่ยังทำร้ายผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมและขุนนางภักดีแห่งต้าจิ้น อย่าว่าแต่ถูกต่อว่าอย่างหนักเลย ต่อให้ถูกเฆี่ยนตีเพื่อลงโทษก็ยังสาสม!
ตอนท้ายของจดหมายเทียบเชิญ เว่ยอี้จือบอกว่า ‘สองสามวันนี้อากาศดีมาก จะนัดพบก็อย่านัดพบที่จวนเลย พวกเราไปพบปะกันเป็นการส่วนตัวที่อื่นเถอะ!’
เซี่ยซูปาเทียบเชิญทิ้ง แล้วร้องสั่งอย่างเกรี้ยวกราด “มู่ไป๋ เตรียมรถ!”