เรื่องที่เซี่ยซูรับนักดนตรีชายจากท่านเจ้าเมืองหวังเป็นของกำนัลแพร่สะพัดไปทั่วทุกถนนและทุกตรอกแล้ว
“ไม่ ท่านอัครเสนาบดีของข้าไม่ใช่ผู้ที่ชมชอบบุรุษ!” หัวใจหญิงสาวที่ยังไร้คู่ทั้งหลายต่างแหลกสลาย
ฝ่ายผู้สนับสนุนอู่หลิงอ๋องถึงคราวเชิดหน้าได้ในที่สุด “ฮ่าๆ ถึงอู่หลิงอ๋องจะแต่งงาน แต่ก็ยังดีกว่าไปชมชอบบุรุษเพศก็แล้วกัน พวกเจ้าสิต้องระทมขมขื่นยิ่งกว่าพวกข้า!”
คนที่มองอย่างเข้าใจก็โต้กลับไปว่า “ท่านอัครเสนาบดีเปี่ยมด้วยเสน่ห์จนแม้แต่บุรุษยังไม่อาจต้านทานต่างหาก ย่อมเหนือกว่าอู่หลิงอ๋อง!”
หวังลั่วซิ่วนั่งอยู่ในศาลาพักร้อน หูได้ยินหวังจิ้งจือเอ่ยสนทนากับเว่ยอี้จือ ในห้วงความคิดอดจะหวนนึกถึงเซี่ยซูที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้ในคืนนั้นไม่ได้
ท่ามกลางแสงคบไฟสว่างโชติช่วง คนผู้นั้นนั่งร่วมโต๊ะด้วยชุดสีขาวดูสง่างาม ด้านหลังเป็นบึงน้ำเขียวใส เขาดูราวกับดอกบัวสีขาวที่เบ่งบานอย่างเต็มที่
หากเซี่ยซูเป็นหิมะบนยอดเขา เว่ยอี้จือก็เปรียบเสมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้า หวังจิ้งจืออยากให้น้องสาวแหงนหน้ามองฟ้า ทว่านางกลับมองไปยังยอดผาสูงชันแทนเสียได้
แต่เหตุใดเซี่ยซูจึงต้องมานิยมชมชอบบุรุษด้วยเล่า…
“ข้าชอบบุรุษอย่างนั้นหรือ” เซี่ยซูมองมู่ไป๋แล้วชี้มาที่จมูกตนเอง
มู่ไป๋เบ้ปาก “บ่าวไม่ได้เป็นคนพูดนะขอรับ”
มุมปากเซี่ยซูถึงกับกระตุก เหลวไหลน่า นางย่อมชมชอบบุรุษแน่ แต่ในสายตาคนนอกกลายเป็นนางนิยมในเพศเดียวกันเสียแล้ว
เฮ้อ เกรงว่าชาวบ้านคงจะว่างงานเกินไป พวกนิยมชมชอบเพศเดียวกันมีตั้งมากมาย ไยจ้องจับผิดแต่ข้าผู้เดียวเล่า พอมาคิดดูดีๆ มีเสียงเล่าลือเช่นนี้ก็ไม่นับว่าแย่อะไร อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องคิดเรื่องหาหญิงสาวมาแต่งงานเป็นการชั่วคราวแล้ว
“ช่างเถอะ อย่าได้ไปใส่ใจ” เซี่ยซูโบกมืออย่างไม่แยแส
มู่ไป๋เดินหน้ามุ่ยออกไป ตั้งใจว่าจะไปจุดธูปบอกเซี่ยหมิงกวง
พอเรื่องที่เซี่ยซูชมชอบบุรุษเพศถูกลือออกไป ดูเหมือนว่าคนในราชสำนักจะเกิดความหวั่นไหวเป็นอันมาก
ขุนนางใหญ่ที่ไม่ได้นิยมบุรุษต่างรู้สึกหวาดหวั่น พยายามปลีกตัวออกห่างจากเซี่ยซู แม้แต่เว่ยอี้จือซึ่งเคยแอบไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งก็ยังเย็นชาห่างเหินจากเดิมมาก
บางคนกลับรู้สึกว่าเซี่ยซูดูสง่างามขึ้นมาก ได้เป็นคู่รัก ‘ตัดแขนเสื้อ’ ของเขาก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร กลายเป็นฝ่ายเข้ามาพะเน้าพะนอประจบเอาใจเสียอย่างนั้น
ช่วงนี้ยามเซี่ยซูเข้าเฝ้าจึงมักมีคนส่งสายตาหวานหยดย้อยมาให้ ช่างชวนให้รู้สึกปั่นป่วนมวนท้องอย่างบอกไม่ถูก…
มีคนมารบกวนนางมากมายเช่นนี้ จนนางแทบจะลืมเลือนฉู่เหลียนที่เป็นตัวต้นเรื่องทั้งหมดแล้ว
เซี่ยซูอยู่ทำงานในวังจนฟ้ามืดจึงค่อยกลับจวน กวงฝูรออยู่ที่ประตูห้องหนังสือ พอเห็นนางมาถึงเขาก็ประคองผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งยื่นส่งให้ “คุณชายของบ่าวให้บ่าวนำสิ่งนี้มามอบแก่ท่าน บอกว่านักดนตรีผู้นั้นให้นำมามอบให้ท่านขอรับ”
เซี่ยซูรีบรับไปเปิดห่อผ้าออกดู ในนั้นคือเชือกปอขดเป็นวงเส้นหนึ่ง ปลายเชือกติดเขี้ยวสัตว์ไว้ซี่หนึ่ง เขี้ยวนั้นดูเหลืองๆ ปลายเขี้ยวถูกฝนจนมน
นางตะลึงงันไปทันใด ในที่สุดก็นึกออกแล้วว่าฉู่เหลียนคือใคร