ตอนที่เว่ยอี้จือลากลับไป ชาวบ้านตามท้องถนนเริ่มจุดไฟแล้ว ตามร้านน้ำชาและร้านขายสุรามีเสียงร้องเพลงบรรเลงดนตรีดังแว่วมาเป็นครั้งคราว ทั้งยังมีเสียงผู้คนถกกันเรื่องอัครเสนาบดีกับนักดนตรีผู้นั้น
ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับพี่ชายก็มีทั้งคนถกกันถึงเรื่องนี้ด้วยความสะใจและเห็นใจเช่นเดียวกัน ทว่าพวกเขาก็แค่คนนอก ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าคนที่ต้องประสบเรื่องราวเช่นนี้ แท้จริงแล้วจะรู้สึกเช่นไร
กลับมาถึงจวน เว่ยอี้จือก็ค้นหายาบำรุงที่ได้รับพระราชทาน เขานำออกมาแล้วสั่งให้ฝูเสวียนนำไปมอบแก่เซี่ยซู
“เหตุใดจู่ๆ จวิ้นอ๋องก็…” ฝูเสวียนถึงกับหลุดปาก แต่แล้วก็สงบปากได้ทัน
เว่ยอี้จือโบกมือไล่ “ไปเถอะน่า”
ตี้ถานตั้งอยู่ทางใต้ของภูเขาฟู่โจว ที่นี่เป็นสวนสมุนไพรของเชื้อพระวงศ์ เป็นที่เพาะปลูกพืชสมุนไพรนานาชนิดเพื่อเอาไว้ใช้สอยในพระราชวัง
หลังจากเซี่ยซูพักฟื้นอยู่ที่บ้านได้หลายวัน นางก็ไปที่ตี้ถานเพียงลำพัง เลือกพื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่งในนั้นฝังเขี้ยวซี่นั้นไว้ ทำเหมือนว่าเป็นสุสานรำลึกถึงสหายเก่า
เซี่ยซูยืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง นางหอบเอาอาหารแห้งกับสุราอย่างดีห่อใส่เสื้อคลุมมาด้วย ตอนเด็กๆ หู่หยาวิ่งวุ่นเพื่อปากท้อง มาบัดนี้ได้ฝังร่างอย่างสงบใต้ผืนดิน นางจะต้องเซ่นไหว้ดวงวิญญาณให้เขาเป็นอย่างดี แต่เพื่อไม่ให้มีใครดูออก นางจึงต้องห่ออาหารไว้แล้วฝังลงดิน ส่วนสุราชั้นดีนั้นก็สาดให้ไหลซึมลงบนผืนดิน สุสานจำลองก็ทำขึ้นเพียงเล็กๆ เท่านั้น
หากแน่ใจว่าหู่หยาตายแล้วจริงๆ ก็ค่อยสร้างเป็นสุสานใหญ่ให้
ตอนที่ออกมาจากตี้ถาน จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงบรรเลงกู่ฉิน ดังแว่วมาจากทางเขาฟู่โจว นางนึกแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงเดินเลียบทางเดินบนเขาไป
นี่เป็นเวลาเที่ยงวัน แสงแดดแรงกล้า นางแต่งกายรัดกุมทั้งเสื้อตัวกลางและเสื้อนอก ยามนี้เมื่อได้เดินไปตามทางบนเขาแล้วจึงค่อยรู้สึกเย็นสบาย
ศาลาพักร้อนที่นางนัดพบกับเว่ยอี้จือเมื่อคราวก่อนมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาปล่อยผมสยาย สวมเสื้อหลวมๆ กำลังกรีดนิ้วเล่นพิณ ในภูเขาที่มีบรรยากาศอันเงียบสงบ มีเพียงเขานั่งอยู่ผู้เดียว แม้แต่คนคอยรับใช้สักคนก็หามีไม่
เซี่ยซูมิได้ชื่นชอบเสียงบรรเลงดนตรีเท่าไรนัก ทว่าที่ตามมาดูก็เพราะนางได้ยินเสียงเพลงแล้วทำให้นึกถึงหู่หยา ยามนี้จึงถูกดึงดูดไว้ด้วยท่าทางสบายๆ ของบุรุษผู้นี้ นางอดใจไม่ไหวต้องเดินเข้าไปหาเขาอีกสองสามก้าว
คนผู้นั้นได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันมามอง เพียงแค่การเหลือบมองด้วยหางตาก็ดูสง่างามน่ามองอย่างมิอาจบรรยายได้แล้ว
“อ้าว มิใช่ท่านอัครเสนาบดีหรอกหรือ”
เซี่ยซูยิ้มแล้วเดินเข้าไปในศาลา “ท่านเจ้าเมืองหวังมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หวังจิ้งจือหยุดดีดพิณ เขาหยิบจอกสุราที่อยู่ข้างๆ แล้วยิ้ม “นึกอยากจะมาก็มาน่ะสิ ท่านอยากมาร่วมดื่มกับข้าด้วยหรือไม่”
เซี่ยซูนั่งลงเบื้องหน้าเขา “ก็ดีเหมือนกัน”
หวังจิ้งจือดูท่าทางเริ่มเมามายแล้ว แววตาเลื่อนลอย เขารินสุราให้เซี่ยซูแล้วเอ่ยว่า “ท่านดูเหมือนจะชอบนักดนตรีที่ข้าส่งตัวไปให้มากทีเดียว”
เซี่ยซูนิ่งอึ้ง “ว่าอะไรนะ”
“สีหน้าท่านดูหม่นหมอง จะต้องเป็นเพราะยังคิดถึงเขาอยู่กระมัง”