บทที่ 1
ดาวหางพุ่งปราดข้ามผืนนภา…
อาลักษณ์จดบันทึกตามจริง รัชทายาทในรัชศกนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว
นี่คือจุดเริ่มต้นชีวิตอันรุ่งโรจน์ของฉืออิ๋งที่เปิดเผยในบันทึก นับแต่นั้นมาฉืออิ๋งก็บังเกิดความเคียดแค้นกับหลันไถมาเป็นสิบปี
ความเคียดแค้นของฉืออิ๋งปรากฏเป็นการรวบรวมความผิดของหลันไถ แล้วยุแยงให้สหายร่วมชั้นเรียนที่สำนักศึกษาเจาเหวินคล้อยตาม บรรดาลูกหลานพวกนี้ก็จะนำเรื่องราวพวกนี้ไปถ่ายทอดให้บิดาของพวกเขาที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักฟังและเขียนฎีการ้องเรียน
ทว่าทุกครั้งที่จู่โจม หลันไถก็เป็นเหมือนวัวดินปั้นลงทะเล ไม่เคยสั่นคลอนหลันไถได้เลยสักนิด
มีเพียงครั้งเดียวที่ฉืออิ๋งใช้สำนักตรวจการเล่นงานหลันไถ ผลคือสำนักตรวจการตั้งข้อกล่าวหาอันหนักหน่วงรุนแรงในปีนั้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทุกคนในราชสำนัก ยกเว้น…หลันไถ
หลันไถคือดาวที่สว่างเจิดจ้าซึ่งรายล้อมด้วยศัตรู ไม่ว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ การจู่โจมทั้งหมดล้วนไร้ผล เพียงเพราะคนผู้เดียว
หัวหน้าสำนักหลันไถ…ไป๋สิงเจี่ยน
ตั้งแต่ไป๋สิงเจี่ยนเข้ามาควบคุมดูแลหลันไถ ก็ยังไม่มีผู้ใดสร้างแรงกระทบต่อหลันไถได้เลย ส่วนพวกที่สร้างความวุ่นวายให้กับหลันไถต่างก็ถูกไป๋สิงเจี่ยนตวัดปลายพู่กันเล่นงาน อย่างเบาก็ถูกลดตำแหน่งเนรเทศ อย่างหนักก็ถูกตัดหัวยึดทรัพย์
ผลลัพธ์จากการที่ฉืออิ๋งใช้สำนักตรวจการเล่นงานหลันไถก็คือทำให้สำนักตรวจการถูกเปลี่ยนยกชุด ฉืออิ๋งถูกกักบริเวณ หากไม่ใช่เพราะบิดารักนางสุดชีวิต ช่วยพูดโน้มน้าวมารดาให้จนถึงขั้นสวมบทเศร้าโศก เพื่อเป็นการปลอบประโลมบิดาแล้ว มารดาจึงยอมจบเรื่องนี้ด้วยการผ่อนโทษหนักให้นาง จากที่กักบริเวณหกเดือนก็เหลือเพียงสามเดือน ชั่วขณะนั้นฉืออิ๋งพลันรู้สึกว่าตนเองอาจไม่ใช่ลูกในไส้ของมารดาก็เป็นได้
“องค์หญิง ทรงรีบตื่นเร็วเข้า! ‘ใครผู้นั้น’ มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เดิมทีฉืออิ๋งกำลังสัปหงกท่ามกลางเสียงพูดคุยของสหายร่วมชั้นเรียน ทว่าจู่ๆ ทั้งห้องก็เงียบเสียง รวมกับที่บุตรชายของเสนาบดีกรมอาญาซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังใช้เท้าเตะม้านั่งของนางจนสุดแรง นางก็ปรือตามองไปที่ประตูห้องเรียน ทันใดนั้นความงัวเงียก็พลันหายวับไป
สำนักศึกษาเจาเหวินนั้นเป็นสำนักศึกษาชั้นยอดของอาณาจักร ซึ่งรองรับผู้เรียนได้ยี่สิบคน ถือเป็นสำนักศึกษาสำหรับราชนิกุลและบุตรหลานจากตระกูลใหญ่ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้มงวดใส่ แม้แต่หัวหน้าสำนักศึกษาก็ยังเตลิดหนีไปแล้วห้าคน อาจารย์ของแต่ละวิชาแทบจะเปลี่ยนกันไม่ซ้ำหน้า แทบไม่มีใครรับหน้าที่ได้นานถึงหนึ่งปี ทว่ากลับมีผู้หนึ่งเป็นข้อยกเว้น
ไม่ผิดเลย คนผู้นั้นก็คือหัวหน้าสำนักหลันไถผู้นั้น!
สองปีก่อน จักรพรรดินีที่กลัดกลุ้มจนหลับไม่ลงก็มีรับสั่งให้ไป๋สิงเจี่ยนมารับหน้าที่อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในสำนักศึกษาเจาเหวินเพิ่ม ทันทีที่ผู้เรียนในสำนักศึกษาเจาเหวินทราบข่าวนี้ก็เหมือนกับฝันร้าย พวกเขาตกใจร้องไห้จนถึงขั้นอยากเลิกเรียน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ล้วนถูกบิดาผลักไสกลับมา ดังนั้นจึงมีเพียงชั้นเรียนที่ไป๋สิงเจี่ยนสอนเท่านั้นที่ผู้เรียนทุกคนต้องเงียบเสียงและอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เนื่องจากพวกเขาไม่อาจล่วงเกินคนผู้นี้ได้ นี่ก็คือการสั่งสอนด้วย ‘เลือดและน้ำตา’ ของบิดาพวกเขา
ในเวลานี้เจ้าของชื่อที่ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวนอย่างไป๋สิงเจี่ยนก็กำลังเดินเนิบช้าเข้ามาในห้องเรียน อันที่จริงที่ห้องเรียนเงียบเสียงลงนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขามองเห็นไป๋สิงเจี่ยน แต่เป็นเพราะรู้ว่าเขามาถึงแล้วต่างหาก!
ก่อนหน้าที่ตัวคนจะมาถึง เสียงจากไม้เท้ากระทบพื้นหินอ่อนก็ดังเข้ามาในห้องที่มีแต่เสียงหัวเราะพูดคุยก่อนแล้ว เนื่องจากพวกเขาฝึกฝนมานับร้อยครั้งจนโสตประสาทสามารถจับเสียงนี้ได้อย่างแม่นยำ จึงรับรู้ได้ว่าไป๋สิงเจี่ยนกำลังเดินอยู่บนทางเดินที่มีดอกไม้ห้อยย้อยลงมา…ห่างออกไปยี่สิบจั้ง
ฉืออิ๋งเช็ดคราบน้ำลายบนหนังสือก่อนฝืนยืดตัวตรง แล้วเหลือบตามองไป