“อาจารย์ ท่านเขียนอะไรอยู่หรือ” นางกะพริบตามอง พอได้นอนอย่างเต็มอิ่มแล้ว ดวงตาก็ใสแจ๋วเป็นประกาย
ไป๋สิงเจี่ยนปิดฎีกา บังให้พ้นสายตาฉืออิ๋ง “องค์หญิงตื่นแล้ว เชิญกลับวังได้พ่ะย่ะค่ะ หากยังไม่ยอมกลับก็อยู่ช่วยทำงานทั่วไปได้”
“ท่านไม่ได้บอกว่าเรื่องนั้นถือว่าจบกันไปแล้วหรอกหรือ” ฉืออิ๋งถอยไปไกลหลายจั้งในทันที นางพลิ้วตัวพุ่งไปนอกประตู “ข้าไปล่ะ หลันไถไม่ต้องส่งแล้ว!”
ไป๋สิงเจี่ยนไม่มีอารมณ์ออกไปส่งฉืออิ๋งสักนิด ด้วยเชื่อว่านางไม่มีทางกล้าอยู่ต่อแน่ เขาเปิดฎีกาออกอีกครั้ง ที่เขียนทูลเสนอนี้คือบันทึกเหตุการณ์ที่ป๋อหลิงที่เสร็จเรียบร้อย หากไม่มีเหตุอื่นใด พรุ่งนี้เขาก็จะนำผลงานเล่มนี้ทูลรายงานแก่ฝ่าบาท
เขายกมือที่หนักอึ้งฉีกฎีกานั้นทิ้ง ก่อนโยนลงกระถางสำริดจุดไฟเผา ทว่าที่เสียดายมิใช่คุณงามความดีนี้ แต่เป็นหยาดเหงื่อของเซ่าลิ่งสื่อ…ชุยซั่ง
ก่อนหน้านึกว่าเรื่องที่เขียนฎีกาจะยังเหลือโชคได้ทูลจักรพรรดินี แต่เมื่อมาถูกฉืออิ๋งเห็นเข้าเช่นนี้ จากที่มีโชคก็กลายเป็นสูญเปล่า นี่เป็นเพราะเขาคิดมากเองด้วย เดิมทีแค่ฉืออิ๋งเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาไม่จำเป็นต้องคิดในแง่ร้ายเพียงนี้ก็ได้ ทว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่หลันไถยังคงยืนหยัดมาได้อย่างมั่นคง ไม่ล้มลงท่ามกลางสายตาของเสือที่จับจ้องมาจากทุกทิศทาง
ฉืออิ๋งออกจากหลันไถ ภายในสำนักตรวจการก็มีคนไปรายงานหลูฉี่
“ใต้เท้าหลู องค์หญิงเสด็จออกมาแล้วขอรับ ที่พระหัตถ์ทรงถือดอกกล้วยไม้ด้วย”
“ดี” หลูฉี่วางพู่กันลงแล้วเป่าหมึก ก่อนจะสะบัดฎีกาที่เพิ่งเขียนเสร็จให้แห้ง “เปลี่ยนชุด”
“ใต้เท้าหลูไม่ใช่ใส่ชุดขุนนางอยู่หรือ”
“เจ้าทึ่ม! ที่ข้าทำก็แค่แสร้งว่ารีบเร่งเข้าวัง เพื่อการนี้ยังจงใจเขียนผิดบางตัวด้วย พวกเราสำนักตรวจการต้องปั้นแต่งเรื่องราวเช่นนี้ เข้าใจหรือยัง”
“ขอรับ…แต่ใต้เท้าหลู หากฎีกาที่ทูลจักรพรรดินีเขียนผิดจะต้องถูกหักเงิน”
“ให้ตายสิ เวลานี้ไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้แล้ว”
ฉืออิ๋งที่เป็นถึงรัชทายาทผู้สูงส่ง ยามกลับวังต้องไม่กลับตามเส้นทางปกติธรรมดา
กำแพงของตำหนักหลิวเซียนใครว่าปีนง่ายกัน ทุกครั้งล้วนปีนขึ้นไปอย่างยากลำบาก นี่เป็นเพราะมารดาของฉืออิ๋งเคยกล่าวออกมาว่ากำแพงของตำหนักหลิวเซียนนั้นปีนง่าย ฉืออิ๋งกลับไม่คิดเช่นนั้น เนื่องจากนางมีโอกาสปีนข้ามมาหลายครั้งแล้ว นางจึงสรุปเอาว่าคงเป็นเพราะตอนนั้นบิดาของนางพักที่ตำหนักหลิวเซียน มารดาถึงคิดว่าการปีนกำแพงข้ามมามิใช่ปัญหา
ฉืออิ๋งปีนขึ้นบนกำแพงอย่างยากลำบาก นางถึงกับตระหนกเมื่อพบว่าบิดาของนางยืนอยู่หลังกำแพงและกำลังรอให้นางกระโดดลงมา
พระสวามีของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันและเป็นบิดาของฉืออิ๋งกำลังยืนอยู่หลังกำแพง ชายชุดปลิวไสว ท่วงท่าดูสง่างาม “บอกกี่ครั้งแล้วว่าจงอ่านหนังสือให้มากปีนกำแพงให้น้อย! เลิกเรียนแล้วไปที่ใดมา ปีนกำแพงเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าไปทำเรื่องไม่ดีมาแน่!”
ฉืออิ๋งนั่งยองบนกำแพงด้วยท่าทางโงนเงนคล้ายจะตกลงมา
เฟิ่งจวินเห็นว่าบุตรสาวสุดที่รักถูกขู่จนเสียขวัญมากแล้ว เขาก็รีบปรับน้ำเสียงเสียใหม่ เอ่ยปลอบโยนด้วยเสียงนุ่มนวล “ในเมื่อปีนขึ้นมาแล้วก็รีบกระโดดลงมาเร็วเข้าเถอะ พ่อจะรอรับเป่าเปาเอง”
“บอกแล้วว่าอย่าเรียกลูกว่า ‘เป่าเปา’!” ฉืออิ๋งกระโดดลงมายังร่างของบิดาอย่างชำนาญ
เฟิ่งจวินรับตัวบุตรสาวไว้ได้พอดี เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้คงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาสองพ่อลูกจึงฝึกกระโดดและรับจนแม่นยำเพียงนี้
เฟิ่งจวินโอบร่างบุตรสาวสุดที่รักเอาไว้แล้วปล่อยลงพื้น พลางชี้ไปที่รูใหญ่ตรงด้านล่างกำแพง “ถวนถวน ไม่เห็นหรือว่าพ่อหาคนมาขุดรูนี้ให้แล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องปีนกำแพง”
ฉืออิ๋งเอ่ยกับบิดาของนางด้วยสีหน้าหยิ่งทะนง “เสด็จพ่อ ลูกเป็นถึงรัชทายาท ไม่มุดรูสุนัขลอดแน่ แล้วก็อย่าเรียกลูกว่า ‘ถวนถวน’!”
เฟิ่งจวินรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก ใบหน้าคมคายจึงดูเศร้าสร้อยยามเอ่ย “เป่าเปาโตแล้ว ถึงได้ไม่รักพ่อ แล้วก็ไม่ชอบชื่อเล่นที่พ่อตั้งให้”