การทำให้เฟิ่งจวินสะเทือนใจถือเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะบิดาของนางสามารถเขียนกลอนได้หลายสิบบทด้วยใจโศก หลังจากนั้นเรื่องก็จะไปเข้าหูมารดา แล้วนางจะถูกส่งไปโบยก้น
“ลูกย่อมรักเสด็จพ่ออยู่แล้ว รักเสด็จพ่อที่สุดเลย!” ฉืออิ๋งร่าย ‘คาถาเอาใจ’ ได้อย่างคล่องปาก เนื่องจากเคยใช้กับบิดาของนางมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะหันมองใบหน้าอันเศร้าสร้อยของบิดาอย่างเอาใจใส่ “ดังนั้นเสด็จพ่อคงไม่ทูลเรื่องที่ลูกปีนกำแพงกลับวังให้เสด็จแม่ทรงทราบใช่หรือไม่”
เฟิ่งจวินถูกบุตรสาวกล่าวเอาใจจนผ่อนคลายมากแล้ว กระนั้นก็ยังอยากจะตอบโต้สักเล็กน้อย “นั่นเท่ากับว่าพ่อมีความผิดฐานปิดบังเบื้องสูง?”
“ลูกต้องไม่ใช่ลูกของเสด็จพ่อแน่ๆ!” ฉืออิ๋งส่งเสียงร้องไห้โฮทันที
สีหน้าของเฟิ่งจวินเริ่มไม่น่าดู “หากเจ้าไม่ใช่ลูกของพ่อแล้วจะเป็นลูกของผู้ใดได้เล่า!”
ทันทีที่ฉืออิ๋งร้องไห้ บิดาของนางก็สามารถเอาของที่บินได้ ของที่เดินบนพื้นได้ และสิ่งที่มีบนใต้หล้านี้มาให้ ขอแค่เอ่ยเพียงคำเดียวบิดาก็จะหามามอบให้ถึงเบื้องหน้า
กลยุทธ์ชนิดนี้เรียกได้ว่าเป็นไม้ตาย ฉืออิ๋งใช้กลยุทธ์นี้ได้เชี่ยวชาญยิ่ง ดังนั้นสำหรับการฟ้องเรื่องปีนกำแพงเมื่อครู่นี้ เพียงชั่วพริบตาก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว
เฟิ่งจวินกล่อมบุตรสาวที่รักยิ่งของตนเอง เขากลับมานึกพิจารณาการกระทำของตนเองนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่ควรมีใจคิดตอบโต้ลูกรักเลยแม้แต่น้อย นึกแล้วก็ให้รู้สึกหม่นหมอง ทั้งยังมองว่าตนเองมิใช่พ่อที่ดี เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะเขียนบันทึกการเลี้ยงดูลูกน้อย
ฉืออิ๋งใช้แขนเสื้อของบิดามาเช็ดน้ำตาน้ำมูก บอกเป็นนัยว่าเห็นแก่ที่บิดาไม่นำเรื่องไปฟ้องมารดา นางจะยอมอภัยให้เขาชั่วคราว
“เอาล่ะ หลังจากลูกกินอาหารเย็นแล้ว พ่อจะช่วยลูกทำการบ้านที่สำนักศึกษาเจาเหวินให้มา” เขาเอ่ยประจบประแจงเอาใจต่อหน้าบุตรสาว
“แต่ครั้งก่อนที่เสด็จพ่อทรงเลียนแบบลายมือของลูกก็ถูกอาจารย์จับได้นะเพคะ! หาว่ามีคนเขียนแทนลูก ตัดสินให้ลูกไม่ผ่านเกณฑ์!” ฉืออิ๋งอดเอ่ยกล่าวหาบิดาไม่ได้
“การเลียนแบบลายมือของพ่อไร้ที่ติ อยากรู้นักว่าอาจารย์คนใดของสำนักศึกษาเจาเหวินที่ตาไร้แวว บอกพ่อมา พ่อจะเรียกเข้าเฝ้า!” เฟิ่งจวินกล่าวอย่างขุ่นเคือง
“ก็คือ…ไป๋สิงเจี่ยน!” ฉืออิ๋งยู่ปากเอ่ยนามอันยิ่งใหญ่ของศัตรูคู่แค้น แล้วลอบสำรวจอาการตอบสนองของบิดาไปด้วย
“อ๋อ! เจ้าไป๋สิงเจี่ยนที่ตาไร้แวว…รอก่อน…ไป๋สิงเจี่ยน?” สีหน้าของเฟิ่งจวินเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา “ที่ลูกพูดถึงใช่ไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนหรือไม่”
“ที่ลูกพูดถึงก็คือไท่สื่อไป๋สิงเจี่ยนผู้นั้นล่ะเพคะ!” ฉืออิ๋งจ้องเขม็งไปยังบิดาของนาง ในใจพลันบีบรัดแน่น หรือว่าแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเกรงกลัวไท่สื่อ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อย่าไปสนใจเขาเลยดีกว่า! กล้าตัดสินไม่ให้ลูกผ่านเกณฑ์ พวกเราก็ยิ่งอย่าไปสนใจเขาเลย หึ!” เฟิ่งจวินกล่าวอย่างทะนงตัว
“แต่ไป๋สิงเจี่ยนมักวางตัวเป็นศัตรูกับลูก เขามีท่าทางไม่ชอบลูก แล้วก็ไม่เห็นลูกอยู่ในสายตา ลูกขอให้เสด็จพ่อทรงลงโทษไท่สื่อด้วย!” ฉืออิ๋งบิดตัวไปมา ก่อนจะกระทืบเท้าอย่างต่อเนื่อง
เฟิ่งจวินเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อมั่นใจว่าบริเวณใกล้ๆ นี้ไม่มีคนจดบันทึกคำพูดของพวกเขาแน่นอน จึงค่อยย่อตัวลงมาอธิบายถึงผลดีผลเสียกับบุตรสาว
“ลูกน้อยยังจำที่พ่อเคยบอกไว้ได้หรือไม่ว่าพวกเราต้องระวังผู้ใดมากที่สุด และเวลาใดบ้าง”
“เวลาที่เสด็จพ่อทรงช่วยลูกทำความผิด คนที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือเสด็จแม่” ฉืออิ๋งย่อตัวลงมากระซิบตอบที่ข้างหูของบิดา
“พูดได้ไม่ผิด นอกจากนี้ยังมีอีกหรือไม่” เฟิ่งจวินเลือกใช้ท่าทีที่ให้กำลังใจกับคำตอบของบุตรสาว
“ยังมี…” ฉืออิ๋งขมวดคิ้วใคร่ครวญ “เวลาที่เสด็จพ่อทรงช่วยลูกเสวยยา ต้องคอยระวังหมอหลวงให้ดี”
“พูดได้ไม่ผิด แล้วนอกจากสองเรื่องนี้ยังมีอีกหรือไม่” ทางนี้เฟิ่งจวินยังคงให้กำลังใจบุตรสาวต่อ ส่วนอีกทางหนึ่งก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายชี้แนะให้บุตรสาวทำแต่เรื่องไม่ถูกต้องมาตลอด การค้นพบนี้ก็ต้องเขียนลงบันทึกรายวันของการเป็นพ่อและการเลี้ยงดูลูกน้อยด้วย
“ยังมี…” ฉืออิ๋งนำเรื่องที่บิดาของนางเคยทำมาคิดทบทวนรอบหนึ่ง สุดท้ายจึงทำใจกล้าลองพูดออกไปดู “เสด็จพ่อทรงเคยลอบพบกับท่านน้าเซิงมาก่อน ท่านน้าเซิงคือคนที่เสด็จพ่อทรงคบหามาแต่เด็ก ตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซีจิง และเคยหมั้นหมายมาก่อน ที่ต้องระวังที่สุดคืออย่าให้ลูกเห็นเข้า…”