เฟิ่งจวินเกือบจะหัวใจหยุดเต้นแล้ว “หยุดพูดเดี๋ยวนี้! ไปฟังเรื่องเลอะเทอะนี้มาจากที่ใด! พ่อไปแอบนัดเจอใครที่ไหนกัน หากให้แม่ของลูกมาได้ยินเข้า ลูกต้องทำให้พ่อตายแน่…รู้หรือไม่”
ฉืออิ๋งไม่ค่อยเห็นบิดามีท่าทางร้อนรนเช่นนี้ นางได้แต่เก็บจำใส่ใจไว้เงียบๆ ลอบนัดเจอกันเป็นจุดตายของเสด็จพ่อ ต่อหน้าเฟิ่งจวินที่มีสีหน้าเคร่งเครียด ฉืออิ๋งก็พยักหน้ารับ “ที่แท้เป็นอย่างไรเพคะ”
เฟิ่งจวินสงบใจลงได้ในที่สุด “ในเวลาที่เราทำเรื่องไม่ดี…ไม่ใช่! เวลาที่เราทำเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ทุกเรื่องต้องระวังอาลักษณ์! คนถือพู่กันล้วนไร้น้ำใจ สามารถจารึกทุกเรื่องราวไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ ไม่ว่ากี่ชั่วคนก็ล้างมลทินไปไม่หมด หากยังรักชีวิตก็ให้อยู่ห่างอาลักษณ์เอาไว้!”
“ในเมื่อไม่ได้ทำเรื่องน่าอายอะไร เหตุใดจึงต้องกลัวบันทึกของอาลักษณ์ด้วยเล่า” ฉืออิ๋งไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะยามที่คนเป็นบิดาเกรงกลัวอาลักษณ์ถึงเพียงนี้ นี่จะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ “เสด็จพ่อทรงไม่ได้ลอบพบกับสตรีอื่นจริงหรือเพคะ”
เฟิ่งจวินถูกทิ่มแทงยังจุดตายอีกหน เขาดูกระวนกระวายอย่างมาก “ไม่มีจริงๆ พ่อจริงใจต่อแม่ของลูก รักจนหมดใจ ไหนเลยจะมีใจเหลือให้ไปนัดพบสตรีอื่นอีก ลูกกลับมาสงสัยพ่อเสียได้ เช่นนี้พ่อก็ไม่อยากอยู่แล้ว!”
ฉืออิ๋งคลำที่จมูก “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อเสด็จพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทินอย่างนี้ ทั่วร่างไม่มีรอยด่างแต่อย่างใด แล้วจะทรงหวาดกลัวอาลักษณ์ด้วยเหตุใดเล่าเพคะ”
เฟิ่งจวินที่ดูชราในชั่วพริบตาพลันทอดถอนใจ “นั่นเป็นเพราะว่ามีครั้งหนึ่งที่ไท่สื่อเคยเปิดเผยว่า…จะนำพ่อ…บันทึกลงใน ‘ชีวประวัติสนมชายา’ ให้ตกทอดจนถึงชนรุ่นหลัง!” เฟิ่งจวินยกแขนเสื้อปิดหน้า “พ่อทั้งเคยพูดดีก็แล้ว พูดร้ายก็แล้วกับไท่สื่อ ว่าที่จริงพ่อก็เคยเป็นถึงไท่ฟู่ ขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนัก อย่างไรก็ควรบันทึกลงใน ‘ประวัติผู้จงรักภักดี’ ใครจะไปคิด เขากลับบอกว่าใช้ความน่านับถือของไท่ฟู่มาทำให้จักรพรรดินีลุ่มหลง นั่นต้องบันทึกเข้า ‘ประวัติขุนนางสอพลอ’ ”
ความหม่นหมองของเฟิ่งจวิน คนอื่นอาจไม่เข้าใจ ทว่าฉืออิ๋งเข้าใจแล้ว นับว่าไป๋สิงเจี่ยนไม่ไว้หน้าบิดาของนางเลย จู่ๆ นางก็รู้สึกเห็นใจบิดาขึ้นมา “แล้วหลังจากนั้นพวกท่านเจรจากันอย่างไร”
“ถึงพ่อตายก็ไม่ยอมเข้าไปอยู่ในประวัติขุนนางสอพลอ ชื่อเสียงของสกุลเจียงแห่งซีจิงนั้นเป็นแค่เรื่องเล็ก ภายหลังเป่าเปาขึ้นครองราชย์แล้ว ถูกบันทึกลงใน ’พระราชประวัติโอรสสวรรค์’ ทว่าพ่อที่ให้กำเนิดกลายเป็นขุนนางสอพลอ คนรุ่นหลังจะหัวเราะเยาะเอาได้ พ่อคิดแล้วก็รู้สึกรับไม่ได้…” เฟิ่งจวินมีสีหน้าเศร้าเสียใจ “แต่ไท่สื่อนั่นร้ายกาจและหัวแข็งยิ่ง มีแค่สนมชายาไม่ก็ขุนนางสอพลอให้พ่อเลือกได้แค่ทางเดียว ต่อให้พ่อจะคว่ำหลันไถทิ้ง เขาก็จะไม่ให้พ่อเข้าประวัติผู้จงรักภักดี ตรงกันข้าม หากพ่อคว่ำหลันไถลงได้จริง เขาก็ยิ่งบันทึกให้พ่อเป็นขุนนางสอพลอได้ในทันที”
“เสด็จพ่อจึงหมดความกล้า…แล้วทรงเลือกสนมชายา?”
เห็นชัดว่าเฟิ่งจวินยอมรับความพ่ายแพ่แล้ว เขาจึงมีท่าทีเยือกเย็น “สนมชายาก็สนมชายาสิ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นเหมือนเสด็จตาของลูกที่ต้องแต่งเป็นหญิงอยู่ครึ่งชีวิต อีกอย่าง พ่อเองก็เกิดในตระกูลชั้นสูง เป็นคุณชายจากตระกูลผู้ดี เป็นสนมชายานี่…ถือว่าเป็นครั้งแรก แม้แต่คนอื่นยังไม่กล้าจะอิจฉา!”
ฉืออิ๋งพบว่าบิดาของนางหาเหตุผลมาปลอบประโลมตนเองได้ดี ถึงอย่างนั้นนางก็ยังยอมรับไม่ได้ ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ไป๋สิงเจี่ยนไม่เห็นแก่หน้านางและทำตัวไร้มารยาทใส่ด้วยแล้ว นางจึงทำใจกล้าแต่งเติมเรื่องจริงร้องเรียนเสียเลย “เสด็จพ่อทรงถูกหลอกแล้วเพคะ! วันนี้ลูกเลิกเรียนแล้วไปหลันไถ เดิมคิดจะไปยืมหนังสือมาอ่าน ไม่ทันระวังไปเห็นประวัติขุนนางสอพลอที่บันทึกไว้ในหอไท่สื่อเข้า เสด็จพ่อทรงถูกเขียนให้เป็นขุนนางสอพลอลำดับแรกทีเดียว!”
เฟิ่งจวินตะลึงงัน
เพื่อให้บิดาเชื่ออย่างสนิทใจ ฉืออิ๋งจึงท่องบางคำที่ไป๋สิงเจี่ยนเขียนไว้ในชีวประวัติสนมชายาที่เกี่ยวกับบิดาของนางออกมา โดยเลือกใช้คำที่งดงามซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ฉืออิ๋งจะเรียบเรียงออกมาได้ นางแค่ต้องปรับเปลี่ยน ‘สนมชายา’ เป็น ‘ขุนนางสอพลอ’
เฟิ่งจวินฟังจบถึงกับโกรธเกรี้ยวอย่างมาก กระทั่งมองข้ามจุดที่น่าสงสัยว่าเหตุใดฉืออิ๋งถึงเข้าไปในหอไท่สื่อได้
ฉืออิ๋งมีความสุขที่เห็นบิดาของนางเคืองแค้นไป๋สิงเจี่ยนอย่างยิ่งยวด กระทั่งลมโกรธแทบจะล้นทะลักออกมา
ในที่สุดฉืออิ๋งก็ถูกบิดาลากไปยังตำหนักยงหวาที่ประทับของมารดา