ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่หนึ่ง

 ยามนี้จิตใจของไป๋ถานกลัดกลุ้มรุ่มร้อนยิ่ง เนื่องจากนางเพิ่งถูกผู้อื่นลักพาตัวมา!

เหตุเกิดขึ้นหลังมื้อค่ำของวันนี้เอง ตอนนั้นนางปรับไส้ตะเกียงให้สว่าง กำลังอ่านหนังสือในยามราตรี เมื่อถึงตอนที่สองทัพประจัญบาน นางตะเบ็งเสียงพูดตามแม่ทัพใหญ่ในเรื่องว่า ‘วันนี้ข้าคงถูกจับเป็นแน่แท้!’ แล้วจู่ๆ บนขื่อห้องก็ปรากฏคนชุดดำผู้หนึ่งโผล่ศีรษะลงมา ‘มารดามันเถอะ ข้าถึงกับถูกพบเห็นเข้าจนได้!’

ไป๋ถานกระโดดโหยงร้องตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย!’

อู๋โก้วซึ่งจะไปตักน้ำเดินผ่านห้องไป๋ถานพอดี นางจึงขานตอบหนึ่งประโยคด้วยความตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ‘อาจารย์เจ้าคะ ท่านยังสวมบทบาทเป็นผู้อื่นอยู่อีกหรือ คนออกรบหาใช่ท่านไม่!’

ไป๋ถานยังไม่ทันจะได้อธิบาย ต้นคอของนางก็ถูกสันมือของคนผู้หนึ่งฟาดสลบไปเสียก่อน

รอจนนางฟื้นคืนสติแล้วจึงพบว่าตนนั่งอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นตาห้องหนึ่ง ไม่ว่าจะเสาคานซึ่งสลักเสลาวาดลายลงเคลือบเงา ทั้งฐานวางโคมไฟลงยา และฉากบังลมซึ่งทำมาจากไม้แดงฝังหยก…

นางถูกทิ้งให้อยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนบนเบาะที่นั่งข้างโต๊ะนี้เพียงลำพังแล้ว…

ที่นี่มิใช่สถานที่ซอมซ่อ คาดว่าผู้ที่จับนางมาก็คงมิใช่คนธรรมดาเช่นกัน

ด้านนอกของฉากบังลมมีบุรุษสองคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่

คนผู้หนึ่งกล่าวว่า “เจ้ากล้าลงมือจริงหรือนี่ นางเป็นคนสกุลไป๋แห่งไท่หยวน มาจากตระกูลผู้ดีเชียวนะ ลักพาตัวคนมาเช่นนี้จะไม่เป็นเรื่องแน่หรือ”

ทว่าคนอีกผู้หนึ่งกลับเอ่ยอย่างดูแคลน “ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่จวนหลิงตูอ๋องของพวกเราไม่กล้าจับตัวอีก นางก็แค่หญิงจากตระกูลขุนนางที่ตกอับ บิดามารดาไม่รัก ยังจะกลัวนางหาอะไร ต่อให้ฆ่านางทิ้งตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนรู้ด้วยซ้ำ!”

กระทั่งสถานะของนาง อีกฝ่ายก็ยังสืบจนกระจ่างชัด ไป๋ถานพลันขนลุกซู่อยู่ในใจ ทว่าเมื่อตรองจนถี่ถ้วนแล้ว จวนหลิงตูอ๋องที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงนั้นนางกลับไม่เคยคบค้าสมาคมด้วยเลยสักนิด ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเคยไปล่วงเกินหรือไม่

ไป๋ถานนั่งขัดสมาธิยืดกายตรง ใครจะคาดว่าเพียงแค่นางเพิ่งขยับตัว ต้นคอจะเจ็บแปลบรุนแรงจนนางต้องสูดปากร้องอย่างไม่อาจข่มกลั้นได้

คงเป็นเพราะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว บุรุษสองคนนั้นจึงยุติบทสนทนาแล้วเดินอ้อมฉากบังลมเข้ามา

ผู้เดินนำหน้าก็คือคนชุดดำที่ลักพาตัวไป๋ถานมาที่นี่ รูปร่างของเขากำยำล่ำสัน สีหน้าดำทะมึน ดวงตาดุดันวาวโรจน์ ตรงง่ามมือมีแผลเป็นจากคมอาวุธยาวต่อเนื่องมาจนถึงหลังมือ

อีกผู้หนึ่งนั้นมีรูปร่างผอมสูงกว่า ทว่าสวมชุดเกราะเช่นเดียวกับนายทหาร สีหน้าเขาซีดขาว เส้นผมแห้งกรอบจนสีผมเปลี่ยน แม้มุ่นมวยผมแล้วก็ยังแลดูยุ่งกระเซอะกระเซิงอยู่ สภาพของเขาคล้ายตั้งแต่เล็กไม่เคยได้กินอิ่มมาก่อน

คนชุดดำเคาะกรอบฉากบังลมพร้อมสีหน้าดุร้าย “เจ้าฟื้นแล้วก็ดี จงอย่าได้คิดตุกติก ขอเพียงเจ้าช่วยทำธุระเรื่องหนึ่งให้พวกเราอย่างว่าง่ายแล้วพวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากโดยเด็ดขาด”

ไป๋ถานชำเลืองมองซ้ายขวาก่อนถามอย่างรู้สถานการณ์ “ธุระอันใด”

คนชุดดำตอบ “นับตั้งแต่นี้เจ้าจะเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับหลิงตูอ๋อง อีกครู่จะมีคนมาสอบถามเจ้า ไม่ว่าเขาถามสิ่งใดเจ้าก็ต้องทำทีว่ารู้เรื่องนั้นดี อีกทั้งจงเลือกพูดแต่ถ้อยคำที่จะส่งผลดีต่อหลิงตูอ๋องเท่านั้น หากเจ้าทำเรื่องนี้ได้ดี พวกเราขอรับรองกับเจ้าว่าแม้แต่เส้นผมก็จะไม่สึกหรอเลยสักเส้น”

ไป๋ถานเคยได้ยินแต่ว่าจับคนไปเป็นฮูหยินค่ายโจร นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการจับคนมาเป็นอาจารย์ด้วย

หลิงตูอ๋องผู้นี้อยากได้รับการอบรมสั่งสอนมากปานนี้เชียว…

“คำถามของคนผู้นั้น…จะต้องให้ข้าเป็นผู้ตอบเท่านั้นหรือ”

“มิผิด! หากเจ้าไม่เชื่อฟังก็จะเป็นเช่นโต๊ะตัวนี้!” คนชุดดำฟาดหนึ่งฝ่ามือลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่เบื้องหน้านางทันที โต๊ะเล็กซึ่งเขียนสีบนพื้นดำเคลือบเงาพลันหักไปมุมหนึ่งพร้อมกับเสียงดังเป๊าะ

ไป๋ถานกระถดถอยไปด้านหลังแล้วผงกศีรษะระรัวดุจลูกไก่จิกข้าวสาร “เชื่อๆ! ว่าแต่หลิงตูอ๋องนี่เป็นผู้ใดกัน”

คนผมแห้งกรอบที่เข้ามาพร้อมกับคนชุดดำร้องขึ้นอย่างตื่นตะลึง “กระทั่งท่านอ๋องของพวกเราเป็นใครนางก็ยังไม่รู้!”

คนชุดดำกอดอกพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง “คนที่หมกตัวอยู่บนภูเขาตงซานมานานปีอย่างนาง ปกตินอกจากสอนศิษย์ไม่กี่คนนั่นแล้วนางยังจะได้คบค้าสมาคมกับใครที่ไหน จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรได้อีกเล่า ไม่รู้จักท่านอ๋องของพวกเราสิจึงจะจัดการง่ายกว่า”

“ก็จริง” คนผมแห้งกรอบเกาศีรษะแกรกๆ

“เฝ้านางไว้ให้ดีล่ะ!” คนชุดดำกำชับอีกฝ่ายหนึ่งประโยคแล้วถลึงตาข่มขู่ไป๋ถานอีกครั้ง ก่อนเร่งรุดออกจากประตูไป

ไป๋ถานคาดคะเนว่าเขาน่าจะไปรับผู้สอบถามที่เอ่ยถึงผู้นั้นมา

จริงดังคาด ไม่ช้าคนชุดดำก็กลับเข้ามา ชุดดำสำหรับปฏิบัติภารกิจยามราตรีของเขาได้ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว เบื้องหลังยังนำพาคนผู้หนึ่งมาด้วย

คนผู้นั้นเป็นบุรุษวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยเล็กทั้งยังซูบผอม สวมชุดลำลองแลดูคล้ายบัณฑิต ทว่าข้างเอวกลับพกกระบี่สั้นเล่มหนึ่ง เขาเดินอ้อมฉากบังลมมายืนอยู่เบื้องหน้าไป๋ถาน หลังพินิจนางขึ้นลงอย่างถี่ถ้วนรอบหนึ่งแล้วจึงผงกศีรษะกล่าว “มิผิด นางคือไป๋ถาน…คุณหนูสกุลไป๋จริงๆ”

ไป๋ถานประหลาดใจไม่น้อย นางรู้ว่าความสามารถของตนอาจจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ทว่ากลับนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตนจะเป็นที่เลื่องลือจนถึงขั้นผู้อื่นมองเพียงรอบเดียวก็จดจำได้

บุรุษผู้นั้นคารวะไป๋ถานก่อนเอ่ยชี้แจง “ขออภัยที่มาเยือนยามวิกาล สร้างความลำบากแก่คุณหนูแล้ว ข้าน้อยเกาผิง วันนี้มาขอรบกวนสอบถามคุณหนูสองสามคำถามก็จะกลับ”

คนชุดดำเดินมายืนอยู่ด้านหลังของไป๋ถานแล้วลอบขยับมือข้างหนึ่งใช้สองนิ้วจ่อที่กระดูกสันหลังของนางโดยที่เกาผิงไม่ทันสังเกต ไป๋ถานยังไม่อยากกลายเป็นคนพิการเฉียบพลันจึงยกมือเอ่ยด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการ “เชิญท่านสอบถามมาได้”

“หลิงตูอ๋องระยะนี้กล่อมเกลาจิตใจได้ผลบ้างหรือไม่” เกาผิงกล่าว

“อืม…ได้ผลสิ” ถึงขั้นต้องอบรมบ่มนิสัยกันแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่านี่มีต้นสายปลายเหตุเช่นไร

“ประเสริฐแท้ เช่นนั้นปกติคุณหนูให้ท่านอ๋องกล่อมเกลาจิตใจอย่างไรบ้าง”

“อ่านตำราจวงจื่อ* กับคัมภีร์เต้าเต๋อจิง และคัดลอกอักษรของหวังอี้เซ่า” อย่างไรเสียการกล่อมเกลาจิตใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่นางว่ามา

เกาผิงเลิกคิ้วคล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง “ท่านอ๋องยอมสงบใจทำสิ่งเหล่านี้เชียวหรือ คุณหนูช่างมีฝีมือโดยแท้ ไม่ทราบท่านอ๋องให้ความเคารพต่อคุณหนูหรือไม่ หากมีสิ่งใดที่คุณหนูยากจะควบคุมก็โปรดเอ่ยปากมาได้อย่างเต็มที่”

“ท่านอ๋องเคารพเชื่อฟังอาจารย์เสมอมา ไม่เคยทำสิ่งใดที่ไม่ให้เกียรติ” หึๆ ยังไม่ทันรู้จักกันเขาก็ลักพาตัวข้ามาแล้ว…ช่างเคารพให้เกียรติกันเสียจริง!

แววประหลาดใจบนใบหน้าของเกาผิงยิ่งเผยออกมาอย่างเด่นชัด ยามที่ไป๋ถานมองใบหน้าของเขาแล้ว จึงรู้สึกได้ว่าสีหน้าของเขาคล้ายแทรกไว้ด้วยอารมณ์ขัน ราวกับสิ่งที่นางพูดนั้นล้วนเป็นวาจาที่ไร้แก่นสาร

ความคิดนางพลันผุดวาบขึ้นในใจ หรือว่าเกาผิงจะพบเห็นเรื่องน่าสงสัยแล้ว? เช่นนั้นท่านก็เบิกตาให้กว้างๆ แล้วช่วยข้าจากการถูกลักพาตัวนี้ทีสิ!

ทว่าเกาผิงกลับมีสีหน้าเป็นปกติดุจเดิมอย่างรวดเร็ว “ต่อไปยังต้องรบกวนคุณหนูสิ้นเปลืองความคิดให้มากยิ่งขึ้น อุปนิสัยของหลิงตูอ๋องในช่วงนี้ช่างชวนให้ผู้อื่นกล่าวประณามโดยแท้ ฝ่าบาทเองก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เพียงได้ยินว่าคุณหนูยอมออกหน้าให้การอบรม ฝ่าบาทยังทรงไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ ยามนี้เห็นคุณหนูดูแลอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ ข้าน้อยก็วางใจกลับไปถวายรายงานได้อย่างหมดกังวล”

ไป๋ถานพลันแข็งทื่อไปทั้งร่าง ความรู้สึกนั้นคล้ายดั่งถูกผู้อื่นยัดเกล็ดน้ำแข็งหนึ่งกำมือเข้ามาในปากแล้วอุดปิดไว้ จะคายออกก็มิได้จะกลืนลงคอก็ยากลำบาก ได้แต่ปล่อยให้ความเย็นวาบแผ่ซ่านตั้งแต่ขากรรไกรจนจรดผิวแก้ม

หากรู้แต่แรกว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับฝ่าบาท ต่อให้ถูกคนชุดดำตีตายนางก็จะไม่รับปากเด็ดขาด นี่มิใช่ว่านางกำลังหลอกลวงเบื้องสูงหรอกหรือ!

แต่จะว่าไปฝ่าบาททรงว่างงานมากนักหรือ หากพระองค์ทรงว่างมากจริงๆ ก็ควรไปห่วงใยตำหนักในสิ มาทรงห่วงใยอันใดกับหลิงตูอ๋อง! นางร้องถามสวรรค์ในใจ

โชคยังดีที่เกาผิงไม่ได้สอบถามเรื่องอื่นอีก หลังเอ่ยวาจาอีกสองประโยคเขาก็กล่าวขอตัว

คนผมแห้งกรอบออกไปส่งแขก ท่าทีของคนชุดดำพลันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขายิ้มร่าขณะเดินอ้อมมาถึงตรงหน้าไป๋ถาน “ได้ยินมานานแล้วว่า ‘สามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้าคือหนึ่งชิงกับสองไป๋’ คุณหนูสกุลไป๋สมคำเล่าลือ ที่พาเจ้ามาถือว่าข้าเลือกได้ไม่ผิดจริงๆ”

ไป๋ถานขยุ้มชายเสื้อพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ด้วยฐานะของหลิงตูอ๋องแล้ว อยากจะได้อาจารย์เช่นไรย่อมไม่มีปัญหา แค่ไปเชิญมาโดยตรงก็ได้แล้ว ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”

คนชุดดำหัวเราะร่วน “คนทั่วหล้านี้ก็มีแต่เจ้าผู้เดียวที่จะพูดเช่นนี้แล้ว หากท่านอ๋องของข้าออกหน้าไปเชิญอาจารย์จริงก็คงไม่มีผู้ใดกล้ารับหรอก ใช้หนทางนี้ยังนับว่ารวบรัดกว่า”

ไม่กล้ารับหรือ… ไป๋ถานไม่อยากจะเชื่อ ยังคงขยุ้มชายเสื้อสอบถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจะต้องเป็นข้าเล่า”

ก่อนลักพาตัวนางมา คนชุดดำยังกังวลใจว่านางจะทะนงตนหัวแข็งเหมือนที่พวกเหล่าบัณฑิตเป็นกัน หากนางเป็นเช่นนั้นจริงคงรับมือได้ยากยิ่ง ทว่ากลับไม่คาดคิดว่านางจะใจเสาะถึงปานนี้ เขาขู่เสียงเหี้ยมไปไม่กี่ประโยคนางก็ยอมอยู่ในโอวาทแล้ว เขาจึงบอกต่อนางอย่างไม่กริ่งเกรงว่า “เนื่องจากเจ้าเป็นคนมีชื่อเสียง คำพูดย่อมมีน้ำหนัก มิหนำซ้ำเจ้าก็เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน จับตัวเจ้ามาจึงเป็นเรื่องง่ายที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนเจ้ายังเคยสอนท่านอ๋องของข้าด้วย!”

“ข้าเคยสอนท่านอ๋องของเจ้าเมื่อไหร่กัน”

“ก็เมื่อก่อนอย่างไรเล่า” ใบหน้าของคนชุดดำขรึมลงในฉับพลัน “นี่หมายความว่าอย่างไร เจ้ามิได้ใส่ใจท่านอ๋องของข้าเลยหรือ”

“ไหนเลยจะเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะข้าจำท่านอ๋องของเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ…” ไป๋ถานยิ้มประจบทั้งที่ในใจดูแคลน เมื่อก่อนหรือ…หากเป็นเมื่อก่อนพวกเจ้าลองกล้าแตะข้าเช่นนี้ดูสิ!

คนชุดดำคร้านจะพูดกับนางให้มากความอีก เขาเหลือกตาแล้วเดินออกนอกประตูไปสั่งการสองประโยค จากนั้นสาวใช้ผู้หนึ่งก็ยกน้ำชากับของว่างเดินเข้ามาจัดวางบนโต๊ะเล็กอย่างนอบน้อม ทั้งยังจัดเตียงให้อีกด้วย รอจนทำเสร็จแล้วนางก็ถอยออกไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสักครั้งเดียว

คนชุดดำยืนอยู่นอกประตู เขากวาดตามองเข้ามาในห้องสองหนก่อนปิดประตูดังโครม ท่าทางจะยืนเฝ้าประตูนี้ด้วยตนเอง

ไป๋ถานมุ่นหัวคิ้ว นางเพียงแสร้งทำใจเสาะเพื่อคลายความระแวงของพวกเขา ดูคล้ายว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ทำร้ายนางแล้วก็จริง ทว่าก็ดูเหมือนไม่คิดจะปล่อยนางไปเช่นกัน

การสอนในวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไรดีเล่า จู่ๆ คนทั้งคนก็หายตัวไป ศิษย์ทั้งหลายจะไม่ตกใจกันแย่หรือ!

นางเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องสองรอบพร้อมหัวใจที่ว้าวุ่นกระสับกระส่าย ขณะที่นางยังคิดหาวิธีรับมือไม่ได้นั้น นอกห้องพลันมีเสียงเรียกของคนผมแห้งกรอบจากระยะไกลจนกระทั่งเสียงนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ “ฉีเฟิง ฉีเฟิง มานี่เร็วเข้า!”

คนชุดดำผละจากประตูห้องพลางตะโกนด้วยเพลิงโทสะที่ลุกโชติช่วง “เรียกหานายของเจ้าหรืออย่างไร! นายมา…” เสียงนั้นแผดออกไปได้เพียงครึ่งหนึ่งน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยนวูบ “นายข้ามาแล้วหรือนี่ นายข้า ไฉนท่านกลับมาเอาป่านนี้เล่าขอรับ”

“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทส่งคนมาแล้ว” สุ้มเสียงอันเย็นชานั้นเจือความอ่อนเพลียเล็กน้อย

“ใช่ขอรับๆ ไม่มีเรื่องใหญ่โตอันใด คลี่คลายเรียบร้อยแล้ว”

“อืม”

ไป๋ถานลอบวิ่งไปที่ข้างประตูแล้วมองลอดช่องประตูออกไป ทว่านางกลับเห็นเพียงเลือดกองโต

คนผมแห้งกรอบชูคบไฟ ข้างเท้าของเขามีคนสองคนนอนทอดร่างลมหายใจรวยรินอยู่ เลือดเนื้อผสมเคล้ากันจนแทบแยกไม่ออก

“กู้เฉิง เอาตัวสองคนนี้ไป อย่าให้พวกมันตายเสียล่ะ” สุ้มเสียงอันเย็นชานั้นออกคำสั่งมาหนึ่งประโยค เพราะเจ้าของเสียงผู้นั้นยืนอยู่ตรงมุมอับพอดี ทำให้ไป๋ถานไม่อาจมองเห็นตัวคนได้

คนผมแห้งกรอบขานรับแล้วใช้เท้าเตะหลังของหนึ่งในสองที่นอนอยู่ “ท่านอ๋อง ดูท่าพวกมันจะทนได้ไม่พ้นคืนนี้แล้ว”

เสียงนั้นหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “ใช้ได้ที่ไหนกัน ข้ายังสนุกไม่พอเลย หากเพียงเท่านี้พวกมันก็ตายเสียแล้ว ไม่เท่ากับพวกมันได้เปรียบหรอกหรือ”

คนผมแห้งกรอบส่งเสียงอ้ออย่างรู้งาน จากนั้นจึงกวักมือเรียกให้คนมาช่วยเหลือ

สองคนนั้นถูกลากตรงไปเรื่อยๆ ทิ้งรอยเลือดไว้บนพื้นสองสาย ไป๋ถานรีบถอนสายตากลับมาด้วยความหวาดผวา

หากคนผู้นี้คือหลิงตูอ๋อง เช่นนั้นนางก็แน่ใจว่าตนไม่เคยสอนเขาอย่างแน่นอน!

ขณะที่เสียงด้านนอกเคลื่อนไกลออกไปแล้ว ประตูห้องก็พลันถูกผลักเปิด ไป๋ถานหมุนกายหนึ่งรอบก่อนจะล้มตัวลงบนพื้นด้วยความเร็วระดับฟ้าร้องยังไม่ทันยกมือป้องหู แล้วทำท่าบอบบางน่าสงสาร

คนชุดดำพรวดพราดปรี่เข้ามาคว้าตัวนางพร้อมข่มขู่ “ลุกขึ้นเร็วเข้า! ข้าจะรีบส่งเจ้ากลับไปเดี๋ยวนี้ แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทางที่ดีจงปล่อยให้มันเน่าคาท้องของเจ้าเสีย หาไม่วันหน้าเจ้าก็จะไม่ใช่ ‘หนึ่งชิงสองไป๋’ ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาของผู้อื่นอีก”

ไป๋ถานย่อมไม่คิดพูดออกไป หลอกลวงเบื้องสูงมีโทษถึงศีรษะหลุดจากบ่าเชียวนะ หากเทียบกับเรื่องนี้แล้วศักดิ์ศรีของสตรีจะนับเป็นอย่างไรได้

ดูจากท่าทางรีบร้อนลนลานของคนชุดดำแล้วในใจไป๋ถานก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มดุจปุยฝ้าย “เมื่อครู่คนผู้นั้นคือท่านอ๋องของเจ้าสินะ เขาไม่รู้เรื่องนี้สักนิดเลยใช่หรือไม่”

“เพ้อเจ้อ! ท่านอ๋องของข้าองอาจปราดเปรื่อง จะต้องการอาจารย์ไปเพื่ออะไรกัน หากไม่เพราะต้องรับมือกับฝ่าบาท ไหนเลยจะมีธุระกงการกับเจ้า”

ไป๋ถานฉวยจังหวะกล่าว “ถ้าเช่นนั้นเรื่องในวันนี้ทางที่ดีอย่าได้มีคราวหน้าอีกจะดีกว่า หาไม่…ช้าหรือเร็วก็ต้องไปถึงหูท่านอ๋องของเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะเป็นเหมือนสองคนนั้นหรือไม่เล่า…”

คนชุดดำถูกวาจาของนางทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อับจนถ้อยคำที่จะกล่าว ได้แต่กลอกตาไปมา อัดอั้นอยู่เป็นนานสองนานก็ยังคงพูดไม่ออกสักประโยค สุดท้ายจึงเลือกวิธีอันรวบรัดหมดจดใช้สันมือฟาดใส่ต้นคอของนางให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

พริบตาก่อนที่ไป๋ถานจะหมดสติ นางถึงกับมีความคิดจะละทิ้งภาพอันดีงามของคนเป็นอาจารย์เอ่ยคำทักทายไปถึงบรรพชนของอีกฝ่ายแล้ว

 

นอนมาถึงครึ่งคืนหลัง อู๋โก้วพลันท้องเสียจึงรีบรุดไปห้องปลดทุกข์ราวกับถูกไฟลน พอเสร็จธุระนางก็เดินผ่านหน้าประตูห้องของไป๋ถาน อาศัยแสงจันทร์อันสุกสกาวแล้วปรายตามองไปที่ประตู นางกลับรู้สึกว่าประตูห้องของผู้เป็นอาจารย์ยามนี้ดูคล้ายผิดแปลกจากแต่ก่อนอยู่บ้าง

อู๋โก้วยื่นมือผลักเบาๆ ไปที่ประตูเพียงครั้งเดียวก็อ้าออก นางเพิ่งจะพบว่าประตูนี้เพียงงับไว้เฉยๆ ไม่ได้ลงกลอนจึงเดินเข้าไปตรวจดู ก่อนจะเห็นไป๋ถานนอนทั้งเสื้อผ้าครบชุดอยู่บนเตียงโดยไม่คลุมผ้าห่ม พอนางคลำดูที่กลอนประตูอีกครั้งจึงพบว่ามันใช้การไม่ได้แล้ว

นางถอนหายใจ ก่อนคลุมผ้าห่มให้ไป๋ถาน เสร็จแล้วจึงค่อยปิดประตูตามหลังอย่างระมัดระวัง ในใจบ่นอุบไม่หยุด…วันนี้อาจารย์ช่างคึกคักเสียจริง แสดงเกินพอดีจนเตะประตูพังเลยสินะ ยังดีที่มีข้าอยู่ ไม่เช่นนั้นถูกผู้อื่นลักพาตัวไปก็คงยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เฮอะ!

 

ยามที่ไป๋ถานฟื้นขึ้นอีกครั้ง นางพลันรู้สึกว่าลำคอของตนใกล้จะหักอยู่รอมร่อ

แสงแดดนอกหน้าต่างส่องแยงตา ตะวันสายโด่งแล้ว ห้องชั้นนอกก็แว่วเสียงดังก๊อกแก๊กมาให้ได้ยิน

นางนวดต้นคอพลางก้าวลงจากเตียง เมื่อเดินอ้อมฉากบังลมออกมาก็เห็นอู๋โก้วกำลังเคาะๆ ตอกๆ ซ่อมประตูอยู่

อู๋โก้วหยุดมือทันทีที่มองเห็นนาง “คาดว่าเมื่อคืนอาจารย์คงเหน็ดเหนื่อยเกินไป ข้าจึงเจ้ากี้เจ้าการให้ศิษย์น้องทั้งหลายกลับไปก่อนแล้ว ท่านจะนอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้นะเจ้าคะ”

ไป๋ถานชะโงกศีรษะมองเข้าไปในห้องปีกตะวันตก ไร้เงาคนจริงเสียด้วย

ยามปกติเรือนพักของนางมีศิษย์ทั้งหมดสิบกว่าคนที่เดินทางมาศึกษาเล่าเรียน มีเพียงอู๋โก้วผู้เดียวที่เป็นสตรี มีชาติตระกูลต่ำต้อย ทั้งยังตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพิง นางจึงรับอุปการะอู๋โก้วไว้ข้างกายให้กินอยู่ด้วยกัน ส่วนศิษย์คนอื่นๆ นั้นล้วนแต่เป็นบุตรหลานตระกูลขุนนาง ทุกวันพวกเขาจะเดินทางมาเช้าเย็นกลับ

บางครั้งไป๋ถานก็รู้สึกว่าอู๋โก้วไร้หัวจิตหัวใจ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็เอาใจใส่นางไม่น้อย ชั่วขณะจึงไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางถอนหายใจแล้วไปล้างหน้าบ้วนปากผลัดเปลี่ยนชุดอยู่เงียบๆ

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ อู๋โก้วก็ยังซ่อมประตูไม่เรียบร้อย

เฉกเช่นยามว่างตามปกติ ไป๋ถานนั่งอยู่หลังโต๊ะแล้วเดินหมากกับตนเอง ทว่านางกลับใจลอยยกมือมาลูบต้นคอเป็นพักๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่จนบอกรสชาติของเมื่อคืนนี้ไม่ถูก สุดท้ายจึงโยนเม็ดหมากทิ้งเสียเลย

“อู๋โก้ว เจ้าไปจวนไท่ฟู่* แทนข้าสักเที่ยวเถอะ”

ฟังจบอู๋โก้วหวุดหวิดจะทุบค้อนใส่มือของตนเอง นางหันหน้าขวับมาอย่างตื่นตะลึง “จู่ๆ อาจารย์จะให้ข้าไปจวนไท่ฟู่ทำสิ่งใดกัน”

นางรู้ว่าอาจารย์อำลาจวนไท่ฟู่มานับสิบปีแล้ว ไม่ว่าวันตรุษหรือวันเทศกาลไหนๆ ก็ล้วนไม่เคยกลับไปที่นั่น คนจำนวนมากแทบจะลืมไปแล้วว่าไป๋ไท่ฟู่ยังมีบุตรสาวเป็นอาจารย์อยู่อีกคน ดูแล้ววันนี้ดวงอาทิตย์คงต้องขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่แท้

ไป๋ถานเก็บเม็ดหมากขึ้นมาพลิกไปมาระหว่างร่องนิ้ว “พักนี้ดูเหมือนจะมีโจรมาคอยป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ข้าอยากขอให้ท่านพ่อส่งคนมาคุ้มกันเรือนพักเก่าแก่หลังนี้ให้มากหน่อย”

อู๋โก้วเงยหน้ามองไปนอกประตูเพื่อดูดวงตะวันเจิดจ้าบนท้องฟ้าสีครามก่อนขานรับคำหนึ่ง ถึงแม้นางจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราว แต่ก็รู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ร้ายแรงเรื่องหนึ่ง

ภูเขาตงซานแห่งนี้เป็นสภาพพื้นที่ที่มีความพิเศษ ทั้งที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกบริเวณชานเมืองหลวงนี่เอง ทว่ากลับมีลักษณะตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากตรงสันเขาเป็นที่ตั้งของอารามเป้าผู่ซึ่งเป็นอารามหลวง ทำให้พวกโจรขโมยย่อมไม่กล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้

ที่พำนักของไป๋ถานคือเรือนพักแห่งหนึ่งของสกุลไป๋ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยหันหน้าเข้าหาอารามเป้าผู่ แม้ในเรือนจะมีบ่าวชายกับหญิงรับใช้สูงวัยเพียงแค่สามสี่คน ทว่าอาศัยบารมีของอารามเป้าผู่แล้วที่พำนักแห่งนี้จึงสงบสุขเสมอมา

แน่นอน…ว่านั่นคือเมื่อก่อน

 

ระยะทางเข้าเมืองหลวงเพียงสิบกว่าลี้ไม่นับว่าไกลนัก ทว่าอู๋โก้วไปคราวนี้กลับใช้เวลาจวบจนอาทิตย์ลับทิวเขาไปแล้วถึงได้กลับมา

บนภูเขาฤดูกาลนี้ ใบไม้ที่เสียดสีกันดังซ่าๆ เริ่มปลิดปลิวร่วงหล่น บนพื้นเกลื่อนไปด้วยใบไม้ที่แห้งเหลือง อู๋โก้วเพิ่งเดินมาสุดทางบันไดอันยาวเหยียดก็มองเห็นไป๋ถานยืนอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่นอกประตูเรือน สองมือของผู้เป็นอาจารย์หดอยู่ในแขนเสื้อ ชายอาภรณ์สีฟ้าอมเทาอ่อนพัดพลิ้วล้อลม ดวงหน้าฉาบด้วยแสงเรื่อของอาทิตย์อัสดงอยู่ชั้นหนึ่ง ท่ามกลางแสงอ่อนๆ นั้นยิ่งทำให้เรียวคิ้วแลดูดำขลับ ทั้งริมฝีปากก็แลดูแดงผุดผาด

อู๋โก้วเดินตรงไปหาไป๋ถามพร้อมอารมณ์ที่ขุ่นมัว “ข้ารออยู่ตั้งหลายชั่วยามกว่าจะได้พบไท่ฟู่ ผลคือท่านผู้เฒ่าบอกแต่เพียงว่าหากท่านไม่กลับไปขอร้องเขาเอง ก็จงอยู่ข้างนอกนี้ด้วยกำลังของตนเองเถิด เขาจะไม่ส่งใครมาแม้สักครึ่งคน”

“เฮ้อ…ข้าก็เดาอยู่แล้วว่าเขาจะต้องพูดเช่นนี้” ไป๋ถานกระตุกยกมุมปากอย่างแข็งทื่อ สายตาทอดมองออกไปแสนไกล

“อาจารย์มองอะไรอยู่เจ้าคะ”

อู๋โก้วมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปจึงพบกับหอสังเกตการณ์ที่อยู่บนประตูเมืองเจี้ยนคัง* คล้ายถูกเคลือบระบายด้วยน้ำหมึกสีครามอมดำมานานแล้ว ทว่ายามนี้ภายใต้แสงอัสดงสุดท้ายกลับปกคลุมด้วยสีเหลืองทองชั้นบางๆ ซึ่งแต่งแต้มให้ภาพสีน้ำหมึกนั้นพลันมีชีวิตชีวา แม้จะยืนอยู่บนยอดเขาที่ห่างไกลแห่งนี้ก็คล้ายกับยังสามารถได้ยินเสียงรถม้าที่สัญจรขวักไขว่บนท้องถนนได้

อู๋โก้วพลันตระหนักได้ แม้อาจารย์จะไม่พูดออกจากปาก ทว่าหลายปีมานี้ย่อมจะคิดถึงครอบครัวอยู่บ้างกระมัง

“อาจารย์…” เสียงเรียกนี้ของอู๋โก้วอาบไปด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งและการปลอบประโลม

ไป๋ถานพลันเลียริมฝีปากล่าง “ขนมข้าวนึ่ง น้ำแกงเป็ดน้ำข้นใส่หน่อไม้เขียว เนื้อหมูย่างซีอิ๊ว เนื้อกวางต้มน้ำแกงปลา…อาหารเหล่านี้ล้วนมีอยู่ในเมือง ข้าไม่ได้ลิ้มรสชาติมานานแล้ว” พูดจบไป๋ถานจึงค่อยได้สติ นางมองไปทางอู๋โก้ว “เอ๊ะ…เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าหรือ”

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ…” อู๋โก้วหลุบเปลือกตา “ข้าเพียงอยากบอกท่านว่า…ค่ำนี้พวกเรากินหัวไช้เท้ากัน”

ไป๋ถานสะบัดแขนเสื้อกลับเข้าเรือนอย่างหัวเสีย

ในเมื่อขอคนมาเพิ่มไม่ได้ ก็ได้แต่เรียกให้บ่าวชายที่มีอยู่ในเรือนไม่กี่คนตื่นตัวให้มากขึ้นเสียหน่อย

อันที่จริงไป๋ถานเพียงกันไว้ก่อนเท่านั้น อย่างไรเสียทางด้านฮ่องเต้ คนทางนั้นก็ได้แก้ไขสถานการณ์ไปแล้ว บางทีพระองค์อาจไม่สนพระทัยเรื่องการกล่อมเกลาจิตใจของหลิงตูอ๋องอีกก็เป็นได้ หรือยามที่ทรงนึกถึงอีกครั้งคนชุดดำนามว่าฉีเฟิงผู้นั้นก็อาจเปลี่ยนอาจารย์คนใหม่ให้หลิงตูอ๋องไปแล้ว…นี่มิใช่จะเป็นไปไม่ได้

 

จริงดังคาด หลายวันต่อจากนั้นไป๋ถานล้วนปลอดภัยไร้เรื่องราว เหมือนว่าคลื่นลมจะสงบลงแล้ว

เหล่าศิษย์ในห้องปีกตะวันตกต่างมีน้ำใจ นึกว่าวันก่อนที่ไป๋ถานไม่ได้มาสอนเป็นเพราะล้มป่วย หลายวันนี้ยามที่เดินทางมาเล่าเรียนจึงไม่ลืมที่จะนำตัวยาบำรุงฤทธิ์อุ่นมาแสดงความกตัญญูด้วย

ไป๋ถานนั่งสง่าอยู่หลังโต๊ะ ถือพัดขนนกขาวเล่มหนึ่งโบกถ่านไฟในเตาเล็กซึ่งต้มน้ำชาอยู่ช้าๆ พลางผงกศีรษะรับของกำนัลแล้วอมยิ้มไม่เผยฟัน

อู๋โก้วที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ยแก้ด้วยเจตนาดี “พวกเจ้ากำนัลสิ่งของเหล่านี้มาอาจารย์ก็ล้วนไม่ชอบสักนิด อาจารย์โปรดปรานขนมข้าวนึ่ง น้ำแกงเป็ดน้ำข้นใส่หน่อไม้เขียว เนื้อหมูย่างซีอิ๊ว แล้วก็เนื้อกวางในน้ำแกงปลามากกว่า”

“…” เหล่าศิษย์ต่างเงียบงันไปทันใด

พัดขนนกของไป๋ถานหวิดจะโบกขี้เถ้าปลิวเข้าไปในน้ำชา

บ้าบอที่สุด อาจารย์รักษาหน้าตาอยู่คิดว่าง่ายหรืออย่างไร!

วันนี้อากาศไม่ดี ไป๋ถานเพิ่งจะสอนเสร็จไม่นานนักลมก็พลันโหมกระโชก ท่าทางคล้ายฝนกำลังจะลงเม็ด ท้องฟ้าดำทะมึนในชั่วพริบตา

อู๋โก้วไปตักน้ำร้อนมา พอนางเดินผ่านกำแพงเรือนกลับโยนอ่างสำริดในมือทิ้งพลางกรีดร้องเสียงแหลมทันที

พวกบ่าวชายนึกว่าโจรที่คุณหนูเอ่ยถึงบุกเข้ามาจนได้ จึงต่างรีบรุดมาหมายจะล้อมจับโจรนั่น

ระหว่างที่ไป๋ถานถือโคมวิ่งตรงมา เสียงร้องของอู๋โก้วก็ไต่ขึ้นไปอีกหลายระดับจนแทบจะกลายเป็นท่วงทำนองอยู่แล้ว แขนของอู๋โก้วยกขึ้นสูง เอาแต่ชี้นิ้วไปที่กำแพงเรือน

พอไป๋ถานเงยหน้ามองขึ้นไปก็ผวาวูบ นอกเรือนมีเงาไม้ทึบน่าสะพรึงกลัว ขณะนั้นนางก็เห็นรางๆ ว่าบนกำแพงเรือนมีเงาร่างสีขาวนั่งอยู่ ชายอาภรณ์ยาวที่ห้อยลงมาโบกไหวไปตามแรงลม…

ขงจื่อไม่เอ่ยเรื่องเหนือธรรมชาติ ไป๋ถานก็เช่นเดียวกัน นางสงบสติปลุกปลอบความกล้าของตน ก่อนชูโคมเดินตรงไปส่องดู…

หนุ่มน้อยหน้ามน…ดวงตาดอกท้อ* ไฉนมองอย่างไรก็ดูคุ้นตายิ่งนัก

เมื่อเริ่มจำคนตรงหน้าได้ มุมปากของนางก็สั่นกระตุก ก่อนจะสะบัดหน้าแล้วเดินกลับทันที

เงาร่างสีขาวรีบกระโดดผลุงลงมาคว้าแขนของไป๋ถานไว้ “พี่สาว ข้าเอง ข้าคือไป๋ต้ง เหตุใดท่านไม่ไยดีข้าเลยเล่า”

ไป๋ถานหันหน้าไปขึงตาใส่เขา “ดึกๆ ดื่นๆ เจ้ามาหมอบอยู่บนกำแพงของข้า แสร้งทำเป็นภูตผีเช่นนี้ ยังคิดจะให้ข้าไยดีเจ้าอีกหรือ”

ไป๋ต้งร้อนรุ่มจนกระทืบเท้า “ปรักปรำกันแท้ๆ ข้าเพิ่งได้ยินว่าพี่สาวไปขอคนจากท่านพ่อมาป้องกันโจรไม่ใช่หรือ ท่านพ่อไร้เหตุผลไม่ดูดำดูดี ข้าทนดูไม่ได้ที่เขาไม่ยอมส่งคนมา จึงตั้งใจมาเฝ้ายามให้พี่สาวด้วยตนเอง”

ไป๋ถานหันไปมองอู๋โก้วซึ่งยังขวัญผวาไม่หายอยู่อีกด้านแล้วหันมากล่าวกับไป๋ต้งว่า “ที่แท้เจ้าก็กำลังเฝ้ายามอยู่นี่เอง”

ไป๋ต้งรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง “เดิมข้าก็ไม่อยากกระโตกกระตากหรอก อุตส่าห์จะทำความดีไว้โดยไม่ทิ้งนามเสียหน่อย”

ไป๋ถานได้ยินเช่นนั้นก็เหลือกตา ก่อนหันร่างเดินกลับห้อง

ไป๋ต้งรีบตามมาติดๆ พลางเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “พี่สาว หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าท่านอยู่ที่นี่แล้วพบเจอโจร อย่างไรข้าก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้ท่านย้ายกลับไปอยู่ที่จวนแน่ แต่หนนี้ข้าจะไม่เกลี้ยกล่อม ท่านอย่าได้กลับไปเด็ดขาดเชียว”

ไป๋ถานอดแปลกใจไม่ได้จึงชะงักฝีเท้าเพื่อสอบถาม “เพราะเหตุใด”

ไป๋ต้งโมโหอยู่บ้าง “ท่านพ่อกำลังหาวิธีบังคับให้ท่านกลับไปแต่งงานอย่างไรเล่า วันนั้นที่ท่านส่งอู๋โก้วไปที่จวนก็สมใจเขาพอดี ข้าจะปล่อยให้ท่านตกหลุมพรางของท่านพ่อไม่ได้”

“ข้าอายุตั้งยี่สิบหกแล้ว ยังจะมีตระกูลขุนนางสกุลใดเหลือบุรุษอายุที่เหมาะสมพอจะมาจับคู่กับข้าอีก” นางเอ่ยอย่างรู้สึกขบขัน

“ตระกูลขุนนางอะไรกัน เป็นเชื้อพระวงศ์ต่างหาก! มิหนำซ้ำอายุก็ไล่เลี่ยกับท่านด้วย แต่จวบจนบัดนี้ที่เขายังไม่แต่งงานเป็นเพราะไม่มีใครกล้าแต่งให้ ทั้งท่านกับเขาก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันสักนิด”

ได้ยินน้องชายกล่าวเช่นนี้ไป๋ถานยิ่งรู้สึกสงสัยใคร่รู้ “ที่แท้เป็นใครกัน”

“ยังจะมีใครได้อีกเล่า ก็หลิงตูอ๋องน่ะสิ! พี่สาว ท่านเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนย่อมไม่รู้อะไร หลิงตูอ๋องผู้นั้น เขา…เขา…”

พอไป๋ถานได้ยินชื่อนี้หัวคิ้วก็พลันขมวดมุ่น ขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด ทว่ายังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว “เขาเป็นอย่างไรหรือ”

“เขาก็เป็นมารร้ายน่ะสิ! ความชอบทางทหารโดดเด่นก็จริง แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับการฆ่าฟันจนติดเป็นนิสัย ได้ยินว่าตอนออกรบก็ชอบดื่มเลือดกินเนื้อคนดิบๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีเช่นมนุษย์ทั่วไปนานแล้ว ยามที่จับเชลยได้เป็นต้องทรมานจนกว่าอีกฝ่ายจะตาย ตายแล้วก็ยังเอากระดูกของพวกเขามาทำเครื่องประดับกำนัลแก่ผู้อื่น นางบำเรอในจวนของเขาล้วนต้องสวมใส่เครื่องประดับพรรค์นี้ ผู้ใดไม่ยอมทำตามก็จะถูกฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นเรื่อง ดังนั้นสตรีในจวนของเขาจึงได้สาบสูญไม่มีเหลือ ยามปกติเขาก็มักทำตามอำเภอใจยิ่ง เรียกว่าฆ่าไม่เลือกหน้า เจอเทพฆ่าเทพ เจอพระฆ่าพระก็ว่าได้!”

ไป๋ต้งพูดรวดเดียวมาถึงตรงนี้ก็ยกมือขึ้นกุมอกด้านซ้ายไว้ราวกับยากจะทนรับไหว “แต่งให้เขาไปพี่สาวจะต้องไม่รอดชีวิตเป็นแน่ เหตุใดท่านพ่อถึงได้ใจดำอำมหิตยิ่งนัก ทำราวกับไม่ไยดีความเป็นตายของท่านเช่นนี้…ไม่ๆ ข้าไม่เห็นพ้องด้วยเด็ดขาด คนพรรค์นั้นจะคู่ควรกับท่านได้อย่างไรกัน”

ไป๋ถานลอบกลืนน้ำลาย ที่แท้สิ่งที่ได้ยินได้เห็นในจวนหลิงตูอ๋องก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงเสี้ยวมุมหนึ่งเท่านั้น

ทว่าเมื่อมองจากอีกมุม ไป๋ต้งก็คิดมากไปโดยแท้

อย่างน้อยตอนนี้ในสายตาของฝ่าบาท นางก็เป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้ว อาณาจักรต้าจิ้นปกครองแผ่นดินด้วยความกตัญญู และเคร่งครัดในสามหลักปฏิบัติหกความสัมพันธ์* ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเกิดเรื่องผิดจารีตระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นงานมงคลนี้ฝ่าบาทย่อมเป็นผู้แรกที่จะทรงยับยั้งเอาไว้

ไป๋ถานตบไหล่ของน้องชาย “เอาล่ะๆ นั่นล้วนแต่เป็นเรื่องเลื่อนลอย ข้าไม่มีทางแต่งให้เขาแน่ เจ้าวางใจแล้วกลับไปเถิด”

ไป๋ต้งเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง “ข้าจะกลับไปได้อย่างไร ข้าบอกแล้วว่าจะมาเฝ้ายามให้ท่าน ตราบใดที่ยังไม่กำจัดอาจโจรนั่นให้ท่านได้ ไหนเลยข้าจะวางใจ!” เขาพูดพลางก้าวยาวๆ เดินย้อนกลับไปที่เชิงกำแพง แล้วปีนกลับขึ้นไปเพื่อเขย่าขวัญผู้คนต่อ ท่าทางในการปีนป่ายของเขาดูแคล่วคล่องว่องไวไม่เบาทีเดียว

ไป๋ถานรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนุ่มน้อยเลือดร้อน ทว่าลมโหมแรงเช่นนี้ต่อให้เขาเลือดร้อนระอุเพียงใดก็ถูกลมพัดให้เย็นชืดได้ นางจึงจำใจเอ่ยประนีประนอม “ถ้าอย่างไรเจ้ามานอนที่ข้างห้องข้าก็แล้วกัน จะได้เฝ้าข้าได้อย่างใกล้ชิด”

ไป๋ต้งแน่ใจอยู่แล้วว่าผู้เป็นพี่สาวจะต้องใจอ่อนกับตน พอได้ยินวาจานี้จึงกระโดดลงจากกำแพงเรือน พลางเดินเยื้องย่างด้วยย่างก้าวที่สง่างามเข้าไปในห้องด้านข้าง ก่อนเขาจะปิดประตูยังเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “พี่สาววางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน ต่อให้โจรร้ายนั่นมีสามเศียรหกกรก็ไม่อาจทำอะไรท่านได้!”

พวกบ่าวชายต่างลอบกุมศีรษะกันเงียบๆ …มีท่านเพิ่มมาอีกผู้หนึ่งจะไปได้ความอะไร มิใช่ทำให้ภาระของพวกเราหนักหนายิ่งขึ้นไปหรอกหรือ!

จริงดังคาด เนื่องจากความน่าเชื่อถือในคำพูดของไป๋ต้งนั้นอยู่ถึงเพียงช่วงกลางดึกเท่านั้น

 

ไป๋ถานอ่านหนังสือมาครึ่งคืน กระทั่งจะไปเข้านอนแล้ว ทันทีที่ยืนขึ้นก็มองเห็นว่าเบื้องหลังของตนเองมีเงาดำเพิ่มมาอีกสาย นางเหลียวคอไปมองอย่างแข็งทื่อก็พบฉีเฟิงในชุดดำยืนค้ำอยู่เบื้องหลังนางดุจสนโบราณต้นหนึ่ง

เมื่อสดับฟังเสียงข้างห้องอย่างถี่ถ้วนแล้ว กลับได้ยินเพียงเสียงกรนสะท้านฟ้าของไป๋ต้งดังมา

เอาเจ้าไว้มีประโยชน์อันใด ไหนเจ้าว่ามาซิ!

หว่างคิ้วของนางพลันย่นเข้าหากัน ยามที่ช้อนตามองอีกฝ่าย บนดวงหน้าของนางยังเผยความขลาดกลัวเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ฝ่าบาทคงไม่ทรงส่งคนมาสอบถามอีกรอบเร็วปานนี้กระมัง”

“เปล่า” ฉีเฟิงกล่าวเสียงแข็ง “ข้ามาวันนี้เพื่อจะบอกเจ้าว่าท่านอ๋องของข้าเพิ่งรับพระบัญชานำทัพไปปราบโจร ระยะนี้ท่านอ๋องจะไม่อยู่ในเมืองหลวง หากพบเจอผู้สอบถามของฝ่าบาท เจ้าอย่าได้พูดไปคนละทางจนเผยพิรุธออกไปเชียว”

ไป๋ถานฟังจบปฏิกิริยาแรกคือผ่อนคลาย ต่อจากนั้นกลับมุ่นคิ้วขึ้นมาอีก “เร็วๆ นี้ข้าก็พอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับท่านอ๋องของเจ้ามาบ้าง การที่เขานำทัพไปปราบโจรคราวนี้ ฝ่าบาทต้องทรงใช้โอกาสนี้สังเกตผลการกล่อมเกลาจิตใจของเขาเป็นแน่ หากเขายังฆ่าคนเป็นว่าเล่นอีก ความผิดย่อมตกอยู่ที่อาจารย์ ถึงตอนนั้นข้าคงไม่แคล้วต้องเคราะห์ร้ายเป็นแน่”

ฉีเฟิงหรี่ตา “อะไรกัน นี่เจ้าไม่เต็มใจหรอกหรือ” เขางัดกระบวนท่าเดิมมาใช้ ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ตรงหน้าอย่างรุนแรง “หากเจ้าไม่เชื่อฟังจะเป็นเช่น…”

ทว่าโต๊ะเล็กตัวนั้นกลับปลอดภัยไม่สึกหรอ สีหน้าของเขาพลันเหยเก รีบเอามือที่สั่นระริกไปไพล่ไว้ด้านหลังก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มในฉับพลัน

ไป๋ถานหดคอเล็กน้อยอย่างให้ความร่วมมือ จากนั้นจึงเอ่ยเตือนเขาด้วยเจตนาดี “โต๊ะเล็กที่ห้องข้าหุ้มแผ่นเหล็กเอาไว้น่ะ”

ดวงตาของฉีเฟิงแทบจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว ทว่าเป็นตายก็ไม่ยอมเสียหน้า เขายกมือที่สั่นเทิ้มและบวมฉึ่งจนกลายเป็นอุ้งตีนหมีขึ้นพร้อมคำรามต่ำๆ “จะเป็นเช่นเดียวกับมือนี้!”

“…” ไป๋ถานถึงกับไร้ถ้อยคำจะตอบโต้

นางถอนหายใจเบาๆ “หากฝ่าบาททรงสอบถามจนตำหนิมาถึงข้า ย่อมจะโยงไปถึงเรื่องที่เจ้ากระทำการเองโดยพลการด้วย ไม่รู้ว่าหลังจากท่านอ๋องของเจ้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้วจะคิดเห็นเช่นไร อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เหมือนกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟได้*”

มาดอันใหญ่โตของฉีเฟิงพลันสลายวับไปในพริบตา สีหน้าบิดเบี้ยวดุจพบเจอภูตผี ก่อนที่เขาจะสั่นเทาไปทั้งร่างราวกับคนเป็นไข้จับสั่น

ไป๋ถานแสร้งทำเป็นห่วงใย “เอ๊ะ เจ้าเป็นอะไรไป”

สีหน้าของฉีเฟิงใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ “ข้าเจ็บมือ…ไม่ได้หรืออย่างไร”

 

ทางด้านไป๋ต้งยังคงหลับสนิทกรนสนั่น…

เขานอนเต็มอิ่มตลอดหนึ่งคืนเต็ม ทว่าเช้าวันรุ่งขึ้นกลับลุกไม่ขึ้นเสียนี่ จวบจนกระทั่งยามเที่ยงถึงได้ลืมตาตื่น พอลุกขึ้นมานั่งก็ยังมึนงงอยู่อีกพักใหญ่ เขาคงอยู่ดีกินดีเกินไปแล้วจริงๆ วันนี้ยังนับเป็นหนแรกในชีวิตที่เขาต้องสวมเสื้อผ้าเอง

พอนึกได้เช่นนี้ไป๋ต้งก็สะทกสะท้อนใจสุดแสน

อันที่จริงเขากับไป๋ถานมิได้เกิดมาจากมารดาเดียวกัน ไป๋ถานเกิดจากซีฮูหยินซึ่งเป็นภรรยาเอก ส่วนเขาเป็นบุตรที่เกิดจากอนุ ทว่าซีฮูหยินล้มป่วยถึงแก่กรรมตั้งแต่วัยสาว ไป๋ถานแม้มีความสามารถเชิงบุ๋นแต่กลับไม่ลงรอยกับไป๋หยั่งถังผู้เป็นบิดา นางจึงลาจากบิดาก่อนจะย้ายออกมาอยู่ด้วยตนเองนานแล้ว นับจากตอนนั้นก็เป็นเวลาถึงสิบปี ทว่าบิดาและบุตรสาวคู่นี้ก็ยังไม่เคยได้พบหน้ากันอีก เปรียบกันแล้วเขาซึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากอนุกลับได้รับการประคบประหงมตั้งแต่เล็กจนโต

พอคิดมากเข้าไป๋ต้งก็เริ่มแสบจมูกนิดๆ ยามปกติข้างกายพี่สาวก็ไม่มีใครดูแลสักคน แล้วนางผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไรกันหนอ

กว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าเสร็จก็มิใช่ง่ายๆ ทว่าเสื้อผ้าบนร่างยังคงรุ่ยร่ายอยู่นั่นเอง โชคดีที่ไป๋ต้งมีรูปเป็นทรัพย์ ดูแล้วกลับให้ความรู้สึกผ่าเผยไม่ยึดติดกรอบธรรมเนียม

ไป๋ต้งผลักประตูเดินออกไป แสงตะวันกำลังพอเหมาะ ภายในเรือนเงียบสงบ เงาหลังของเหล่าศิษย์ซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ในห้องปีกตะวันตกล้วนยืดตรงเป็นระเบียบ

ดียิ่งๆ เห็นทีว่าการที่เขารักษาความเรียบร้อยอยู่ที่นี่จะมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม โจรนั่นย่อมไม่กล้าปรากฏตัวอีกเป็นแน่แท้

หลังตรวจตราภายในเรือนทั้งด้านหน้าและด้านหลังอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วก็รู้สึกหิวเล็กน้อย เขาลูบท้องแล้วหันหน้าไป กลับปะทะเข้ากับดวงหน้าไร้อารมณ์ของอู๋โก้ว

“มัดไว้” ทันทีที่อู๋โก้วโบกมือ บ่าวชายสองคนที่ถือเชือกอยู่ต่างพุ่งปรี่เข้ามาวนรอบตัวไป๋ต้งหลายหน ชั่วพริบตาก็มัดเขาจนกลายเป็นขนมจ้างแล้ว

“นี่ พวกเจ้าทำอะไรข้า!”

“อาจารย์กำชับว่าพักนี้มีโจรมาป้วนเปี้ยนในเรือน คุณชายไป๋อยู่ที่นี่เกรงจะไม่ปลอดภัย ส่งตัวกลับจวนไท่ฟู่จะดีกว่า”

บ่าวชายสองคนรีบแบกเขาวิ่งตะบึงไปทางประตูเรือน ไป๋ต้งไหนเลยจะยินยอม สองขาที่ชี้ฟ้าอยู่พยายามปัดป่ายเปะปะ ปากก็ตะเบ็งลั่นว่าจะอยู่พิทักษ์เรือนหลังนี้ ขอสาบานจะร่วมเป็นร่วมตายกับพี่สาว ไม่ว่าถ้อยคำใดเขาก็ล้วนงัดออกมาพูดได้ทั้งสิ้น

 

ด้านหลังของห้องปีกตะวันตกอยู่ติดกับสวน นับตั้งแต่เข้าสู่ฤดูสารทภายในสวนก็ปราศจากบุปผาแดงใบไม้เขียว ดอกบัวที่เคยอยู่เต็มสระกลับหลงเหลือเพียงฝักบัว

พูดตามตรงว่าในสวนแห่งนี้ช่างไม่มีสิ่งใดชวนมองเอาเสียเลย ทว่าวันนี้หัวข้อในชั้นเรียนของเหล่าศิษย์กลับเป็นการแต่งกลอนหนึ่งบทเกี่ยวกับสวนซึ่งไร้ความงามแห่งนี้

แต่ละคนลูบคางเกาแก้ม เค้นสมองเพื่อขบคิด ทว่ากระดาษที่อยู่ตรงหน้าก็ยังขาวโล่งดุจเดิม

บุตรหลานตระกูลขุนนางล้วนเจ้าอารมณ์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ยามปกติแม้จะเคารพให้เกียรติอาจารย์เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่แคล้วมียามที่จะขาดความอดทนอดกลั้นอยู่บ้าง บางคนครุ่นคิดว่าจะไปขอร้องอาจารย์ให้เปลี่ยนหัวข้อใหม่ที่ง่ายขึ้นดีหรือไม่ ทว่ากลับมีบางคนถึงขั้นคิดจะเลิกแต่งกลอนบทนี้เสียเลย

ยังไม่ทันที่ศิษย์เหล่านี้จะลงมือได้ตามความนึกคิด บ่าวชายสองคนของเรือนพักสกุลไป๋ก็แบกหนุ่มน้อยชุดขาวผู้หนึ่งวิ่งตะบึงผ่านไปพร้อมเสียงเอ็ดตะโรซึ่งดังสับสนอลหม่าน

ทุกคนล้วนปากอ้าตาค้าง สาดสายตาตามออกไปโดยพร้อมเพรียง นั่นมิใช่ไป๋ต้งคุณชายของจวนไป๋ไท่ฟู่หรอกหรือ เขาเป็นน้องชายของอาจารย์ชัดๆ แต่กลับถูกเชือกคล้องคอมัดแขนไพล่หลังแบกออกจากประตูเรือนไปเช่นนั้นได้

อาจารย์ที่แลดูสง่างามอ่อนโยนผู้นั้น ความจริงแล้วกลับเข้มงวดเฉียบขาดถึงเพียงนี้ กระทั่งน้องชายของตนเองก็ยังลงมือได้!

เหล่าศิษย์หันหน้ากลับมาโดยไร้เสียงจะเอ่ยวาจา พวกเขาเห็นไป๋ถานนั่งคุกเข่าภูมิฐานอยู่ตรงที่นั่งด้านบน สองหูไม่ใส่ใจเหตุการณ์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง คิ้วหลุบต่ำสมาธิจดจ่อ ริมฝีปากเม้มสนิท นิ้วมือที่เรียวงามขาวหมดจดโผล่พ้นจากแขนเสื้อกว้างซึ่งขลิบขอบด้วยสีฟ้าสายชลกำลังจับหน้าหนังสือ ทันใดนั้นนิ้วมืองามพลันบิดทีหนึ่ง มุมกระดาษยับย่นเป็นก้อนในทันที

ศิษย์ทั้งหมดพลันผวาวูบ ต่างรีบก้มหน้าขยับพู่กันเขียนอย่างเร็วรี่ แรงบันดาลใจในการประพันธ์ไม่เคยพุ่งกระฉูดดุจน้ำพุเช่นนี้มาก่อน

ไป๋ถานกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย อันที่จริงนางมองหนังสืออยู่ครึ่งวันแล้ว ทว่ากลับอ่านไม่รู้เรื่องสักตัวอักษรเดียว

นางกลุ้มใจอยู่น่ะสิ!

เป็นเพราะปากเสียๆ ของฉีเฟิงช่างแม่นยำแท้ แม้ตัวเกาผิงจะไม่ได้มาสอบถามอีก ทว่าวันนี้กลับให้คนส่งจดหมายฉบับหนึ่งมาให้นางแต่เช้า เนื้อความคือฝ่าบาททรงประกาศชัดว่าขอเพียงครั้งนี้หลิงตูอ๋องสำรวมตนก็จะตกรางวัลแก่อาจารย์เช่นนางอย่างงาม

แล้วถ้าหากเขาไม่สำรวมตนเล่า…

ช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน เดิมทีนางเพียงสอนหนังสือบนภูเขาตงซานอยู่ดีๆ ไม่เคยไปขัดแข้งขัดขาใคร เหตุใดจึงไปพัวพันกับมารร้ายผู้นั้นได้!

เหล่าศิษย์ที่ล้วนพึ่งใบบุญของไป๋ต้งต่างส่งงานของวันนี้ได้ก่อนเวลา ไป๋ถานสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงอนุญาตให้พวกเขากลับบ้าน ทั้งยังกล่าวชมเชยสองสามประโยค

ไม่คาดว่าศิษย์ทั้งหลายกลับพินอบพิเทากว่ายามปกติเสียอีก ทั้งยังไร้วี่แววผยองลำพองใจ

หัวใจของนางพลันเปี่ยมล้นไปด้วยความปลาบปลื้ม นี่สิจึงเป็นศิษย์ที่ดีของนาง ไหนเลยจะเหมือนคนสารเลวหลิงตูอ๋องนั่น!

เหล่าศิษย์หลังคารวะเสร็จแล้วก็พากันจากไปทีละคน พอถึงคราวของโจวจื่อ ไป๋ถานกลับแสดงท่าทีให้เขาหยุดรอก่อน

บิดาของโจวจื่อคือเจ้าเมืองอู๋ ไป๋ถานโปรดปรานสถานที่แห่งนั้น ทั้งใฝ่ฝันว่าสักวันจะได้เป็นปราชญ์ว่างงานล่องเรือชมทะเลสาบไท่หู* ด้วยเหตุนี้ยามว่างจึงชอบพูดคุยเรื่องในเมืองอู๋กับโจวจื่อเสมอ สองศิษย์อาจารย์มีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีมาตลอด

เห็นอาจารย์รั้งตนไว้ โจวจื่อจึงนึกว่าหนนี้อาจารย์ต้องการจะสนทนาเรื่องเมืองอู๋เช่นเคย ขณะที่สมองกำลังประมวลข้อมูลและเรื่องเล่าที่น่าสนใจของเมืองอู๋ กลับได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยว่า “อาจารย์ได้ยินว่าน้าชายของเจ้าเป็นข้าหลวงส่วนพระองค์ เจ้าพำนักอยู่ที่จวนของเขาคงเคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องของหลิงตูอ๋องบ้างกระมัง”

โจวจื่อหน้าซีดเผือดไปทันตา “ไยอาจารย์เอ่ยถึงมารร้ายผู้นั้นเล่า ท่านน้ากล่าวเสมอว่า ‘กาลก่อนไม่เอ่ยหู่ ปัจจุบันไม่เอ่ยจิ้น’ น้อยครั้งจะกล่าวถึงคนผู้นี้ ยิ่งไม่อนุญาตให้พวกเราเด็กรุ่นหลังวิพากษ์วิจารณ์ได้”

ไป๋ถานซักถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “อันใดเรียกว่า ‘กาลก่อนไม่เอ่ยหู่ ปัจจุบันไม่เอ่ยจิ้น’ ”

“อาจารย์คงยังไม่ทราบกระมัง หลิงตูอ๋องผู้นี้มีนามว่าซือหม่าจิ้น เป็นคนใจคออำมหิตชมชอบการเข่นฆ่า จนกระทั่งมีกิตติศัพท์ทัดเทียมกับสือหู่** อดีตฮ่องเต้ของแคว้นทางเหนือแล้ว”

ไป๋ถานมุ่นคิ้ว สือหู่อำมหิตถึงขั้นเคยพาหญิงงามกลุ่มใหญ่เฮโลไปล้อมชมฉากสังหารบุตรชายในไส้ของตนอย่างโหดร้ายทารุณมาก่อน หากกิตติศัพท์ของหลิงตูอ๋องเทียบเท่ากับอีกฝ่ายแล้ว นั่นไม่เลวร้ายถึงขีดสุดหรอกหรือ

แลเห็นโจวจื่อชำเลืองมองตนอย่างแปลกใจ ไป๋ถานจึงรีบเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพียงพูดคุยเป็นหัวข้อสนทนายามว่างเท่านั้น หาได้มีอันใดน่าหวั่นเกรงไม่ หรือว่าพวกเจ้าที่เป็นบุรุษยังมีจิตใจที่มิอาจเทียบสตรีเช่นอาจารย์ได้?”

โจวจื่อไหนเลยจะเผยอาการขลาดกลัวต่อหน้าอาจารย์ เขารีบเอ่ยตอบโดยไม่รอช้า “อาจารย์สอนสั่งด้วยชอบแล้ว ศิษย์เพียงเคยได้ยินท่านน้าบอกว่าหลิงตูอ๋องเป็นญาติผู้น้องของฝ่าบาท เขาเชี่ยวชาญการศึกจึงเป็นที่โปรดปรานอย่างมาก ทว่าเรื่องอื่นๆ ของเขานั้นศิษย์กลับไม่ทราบกระจ่างนัก”

ไป๋ถานกล่าว “อาจารย์ได้ยินว่าเร็วๆ นี้เขานำทัพไปปราบโจร น้าชายของเจ้าพอจะรู้ความคืบหน้าหรือไม่ บัดนี้พวกเจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกไม่ช้าล้วนต้องทยอยเข้ารับราชการ พวกเจ้าพึงใส่ใจเหตุการณ์ในราชสำนักไว้บ้าง”

โจวจื่อฟังจบก็พลันตระหนักได้ “อาจารย์สอนสั่งด้วยชอบแล้ว ศิษย์กลับไปจะเร่งสอบถามเรื่องนี้ดู”

ไป๋ถานยิ้มรับพลางผงกศีรษะ สนทนากับคนฉลาดย่อมไม่ต้องเหนื่อยแรง

 

โจวจื่อกลับไปถามมาจริงๆ วันรุ่งขึ้นเมื่อมาเข้าเรียนจึงนำข่าวสารมาแจ้งว่าคราวนี้หลิงตูอ๋องไปที่เมืองผอหยาง

โจรที่นั่นคือพรรคพวกซึ่งหลงเหลือจากการปราบปรามของหลิงตูอ๋องที่มณฑลเจียวโจว โจรซึ่งลอบหลบหนีมาเหล่านี้เป็นเสมือนเม็ดทรายที่รวมตัวกันไม่ติดจึงไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาเท่าไรนัก ประกอบกับฝีมือของหลิงตูอ๋องโหดเหี้ยมเฉียบขาด ทันทีที่ไปถึงจึงคว้าชัยได้อย่างต่อเนื่องประดุจผ่าลำไผ่ คาดว่าเขาจะกลับเมืองหลวงได้เร็วกว่ากำหนดมาก

ไป๋ถานไม่แยแสสักนิดว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร สิ่งที่นางต้องการคือประเด็นสำคัญ “รู้หรือไม่ว่าปราบโจรคราวนี้เขาก่อบาปเข่นฆ่าคนเกินจำเป็นอีกหรือเปล่า”

โจวจื่อตอบได้ทันที “ไหนเลยยังต้องเอ่ยถามอีก ว่ากันว่าทุกแห่งที่เขาผ่านไปล้วนมีซากศพกองเป็นภูเขา โลหิตนองดุจท้องธาร เสียงราษฎรโอดครวญดังระงมไม่หยุด ถึงขั้นมีคนบอกว่าอเนจอนาถยิ่งกว่าภัยจากโจรผู้ร้ายเสียอีก”

ไป๋ถานหลับตาลงอย่างเจ็บปวดรวดร้าว นี่เขาต้องการจะทำร้ายนางให้ถึงตายชัดๆ!

 

คนเราช่างแปลกพิกลแท้ เมื่อก่อนยามที่มิได้ให้ความสนใจใครสักคนก็คล้ายกับสัมผัสไม่ได้สักนิดถึงการดำรงอยู่ของคนผู้นั้น ต่อเมื่อวันใดเริ่มให้ความสนใจขึ้นมา คล้ายกับทั่วหล้าโยงใยไปถึงเรื่องที่เกี่ยวพันกับเขาได้ทั้งสิ้น

พลบค่ำของวันนั้น ไป๋ถานเพิ่งจะย่างเท้าขึ้นมาบนระเบียงทางเดินก็ได้ยินแม่ครัวกำลังซุบซิบกับอู๋โก้วว่าพักนี้ที่อารามเป้าผู่ย่ำระฆังถี่ขึ้นเป็นเพราะเหล่านักพรตกำลังประกอบพิธีสวดส่งดวงวิญญาณ สาเหตุทั้งหมดล้วนมาจากหลิงตูอ๋องมารร้ายผู้นั้นที่ก่อบาปเข่นฆ่าเกินจำเป็น

อู๋โก้วยังจดจำคำพูดของไป๋ต้งในคืนนั้นได้ พอนางชำเลืองตาเห็นไป๋ถานจึงวิ่งรี่เข้ามาโน้มน้าวทันที “อาจารย์ ท่านจะแต่งให้หลิงตูอ๋องผู้นั้นไม่ได้เด็ดขาดเชียวนะเจ้าคะ หาไม่สักวันเสียงระฆังของอารามเป้าผู่อาจตีให้ท่านก็เป็นได้”

มีศิษย์ที่แช่งอาจารย์ของตนเช่นนี้ด้วยหรือ ไป๋ถานอับจนถ้อยคำ

 

เช้าวันนี้ดวงตะวันเพิ่งเยี่ยมหน้า ไป๋ถานก็คลุมเสื้อคลุมเดินมาจนถึงนอกห้องปีกตะวันตก เหล่าศิษย์เพิ่งจะรุดมาถึงกันพอดี

โจวจื่อยืนคารวะนางอยู่หน้าประตูโดยไม่ลืมที่จะพูดคุยกับนาง “อาจารย์ต้องระวังหน่อยนะขอรับ ได้ยินว่าปีนี้ฤดูหนาวมาเร็ว ทั้งที่เพิ่งจะต้นเดือนเก้าอากาศก็หนาวมากแล้ว”

เพิ่งผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ไป๋ถานกลับได้ยินเขาเอ่ยต่อ “ทว่าผู้คนบนท้องถนนต่างพูดกันว่าเหตุที่ปีนี้อากาศหนาวจัดมาเยือนเร็วล้วนเป็นเพราะหลิงตูอ๋องก่อบาปหนาเกินทน เสียงเคืองแค้นของผู้คนจึงดังทะลุไปถึงชั้นฟ้า เป็นเรื่องที่จนใจยิ่งนัก”

รอยยิ้มของนางพลันแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก ไยจึงมีเขาอยู่ไปเสียทุกที่!

ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างเหลือบมองโจวจื่อด้วยหางตา ท่าทางเขาจะประจบผิดที่ผิดทางเสียแล้ว สมน้ำหน้านัก!

เสียงน้ำในกาน้ำหยด* ร่วงหยดดังเผาะ เมื่อทุ่นลอยขยับขึ้นก็ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว

คนทั้งหมดนั่งประจำที่ พอไป๋ถานจะเริ่มสอนกลับมองเห็นอู๋โก้ววิ่งรี่มาจากระเบียงทางเดิน

เพราะนางอายุมากกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อยจึงถึงวัยที่ไม่อาจเรียนร่วมชั้นกับเหล่าศิษย์ชายได้อีก ไป๋ถานจึงแยกสอนนางตามลำพัง จู่ๆ วันนี้นางวิ่งมาที่ห้องปีกตะวันตกระหว่างเวลาเรียนเช่นนี้ ไป๋ถานย่อมอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

หลังสั่งให้เหล่าศิษย์ทบทวนตำราไปพลางก่อน ไป๋ถานก็ลุกขึ้นเดินออกไปนอกประตู “เป็นอะไรหรือไม่”

อู๋โก้วชี้มือไปที่ลาน ไป๋ถานมองตามไปก็เห็นเด็กหนุ่มชุดเทาผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาคือซวงเฉวียนเด็กรับใช้ประจำตัวไป๋ต้ง

เฮ้อ…เจ้าเด็กหน้าเหม็นนั่นยังขุ่นเคืองเรื่องที่ถูกไล่กลับไปอยู่เป็นแน่

ไป๋ถานสอดสองมือเข้าในแขนเสื้อพลางก้าวเนิบๆ ทว่าตรงไปตรงมาเพื่อสอบถาม “ไป๋ต้งเป็นอะไรไปอีกล่ะ”

ซวงเฉวียนคุกเข่าพรวด ก่อนจะโขกศีรษะดังตุบๆ “คุณหนูช่วยด้วยขอรับ คุณชายไปล่วงเกินผู้อื่นเข้า น่ากลัวว่าจะไม่รอดชีวิตแล้ว!”

ไป๋ถานตะลึงงัน “ล่วงเกินผู้อื่นก็คงไม่ถึงขั้นจะเอาชีวิตกันหรอกกระมัง เหตุใดเจ้าไม่ไปขอความช่วยเหลือจากไท่ฟู่เล่า”

“นายท่านเป็นคนเรียกให้ข้ามาขอร้องคุณหนูเอง นายท่านบอกว่าใต้หล้านี้ผู้ที่จะช่วยชีวิตคุณชายได้มีเพียงคุณหนูเท่านั้น คุณหนูได้โปรดรีบไปดูหน่อยเถิด หากช้ากว่านี้เกรงว่าคงไม่ทันการณ์แล้ว!”

ลางสังหรณ์ไม่ดีวาบผ่านหัวใจของไป๋ถาน “อีกฝ่ายเป็นใคร”

“หลิง…หลิงตูอ๋องขอรับ”

“…” ไป๋ถานหลับตา

ไฉนข้าถึงเคราะห์ร้ายเช่นนี้หนอ!

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com