ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด

บทที่สอง

นอกประตูเมืองทิศตะวันตก สายลมฤดูสารทพัดดังหวีดหวิว ทัพใหญ่จัดแถวเป็นระเบียบอยู่ริมคูเมือง กระโจมหลังหนึ่งตั้งหันหน้าเข้าหาประตูเมืองปิดทางเข้าออกของสะพานชักพอดิบพอดี

ไป๋ต้งถูกมัดแน่นหนาทิ้งให้อยู่นอกกระโจม อาภรณ์สีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เขาขบริมฝีปากล่างพลางเหลือบดวงตาดอกท้อคู่นั้นไปมา เขาฉุนเฉียวจนใบหน้าแดงก่ำ

จู่ๆ เช้านี้หลิงตูอ๋องก็กลับมาถึงเมืองหลวงเร็วกว่ากำหนดเดิมที่แจ้งไว้ในหนังสือกราบทูลหลายวัน เผอิญในวังกำลังมีการบวงสรวงฤดูสารท ฝ่าบาททรงนำขุนนางทั้งหลายไปที่ศาลบวงสรวงเพื่อขอพรให้เป็นปีที่เก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์ ด้วยไม่อาจส่งขุนนางคนใดออกไปได้ ราชโองการฉบับหนึ่งจึงถูกส่งไปยังจวนไท่ฟู่ บัญชาเป็นกรณีพิเศษให้ไป๋ต้งรับตำแหน่งชั่วคราวเป็นขุนนางฝ่ายพิธีการไปต้อนรับหลิงตูอ๋อง

ไป๋ต้งใช้นิ้วเท้าคิดดูก็รู้ได้ว่าบิดาจะต้องเป็นผู้เสนอชื่อของตนแน่ เป็นไปได้สูงว่าทำเพื่อแสดงไมตรีต่อหลิงตูอ๋อง จากนั้นจะได้จับพี่สาวแต่งให้อีกฝ่ายไป

เพียงคิดว่าพี่สาวที่แสนดีของตนกำลังจะถูกหลิงตูอ๋องมารร้ายผู้นี้แตะต้อง ไป๋ต้งพลันรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าฟ้าถล่มลงมาเสียอีก เรื่องเยี่ยงนี้บิดาทนได้ แต่น้องชายเช่นเขามิอาจทน!

ทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดราชโองการ จึงได้แต่ต่อต้านเชิงรับด้วยการไม่สวมชุดขุนนางฝ่ายพิธีการมาต้อนรับและแสดงท่าทีขาดมารยาทจนถึงขั้นโอหังไปบ้างกับอีกฝ่าย

เดิมเขานึกว่าหลิงตูอ๋องแม้จะเป็นมารร้าย แต่ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ เอ่อ ไม่สิ…ตีบุตรชายยังต้องดูบิดาก่อน! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คงไม่ถึงขั้นถูกลงโทษร้ายแรงอะไร

และต่อจากนั้น…เขาก็มาลงเอยในสภาพเช่นนี้!

ซวงเฉวียนรุดไปขอความช่วยเหลือกับบิดาของเขาที่ศาลบวงสรวงตั้งนานแล้ว แต่จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา

ไป๋ต้งเงยหน้ามองหอสังเกตการณ์บนกำแพงเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทหารรักษาเมืองที่อยู่ด้านบนถึงกับสุมหัวล้อมวงกันเพื่อดูเขา ช่างไร้มโนธรรมเกินไปแล้ว!

ม่านกระโจมพลันถูกเปิด ฉีเฟิงก้าวยาวๆ เดินออกมาคว้าตัวไป๋ต้งหิ้วเข้าไปในกระโจม

ไป๋ต้งถูกโยนลงกับพื้น ดวงหน้าขาวเนียนเปรอะฝุ่นไปทั้งแถบ อเนจอนาถอย่างบอกไม่ถูก เขาช้อนตาขึ้นมองเห็นเงาคนที่อยู่หลังฉากบังลมกำลังถอดชุดเกราะ เสียงแขนเสื้อที่เสียดสีกันเพียงแผ่วเบากลับสะกิดให้เพลิงโทสะของไป๋ต้งไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีก เขาแทบจะกระโจนเข้าไปแลกชีวิตกับอีกฝ่าย “ซือหม่าจิ้น! เจ้านึกว่าทุกคนล้วนเกรงกลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ บิดาของข้าคือไท่ฟู่คนปัจจุบัน ตำแหน่งสูงเป็นหนึ่งในสามกง กระทั่งฝ่าบาทยังทรงให้เกียรติสามส่วน เจ้ากล้าดีอย่างไรมาแตะต้องข้าตามอำเภอใจ!”

ฉีเฟิงพลันบังเกิดโทสะ “ชิชะ! นี่เจ้าต้องการประชันบิดาของเจ้ากับท่านอ๋องของข้าใช่หรือไม่ บิดาของท่านอ๋องข้าคืออดีตฮ่องเต้! บิดาเจ้าที่เป็นแค่สามกงจะนับเป็นตัวอะไร แม้แต่เก้ากงก็ยังไร้ประโยชน์!”

ไป๋ต้งตะลึงงัน พลันระลึกถึงสิ่งที่บิดาเคยเอ่ย…หลิงตูอ๋องเป็นโอรสของอดีตฮ่องเต้ ทว่าอดีตฮ่องเต้ก่อนสวรรคตกลับมอบบัลลังก์แก่ญาติผู้พี่ของหลิงตูอ๋อง ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันถึงทรงให้ท้ายเขาสารพัดอย่าง ทั้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพฤติกรรมโฉดชั่วของเขา

ไป๋ต้งพลันกลืนน้ำลายไม่กล้าส่งเสียงอีก

เบื้องหลังฉากบังลมกลับคืนสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง จากนั้นเสียงพูดอันเยียบเย็นดุจน้ำแข็งจึงถ่ายทอดออกมา “ฉีเฟิงเตือนสติข้าพอดี ตรงนี้มีภาพปักเก้าตำหนัก อยู่ผืนหนึ่ง ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรชายของไท่ฟู่ คาดว่าคงมีความรู้อยู่พอสมควร มิสู้ให้ข้าได้ประจักษ์สักหน่อยเล่า” จบคำ ซือหม่าจิ้นก็หันหน้าไปเอ่ยเรียก “กู้เฉิง เอาภาพมาให้เขา”

ขณะที่ไป๋ต้งกำลังงุนงงสงสัยก็เห็นองครักษ์รูปร่างผอมสูงเรือนผมแห้งกรอบผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังของฉากบังลม มือของอีกฝ่ายประคองผ้าไหมสีสันละลานตาผืนหนึ่งไปวางบนโต๊ะเล็ก จากนั้นเดินมาตรงหน้าไป๋ต้งแล้วแก้มัดให้เขา

เขารีบขยับแขนขายืดเส้นยืดสายก่อนก้มหน้ามองดู สีผืนผ้าไหมที่อยู่บนโต๊ะเล็กเป็นสีฟ้าอ่อน ด้านบนของผ้าปักตัวอักษรถี่ยิบด้วยเส้นด้ายสีต่างๆ มิน่าเล่าถึงได้ดูหลากสีนัก

ซือหม่าจิ้นเอ่ย “ภาพปักผืนนี้มีทั้งสิ้นเก้าตำหนัก ทุกตำหนักล้วนเป็นกลอนย้อนอักษร แต่ละตำหนักแม้จะเป็นเอกเทศ ทว่าก็เชื่อมโยงถึงกันทุกตำหนัก ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งก้านธูป หากเฉลยคำตอบไม่ได้ ทุกหนึ่งก้านธูปข้าจะเปลื้องผ้าเจ้าออกหนึ่งชิ้น”

ไป๋ต้งรีบยกมือโอบสองแขนของตน “นี่มันความชอบพิลึกพิลั่นอันใดของเจ้า ช่วงบนช่วงล่างทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีเสื้อผ้ารวมกันไม่ถึงเก้าชิ้นสักหน่อย!”

ซือหม่าจิ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “แม้ไม่มีเสื้อผ้าก็ยังมีผิวหนัง ขอแค่ใช้คมมีดกรีดเปิดจากฝ่าเท้า ถลกหนังออกมาทั้งผืนแล้วยัดฟางใส่เข้าไปก็จะเป็น ‘กระสอบหญ้าฟาง’ ขนานแท้”

“…”

เมื่อก่อนไป๋ต้งเพียงได้ยินกิตติศัพท์ของมารร้ายผู้นี้ ทว่ายังไม่เคยได้สัมผัสกับตนเองอย่างแท้จริง เมื่อครู่ที่ตนเอะอะโวยวายใส่เขาไปจึงค่อยมารู้สึกหวาดผวาเอาจนป่านนี้

เขาไม่ใช่คน เป็นมารปีศาจชัดๆ!

กู้เฉิงวางกระถางธูปไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว สิ่งล้ำค่าทั้งสี่แห่งห้องหนังสือ ก็ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพ

ไป๋ต้งนั่งคุกเข่าตัวตรง ถือพู่กันมือสั่น แค่เปิดฉากมาด่านแรกที่ตำหนักซวิ่นเขาก็คาอยู่ตรงนั้นเสียแล้ว

กลอนย้อนอักษรสามารถจำแนกได้หลายชนิด เช่น ย้อนทั้งบท ย้อนเฉพาะวรรค และย้อนสองวรรค กลวิธีการคิดที่แตกต่างย่อมจะได้ความหมายที่ผิดกันลิบลับ

ที่แท้ควรใช้รูปแบบการย้อนอักษรชนิดใดมาคิดดีเล่า ทั้งที่เห็นอยู่ว่าทุกคำล้วนอ่านเข้าใจ ทว่าเขากลับไม่กล้าตัดสินความหมายออกมาส่งเดช อีกทั้งด้านหลังยังมีโจทย์อีกแปดตำหนักที่รอให้เขาต้องแก้! ไป๋ต้งกลืนน้ำลายเสียงดัง บนหน้าผากถึงกับเริ่มมีเหงื่อผุดซึม

เมื่อก่อนบิดามักตำหนิที่เขาไม่ยอมตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เทียบพี่สาวไม่ติดสักนิด ทว่าเขากลับไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ วันนี้ถึงค่อยรู้ว่าอันใดคือ ‘ยามต้องใช้จึงสำนึกว่าเรียนมาน้อย’

เขาขบกรามนึกอยากโยนพู่กันทิ้ง ทว่าผู้ที่อยู่หลังฉากบังลมกลับพลันเอ่ยปาก “หากเจ้ากล้าปฏิเสธ ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นกระสอบหญ้าฟางเดี๋ยวนี้”

“…” เขาได้แต่กระชับด้ามพู่กันอีกครั้งโดยมิอาจกล่าววาจา

เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าเวลาหนึ่งก้านธูปจะรวดเร็วปานนี้ เหลือบมองเพียงแวบเดียวธูปก็ใกล้จะไหม้หมดแล้ว ไป๋ต้งจำใจฝืนทำเก่งเขียนคำตอบที่ตนเองไม่แน่ใจลงไป

พอกู้เฉิงนำกระดาษเสี่ยวเจียน* ที่เขาเขียนเสร็จแล้วส่งไปที่ด้านหลังฉากบังลม สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาคือเสียงหัวเราะเยาะหยัน “ผิดแล้ว”

ฉีเฟิงก้าวยาวฉับๆ ตรงมากระชากเสื้อนอกของไป๋ต้งออกอย่างไม่เกรงใจ

“ตำหนักถัดไปยังมีโอกาส ไม่ต้องร้อนใจ” ซือหม่าจิ้นถึงกับพูดปลอบประโลมไป๋ต้ง ทว่าน้ำเสียงที่เจือไว้ด้วยความเยาะหยันอันแจ่มชัดนั้นบอกให้เขารู้สึกถึงความกระหายตื่นเต้นที่ซือหม่าจิ้นจะได้เห็นเลือด

ไม่ร้อนใจจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ไป๋ต้งพลันมือไม้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว หัวใจก็ยิ่งกระสับกระส่ายไร้หนทางจะบังคับสายตาไม่ให้เหลือบมองไปทางกระถางธูป สมาธิของเขาไม่อาจจดจ่ออยู่ที่ตัวอักษรบนภาพได้อีกแล้ว

พอเวลาของธูปดอกที่สองหมดลง ฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็เดินขึ้นหน้ามาโดยพร้อมเพรียง ประกบซ้ายขวาแล้วผลัดกันลงมือ ถลกเสื้อของไป๋ต้งออกไปอีกหนึ่งชิ้น

ดูเหมือนพวกเขาจะคาดการณ์แน่นอนแล้วว่าไป๋ต้งจะไม่มีทางไขคำตอบออก สองคนนั้นจึงคอยท่าอยู่ข้างกายเสียเลย รอให้ถึงเวลาจะได้กระชากเสื้อของเขาออกทันที

ไป๋ต้งเจ้าสำอางห่วงรูปลักษณ์ กระทั่งปลายฤดูสารทเช่นนี้ก็ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น บัดนี้อาภรณ์ท่อนบนถูกเปลื้องจนเหลือเพียงเสื้อตัวในชิ้นเดียวแล้ว หากถอดกางเกงชั้นในไปอีกตัวเขาก็จะถูกถลกหนังจริงๆ แล้ว

ทว่าเขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย ทั้งแผ่นหลังยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ

ซวงเฉวียน เจ้าตัวบัดซบ ไปขอกองหนุนถึงบนสวรรค์หรืออย่างไร!

นอกกระโจมพลันมีเสียงทหารตวาดก้อง “บังอาจ! กระโจมนี้ให้เจ้าบุกรุกได้หรือ”

ฉีเฟิงซึ่งตั้งตารอกระชากเสื้อผู้อื่นอยู่ถูกเสียงนี้ทำเอาสะดุ้งเฮือกจึงเอ่ยสวนออกไปอย่างหัวเสีย “โหวกเหวกหาอะไร! ไม่รู้หรือว่ารบกวนความสงบของท่านอ๋อง อีกเดี๋ยวข้าจะออกไปเอาชีวิตสุนัขเช่นเจ้า!”

ด้านนอกจึงเงียบกริบในพริบตา ม่านกระโจมพลันถูกเปิดด้วยพัดขนนกขาวเล่มหนึ่ง ไป๋ถานโน้มกายเข้าสู่ด้านใน ทหารซึ่งตามหลังมาอย่างกระชั้นชิดหมายจะยับยั้ง ทว่าเท้าเพิ่งก้าวเข้ามาก็รีบถอยออกไปอย่างลนลานแล้ว

“พี่สาว!” ไป๋ต้งทิ้งพู่กันโผเข้าไปหาพร้อมน้ำตาและน้ำมูก

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อพลันระลึกได้…มารดามันเถอะ! ไยจึงลืมเสียได้ว่านางก็เป็นคนในสกุลไท่ฟู่!

ไป๋ถานลูบศีรษะน้องชายด้วยพัดขนนกก่อนช้อนตามองไปทางฉากบังลม “หลิงตูอ๋องโปรดอภัย เมื่อครู่ข้าน้อยขอพบท่านอ๋องแล้วแต่ถูกคนขัดขวาง ข้าน้อยอยู่ด้านนอกได้ยินเหตุการณ์จึงจำใจฝืนบุกรุกเข้ามา ขอท่านอ๋องโปรดอนุญาตให้ข้าน้อยไขปริศนาภาพปักผืนนี้แทนผู้เป็นน้องชายด้วย”

“พี่น้องช่างผูกพันกันลึกล้ำยิ่ง” เสียงของซือหม่าจิ้นเจืออารมณ์สนุกสนานเพิ่มเข้ามา “เห็นแก่ที่เจ้ากล้าหาญน่าชื่นชม ข้าจะละเว้นความผิดฐานบุกรุกกระโจมให้เจ้าชั่วคราว แต่ในเมื่อเจ้าได้ยินเหตุการณ์แล้วก็คงรู้นะว่าหากไขคำตอบไม่ได้จะมีโทษเช่นไร”

ฉีเฟิงเห็นนางมาเพื่อช่วยคนเท่านั้นจึงลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินวาจานี้ของนาง เขายังหัวเราะทีหนึ่งอย่างไม่ประสงค์ดี คาดว่าไป๋ถานจะต้องหวาดกลัวหัวหดอีกเช่นเคย

กู้เฉิงกลับเป็นผู้ที่ซื่อตรงกว่า ยามแลเห็นผิวหน้าที่ขาวบอบบางของไป๋ถานตากลมฤดูสารทเพราะอยู่นอกกระโจมเสียนาน สองแก้มและปลายจมูกจึงล้วนแดงเรื่อ ก่อให้เขาเกิดความรู้สึกรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมานิดๆ จึงเอ่ยเตือนเสียงเบาประโยคหนึ่งว่า “ไขคำตอบไม่ได้จะถูกเปลื้องผ้าถลกหนังเชียวนะ”

ไป๋ถานควงด้ามพัดกับร่องนิ้วพลางตอบ “ได้!”

ในกระโจมเงียบสงัดทันตา บรรยากาศแปลกพิกลอยู่บ้าง ไป๋ต้งอดไม่ได้ที่จะกระตุกชายเสื้อของพี่สาวหมายโน้มน้าวนางให้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนก่อน ไม่คาดว่ากลับถูกนางใช้พัดปัดมือเขาออก ไป๋ต้งจึงเบ้ปากแล้วไปยืนด้านข้างอย่างน้อยใจ

ดวงตาของไป๋ถานจ้องเขม็งไปที่ฉากบังลม “ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องกล่าวแต่บทลงโทษ แต่ยังมิได้เอ่ยถึงรางวัลเลย”

ฉีเฟิงเอ่ยด้วยความขบขัน “ผู้อื่นมีความผิดติดตัว เจ้ายังคิดจะเอารางวัลอีกหรือ”

ไป๋ถานไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกฝ่าย “ข้าเพียงบอกว่าจะไขปริศนาแทนน้องชาย ไม่ได้พูดสักนิดว่ารางวัลจะตกเป็นของเขา ในเมื่อภาพปักผืนนี้ข้าเป็นผู้คลี่คลายคำตอบได้ รางวัลย่อมจะต้องเป็นของข้า เกี่ยวอันใดกับเขาเล่า”

ฉีเฟิงอับจนด้วยถ้อยคำ ในใจรู้สึกแปลกพิกล เหตุใดนางจึงไม่เกรงกลัวเขาเสียแล้ว จู่ๆ ก็เกิดขวัญกล้าขึ้นมาอย่างนั้นหรือ

ไม่รู้ว่าพี่สาวดีดลูกคิดรางแก้วอันใดอยู่ ไป๋ต้งอดไม่ได้ที่จะห่อเหี่ยว หน้าม่อยคอตก มือขยุ้มชายเสื้อตนเองไว้ ทว่าไม่อาจเปล่งเสียง

ซือหม่าจิ้นกลับรู้สึกสนุกสนานยิ่งกว่าเดิม เขาถึงกับไม่ปฏิเสธ “ได้ อีกเดี๋ยวข้าค่อยลงโทษเขา ส่วนเจ้า หากเจ้าไขคำตอบได้จริง ต้องการสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น”

ไป๋ถานขบคิดชั่วอึดใจ “ต่อให้เปลื้องผ้าถลกหนังท่านอ๋องก็ได้เช่นนั้นหรือ”

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงล้วนมีสีหน้าดุจพบเจอภูตผี…

นี่เจ้ากล้าพูดออกมาเช่นนี้เชียวหรือ!

ซือหม่าจิ้นชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงย้อมด้วยความตื่นเต้นอันแปลกประหลาด “นั่นก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถนี้พอหรือไม่”

ที่ข้ารออยู่ก็เพียงประโยคนี้ของเจ้า! ความคั่งแค้นในช่วงที่ผ่านมาของไป๋ถานถูกสะกิดออกมาจนหมดสิ้น เมื่อจะได้ถึงคราวชำระสะสางให้ละเอียด นางจึงเลิกชายชุดขึ้นแล้วนั่งลงคุกเข่าลงทันที

เพิ่งตั้งท่าจะยกพู่กัน กู้เฉิงคนซื่อก็วิ่งเอาธูปดอกใหม่มาเปลี่ยนกับธูปซึ่งจุดอยู่ในกระถางแล้ว

สายตาของไป๋ถานจับนิ่งอยู่ที่ภาพปักขณะเอ่ยปาก “เจ้าจุดธูปเก้าดอกพร้อมกันทีเดียวเลยก็ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ตั้งใจจะไขคำตอบทั้งเก้าตำหนักพร้อมกันอยู่แล้ว”

กู้เฉิงปากอ้าตาค้าง มองนางเพียงแวบหนึ่งก่อนหันหน้าไปมองทางฉากบังลม แลเห็นเลาๆ ว่าเงาร่างซึ่งเดิมทีเอนตะแคงอยู่บนตั่งเปลี่ยนมายืดกายนั่งตรงเมื่อได้ยินประโยคนี้

ไป๋ต้งย่อมเชื่อมั่นในความสามารถของพี่สาว ทว่าชั่วขณะนี้ในใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียด

สายลมฤดูสารทหอบม่านกระโจมปลิวสะบัดขึ้นลงเช่นนี้ เขาวิตกว่าสายลมนั้นจะช่วยเร่งให้ธูปไหม้เร็วขึ้น จึงยืนอยู่ตรงปากทางคอยบังลมไว้ ขณะเดียวกันสายตาก็จ้องเขม็งไปที่ธูปเก้าดอกนั้น

ขี้ธูปยาวขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะร่วงลงสู่กระถาง จากนั้นยาวขึ้นแล้วร่วงหล่นลงไปอีก…

ไป๋ต้งจดจ่อจนแทบไม่รับรู้สิ่งรอบข้าง เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าหากพี่สาวเกิดแก้โจทย์นี้ไม่ออก เขาจะปกป้องความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางจนกว่าชีวิตจะหาไม่!

หลังปะทะเดือดกับมารร้ายผู้นั้นอยู่ในสมองไปหลายร้อยยกแล้ว เขาก็พลันได้ยินเสียงดังกุกกักทีหนึ่ง ยามที่เพ่งตามองไป จึงพบว่าธูปยังเหลืออยู่ท่อนเล็กๆ ขณะที่ไป๋ถานได้วางพู่กันลงบนโต๊ะแล้ว

“เชิญท่านอ๋องตรวจดู” นางหยิบพัดขนนกวาดไปทางฉากบังลม

กู้เฉิงเดินมาหยิบกระดาษเสี่ยวเจียนเหล่านั้นขึ้นมาเป่าน้ำหมึกให้แห้ง ก่อนจะสาวเท้าส่งเข้าไปหลังฉาก

ซือหม่าจิ้นพลิกกระดาษจนบังเกิดเสียงเสียดสีแผ่วเบา นิ้วมือเผยพ้นขอบฉากตามท่าทางการเคลื่อนไหวเป็นครั้งคราว นิ้วมือของเขานั้นเรียวยาวขาวสะอาด มองไม่ออกสักนิดว่ามือคู่นี้โปรดปรานการอาบเลือดยิ่งนัก

รอจนการเคลื่อนไหวยุติ เสียงพลิกกระดาษสงบลงแล้ว เขาจึงเอ่ยปากกล่าว “ไม่เลว แก้โจทย์ได้ทั้งเก้าตำหนัก”

ไป๋ต้งพลันหัวใจพองโต กระทั่งได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสริมมาว่า “แต่น่าเสียดาย เจ้าไม่ได้ไขคำตอบขั้นสุดท้าย”

ไป๋ถานปรายตามองกระถางธูป “อันตำแหน่งของเก้าตำหนัก ได้แก่สี่และสองอยู่มุมบน แปดและหกอยู่มุมล่าง ซ้ายคือสามขวาคือเจ็ด บนคือเก้าล่างคือหนึ่ง ห้าอยู่กึ่งกลาง เมื่อยึดตามตำแหน่งนี้ กลอนย้อนอักษรของตำหนักซวิ่นดึงวรรคที่สี่ ตำหนักคุนดึงวรรคที่สอง ตำหนักเกิ้นดึงวรรคที่แปด ตำหนักเฉียนดึงวรรคที่หก ตำหนักหลีดึงวรรคที่เก้า ตำหนักข่านดึงวรรคที่หนึ่ง ตำหนักกลางดึงวรรคที่ห้า ทั้งหมดเก้าวรรคประกอบเป็นกลอนย้อนอักษรบทใหม่ กลอนบทนี้บอกใบ้ถึงสถานที่แห่งหนึ่งพอดี…นั่นคือสามสิบลี้ทางตะวันออกของบึงเผิงหลี่* ทิศเหนือของภูเขาหยางซาน คาดว่านี่ก็คือคำตอบขั้นสุดท้ายที่ท่านอ๋องเอ่ยถึง” นางเว้นวรรคเล็กน้อย “ขอบังอาจเรียนถามท่านอ๋องว่าเสาะพบของดีอันใดที่สถานที่แห่งนี้หรือไม่”

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงต่างตะลึงค้างไปโดยสิ้นเชิง

พวกเขาค้นเจอภาพปักผืนนี้ได้จากศพของหัวหน้าโจร เชลยบอกว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดที่กุนซือสั่งให้ปักมามอบแด่หัวหน้า

แต่ซือหม่าจิ้นกลับรู้สึกว่าภาพปักนี้มีปริศนาแอบแฝงอยู่ หลังสั่งให้ลงทัณฑ์เค้นสอบกุนซือถึงได้ล่วงรู้ความลับว่าที่แท้นี่เป็นสถานที่ซ่อนสมบัติของพวกโจร

พวกเขาขุดพบของดีที่นั่นจริง หากไม่เป็นเช่นนี้มีหรือขณะที่บวงสรวงฤดูสารทอยู่ ฝ่าบาทยังจะส่งคนมารับท่านอ๋องของพวกเขาอีก นั่นเป็นเพราะพวกเขานำของดีกลับมาเชียวนะ!

ธูปในกระถางดับมอดในที่สุด ไป๋ถานเอียงคอพลางเอ่ยเรียก “ท่านอ๋อง?”

เจ้านึกว่าไม่ส่งเสียงก็สามารถหลบหนีได้แล้วหรือ ฮึ ช่างไร้เดียงสายิ่ง!

“ไป๋ถานหรือ”

ไป๋ถานชะงักกึก

ซือหม่าจิ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ “สามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้า ยอดแพทย์ซีชิง ยอดคีตาไป๋ฮ่วนเหมย ยอดบุ๋นไป๋ถาน เรียกขานกันว่า ‘หนึ่งชิงกับสองไป๋’ ข้าน่าจะนึกถึงเจ้าได้แต่แรก”

“ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว” ไป๋ถานรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูชอบกลอยู่บ้าง

“เจ้าเข้ามาสิ”

ไป๋ถานตั้งสติ ก่อนจะย่างเท้าเดินอ้อมฉากบังลมเข้าไปอย่างเนิบช้า

เบื้องหลังฉากแสงค่อนข้างมืด ซือหม่าจิ้นนั่งขัดสมาธิ สองมือวางบนหัวเข่า ชุดผ้าไหมสีขาวตัวในแหวกเปิดนิดๆ พาดเฉียงด้วยเสื้อนอกสีดำอมเขียวเข้ม รูปโฉมหมดจดกระจ่างตา คิ้วโค้ง ผิวพรรณขาวใส แววตาเจิดจ้าดุจเปลวเพลิงใต้ภูเขาไฟ

ไป๋ถานเผยอริมฝีปากนิดๆ ครองสติไม่อยู่เล็กน้อย

บุคลิกลักษณะอันเปี่ยมเสน่ห์เช่นนี้มีแต่จะชวนให้ผู้อื่นนึกถึงสายลมกลางป่าสน คนรูปงามประดุจหยกท่องขุนเขา เปรอะเปื้อนคาวโลหิตอันใดกัน น่าจะไม่แปดเปื้อนกระทั่งคาวโลกีย์ถึงจะถูก!

อาจเพราะนางมองนานเกินควร บุรุษรูปงามผู้นี้จึงพลันหยักยกมุมปาก จากนั้นยกแขนแล้วดึงเสื้อนอกพร้อมทั้งเสื้อตัวในออกไปในคราวเดียว

สายตาของไป๋ถานแข็งค้างในชั่วพริบตา ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วว่าเขากำลังตกรางวัลให้ตามสัญญา

เอ่อ ขาว…ขาวยิ่งนัก!

ผู้ที่รบทัพจับศึกไฉนผิวกายจึงขาวแวววาวหมดจดเช่นนี้ได้เล่า ทว่ากล้ามแขนกับแผงอกกลับล้วนนูนเด่นเป็นมัดกำยำทั้งสิ้น น่าเสียดายที่มีรอยแผลเป็นพาดอยู่หลายสาย ช่วงท้องซึ่งได้แผลใหม่มาเพิ่มเติมถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวหนาหลายทบ เผยให้เห็นช่วงใกล้เอวเพียงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองออกถึงลายเส้นกล้ามท้องทั้งแนวตั้งแนวนอนหลายมัดนั้นได้

รักษาหน้าด้วย รักษาหน้า! นางใช้พัดขนนกบดบังมุมปากซึ่งยกขึ้นนิดๆ ขณะที่สายตายังคงวนเวียนอยู่ที่เรือนกายเบื้องหน้า

นิ้วมือของซือหม่าจิ้นพลันวางแตะบนขอบกางเกง “ถอดชิ้นนี้แล้วเจ้าก็จะถลกหนังของข้าใช่หรือไม่”

ตอนนี้เองฉีเฟิงกับกู้เฉิงซึ่งอยู่นอกฉากบังลมถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองทรุดเข่าแผดร้องเป็นเสียงเดียวกันทันที “ร่างกายอันสูงส่งล้ำค่าของท่านอ๋องจะให้ผู้อื่นหยามหมิ่นได้อย่างไรกัน!”

ดวงตาทั้งคู่ของไป๋ถานโค้งดุจดังจันทร์เสี้ยว “พวกเขากล่าวถูกต้องแล้ว ร่างกายอันสูงค่าของท่านอ๋องเป็นหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ ข้าน้อยมิกล้าหยามหมิ่น และยิ่งมิบังอาจถลกหนังของท่านอ๋องจริงๆ”

ดูเหมือนซือหม่าจิ้นจะคาดคะเนได้แต่แรกแล้วว่านางยังมีกระบวนท่าต่อท้าย เขาเอ่ยพลางฉวยเสื้อนอกขึ้นมาพาดบนร่าง “ต้องการสิ่งใดก็พูดมาตามตรงเถิด”

เมื่อไป๋ถานเบนพัดขนนกออก ดวงหน้าก็ฉาบด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าน้อยต้องการให้ท่านอ๋องกราบข้าเป็นอาจารย์ รับการอบรมจากข้าน้อยนับแต่นี้ไป”

ภายในกระโจมเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด ซือหม่าจิ้นไม่ได้ปริปาก พวกคนที่อยู่นอกฉากบังลมน่ากลัวว่าจะแปรสภาพกลายเป็นหินไปหมดแล้ว

แม้จะพูดจบแล้ว ทว่ากระทั่งตัวไป๋ถานเองยังออกอาการหวั่นใจขึ้นมาในภายหลัง

ข้าจะรับมารร้ายผู้นี้เป็นศิษย์เชียวนะ ช่างระทึกขวัญไม่เบาเลยนะนี่!

“ท่านอ๋องเคยลั่นวาจาเองกับปากว่าต้องการสิ่งใดล้วนได้ทั้งสิ้น”

ไป๋ถานหวังเหลือเกินว่าจะอ่านอะไรจากสีหน้าของซือหม่าจิ้นได้บ้าง แต่นางก็มองไม่ออก ดวงหน้าของเขาเจริญตาก็จริง ทว่านางกลับอ่านอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ครั้นมองพิจารณาอย่างละเอียดแล้วไยกลับรู้สึกว่าดวงหน้านี้ดูคุ้นตานางอยู่บ้าง…

“ได้” ซือหม่าจิ้นเอ่ยปากปุบปับจนทำให้ไป๋ถานตอบสนองไม่ทัน

“ท่านอ๋อง!” ฉีเฟิงเริ่มตะเบ็งเสียงลั่น นี่มันเรื่องอะไรกัน อาจารย์เดิมเอามาวางประดับไว้เฉยๆ ก็ดีอยู่แล้ว จะกราบจริงไปไย เขาอยากจะบ้าตาย!

ไป๋ถานใช้ด้ามพัดแยงหูซึ่งอื้ออึงไปด้วยเสียงดังหึ่งๆ “ในเมื่อท่านอ๋องรับปากแล้ว เช่นนั้นอาจารย์จะเริ่มสอนบทแรกเลย…กฎหมายบ้านเมืองเด็ดขาดเที่ยงธรรม ท่านอ๋องไม่อาจลงทัณฑ์ใครได้ตามอำเภอใจ ไป๋ต้งมีความผิดก็สมควรรีบส่งตัวให้ศาลโทษ…ใช่หรือไม่”

นิ้วมือของซือหม่าจิ้นลูบขอบตั่งไม้ที่อยู่ใต้ร่างของตนเบาๆ สายตาซึ่งจับนิ่งอยู่บนร่างของนางชวนให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย “อาจารย์มีบัญชา ข้าย่อมปฏิบัติตาม”

“ท่านอ๋อง!” กู้เฉิงสติแตกไปอีกคนเช่นกัน เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ ท่านอ๋องยังเล่นสนุกไม่พอเลย กลับไปต้องเล่นงานพวกเราตายแน่!

“เช่นนี้ดียิ่ง จบการเรียนของวันนี้แล้ว อาจารย์ขอตัวล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่ง” ทันทีที่บรรลุจุดมุ่งหมาย ไป๋ถานก็หมุนกายออกเดิน นางไม่ลืมคว้าตัวไป๋ต้งติดมือไปด้วย ย่างก้าวเร่งรีบนิดๆ

เพียงแต่ก่อนออกจากกระโจม นางหยุดเหลือกตาใส่ฉีเฟิงทีหนึ่งอย่างไร้เจตนาก็ไม่ใช่ จงใจก็ไม่เชิง

ฉีเฟิงถูกสายตานี้ทำเอาควันออกหูระคนอัดอั้นตันใจสุดประมาณ เขาคลานเข่าตลอดทางจนไปถึงข้างฉากบังลม “เหตุใดท่านอ๋องจึงปล่อยนางไปเช่นนี้เล่า ไป๋ถานนั่นใจเสาะทั้งกลัวมีเรื่องจะแย่ ขอเพียงท่านอ๋องขู่ขวัญทีเดียวนางก็…”

“ฮึ!” ซือหม่าจิ้นพลันแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง

ฉีเฟิงตระหนักได้ทันทีว่าตนพลั้งปากไป เขารีบจรดศีรษะลงกับพื้นพร้อมเหงื่อเย็นที่ไหลท่วมแผ่นหลัง

“จวนหลิงตูอ๋องเป็นที่พำนักของข้า ต่อให้เจ้าจับมดมาสักตัวข้าก็รู้ นับประสาอะไรกับลักพาตัวไป๋ถานมา”

กู้เฉิงผวาจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงก้มหน้าก้มตาคุกเข่าศึกษาสภาพพื้นผิวที่ขรุขระของหน้าดิน

“ตอนนี้ฝ่าบาททรงเชื่อมั่นว่านางคอยชี้แนะอยู่ข้างกายข้า ต่อให้วันนี้นางไม่เอ่ยปาก ช้าหรือเร็วข้าก็ต้องรับอาจารย์ผู้นี้อยู่ดี” ซือหม่าจิ้นงอนิ้วเคาะขอบตั่งสองที “ว่ามา ใครเป็นคนออกความคิดเรื่องลักพาตัวไป๋ถาน”

ร่างของฉีเฟิงสั่นระริกดุจกระชอนร่อนแป้ง

เขาอยากเป็นลมแกล้งตายเหลือเกิน แต่เหตุใดร่างกายถึงแข็งแรงปานนี้…ไม่เป็นลมเสียทีเล่า

 

ภายในศาลบวงสรวง ขุนนางทั้งหลายล้วนแยกย้ายไปกันหมดแล้ว ไท่ฟู่ไป๋หยั่งถังยืนก้มศีรษะอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ หัวคิ้วขมวดแน่น จอนทั้งสองข้างคล้ายมีผมสีดอกเลาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเส้น

รองผู้บัญชาการกองกำลังรักษาวังเกาผิงเร่งสาวเท้าจากนอกประตูเดินเข้ามาถวายบังคม

“เป็นอย่างไร ไป๋ถานช่วยคนได้แล้วกระมัง” ฮ่องเต้แห่งต้าจิ้นซือหม่าเสวียนผู้สุภาพอ่อนโยนสอบถามพร้อมรอยยิ้ม

เกาผิงประสานมือตอบ “ทูลฝ่าบาท ช่วยได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ หลิงตูอ๋องส่งมอบเขาให้แก่ศาล มิได้ลงทัณฑ์เอง”

ซือหม่าเสวียนผงกศีรษะ มองไปทางไป๋หยั่งถัง “ไท่ฟู่วางใจแล้วสินะ”

ไป๋หยั่งถังระบายลมหายใจอย่างโล่งอกพลางรีบกล่าวตอบรับ

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะซวงเฉวียนรุดมาขอให้เขาช่วยถึงที่นี่ เขาจึงได้แต่รับผิดต่อฝ่าบาท ทว่าฝ่าบาทกลับชี้แนะให้เขาเรียกไป๋ถานไปช่วยคน ทั้งยังรับสั่งอีกว่ามีแต่ไป๋ถานที่กำราบหลิงตูอ๋องได้

เขาร้อนใจหมายช่วยเหลือบุตรชายจึงรีบบอกซวงเฉวียนไปตามนี้ ให้อีกฝ่ายไปภูเขาตงซานเชิญไป๋ถานออกหน้า ทว่าจวบจนบัดนี้เขาก็ยังคิดไม่ตกว่าทำเช่นนี้ด้วยเหตุใด

เมื่อเกาผิงถอยออกไป ซือหม่าเสวียนจึงย่างเท้าออกจากโถงโดยมีไป๋หยั่งถังคอยเดินติดตาม

“ไท่ฟู่คงแปลกใจมากว่าเหตุใดเราจึงให้ไป๋ถานไปช่วยคน”

ไป๋หยั่งถังคิดจะถามอยู่พอดี “ขอฝ่าบาททรงให้ความกระจ่าง”

ซือหม่าเสวียนแย้มยิ้ม “เพราะไป๋ถานเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้วอย่างไรเล่า”

ไป๋หยั่งถังเงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง

“เจ้าประหลาดใจนั้นก็ไม่แปลก เพราะตอนแรกเราเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน นึกว่าคนข้างกายเขากล่าวอ้างกับเราอย่างขอไปทีเท่านั้น เรายังเคยส่งเกาผิงไปสอบถามถึงจวนหลิงตูอ๋องโดยเฉพาะ ก็พบว่าไป๋ถานอยู่ที่นั่นจริงๆ อีกทั้งยังตอบรับแน่ชัดเรื่องอบรมกล่อมเกลาจิตใจของหลิงตูอ๋อง ดังนั้นวันนี้เราถึงให้นางไปช่วยคนอย่างไรเล่า ในเมื่อหลิงตูอ๋องยอมฟังคำชี้แนะของนาง เช่นนั้นเขาย่อมให้ความเคารพนางอย่างสูง เรื่องปล่อยคนยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง”

“…”

เหล่าขันทียกเกี้ยวมาถวายการรับใช้ ขณะจะออกเดินทางซือหม่าเสวียนพลันนึกอะไรขึ้นได้ “จริงสิ ก่อนหน้านี้มิใช่ไท่ฟู่บอกว่าอยากทาบทามงานมงคลให้หลิงตูอ๋องหรอกหรือ เป็นคุณหนูสกุลใดเล่า”

ไป๋หยั่งถังรู้สึกเพียงว่าตนถูกคนลอบแทงเข้าหนึ่งดาบจึงเอ่ยตอบอย่างท้อใจ “กระหม่อม…ยังหาตัวเลือกที่เหมาะสมมิได้พ่ะย่ะค่ะ” ยังจะพูดอันใดได้อีกเล่า เขาคือไท่ฟู่ผู้พึงธำรงจารีตของใต้หล้ามากที่สุด ย่อมมิอาจให้บุตรสาวของตนเป็นตัวตั้งตัวตีกระทำผิดจารีตระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้โดยเด็ดขาด

ว่าแต่สองคนนี้กลายมาเป็นศิษย์อาจารย์กันได้อย่างไร

 

“นี่เป็นเรื่องที่ไร้ซึ่งทางเลือกแล้ว” ไป๋ถานนั่งอยู่หลังโต๊ะในห้องหนังสือ ฝั่งตรงข้ามคืออู๋โก้วซึ่งกำลังปากอ้าตาค้าง

“ดังนั้นท่านจึงรับหลิงตูอ๋องมาเป็นศิษย์หรือเจ้าคะ!” ปากของนางสามารถยัดไข่ไก่ได้หนึ่งฟองทีเดียว

ไป๋ถานหยิบพัดขนนกโบกแรงๆ ใส่อีกฝ่ายสองทีหมายปลุกให้นางมีสติมากขึ้น “ขอเพียงอาจารย์รับเขาเป็นศิษย์ก็ไม่ต้องแต่งงานกับเขา ทั้งไม่ต้องรอให้อารามเป้าผู่ตีระฆังส่งดวงวิญญาณให้ด้วย เจ้าควรจะดีใจมิใช่หรือ”

“แต่ว่านั่นคือหลิงตูอ๋องนะเจ้าคะ!” อู๋โก้วยกมือหนุนขากรรไกรล่างซึ่งใกล้จะหลุดออกมาอยู่แล้ว “หลิงตูอ๋องกลายมาเป็นศิษย์น้องของข้า… ข้า…ข้าขอทำใจเงียบๆ”

อู๋โก้วพูดถูกยิ่ง ไป๋ถานโบกพัดให้ตนเองแรงๆ หลายที นางก็ต้องทำใจเงียบๆ เช่นกัน อย่างไรเสียคนผู้นั้นก็เป็นมารร้ายเชียวนะ!

แต่ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้ก็พลิกจากรับเป็นรุกได้เสียที อารมณ์ของนางจึงนับว่าไม่เลว

เรื่องนี้กระทบกระเทือนจิตใจของอู๋โก้วอย่างรุนแรง ทำให้นางแทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน วันรุ่งขึ้นหลังตื่นมาพบแม่ครัวจึงถือโอกาสเปรยกับอีกฝ่าย ผลก็คือตอนกินอาหารทำเอานางแสบคอจนน้ำตาไหล

ที่แท้แม่ครัวหวาดกลัวจนมือสั่น เทเกลือสำหรับกินได้ครึ่งปีลงมาในชามของนางขณะที่ปากท่องอมิตาภพุทธไม่ยอมหยุด

ด้วยเหตุนี้อู๋โก้วจึงพานโกรธไปถึงตัวการใหญ่ หลังประณามไป๋ต้งจบไปหนึ่งยกก็พูดทวงความเป็นธรรมแทนไป๋ถานต่อ “ไป๋ไท่ฟู่นี่ก็เหลือเกิน อาจารย์อุตส่าห์ยอมเสียหน้าไปขอร้องเขา เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นก็ยังไม่ช่วย แต่พอถึงคราวบุตรชายตนเองเกิดเรื่องกลับมีหน้ามาตามอาจารย์ สุดท้ายผู้ที่เคราะห์ร้ายก็คืออาจารย์อยู่ดี”

แม่ครัวเอ่ยเสริมทั้งที่ยังขวัญกระเจิงไม่หาย “ยังมีพวกเราด้วย”

“ยังมีอาหารของข้า”

“ใช่ๆ ยังมีเกลือของข้าอีก”

เดิมทีไป๋ถานตั้งใจจะแจ้งเรื่องที่ตนรับเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องต่อเหล่าศิษย์ในวันนี้ แต่พอเห็นท่าทางของสองคนนี้แล้วจึงไม่สะดวกใจจะเอ่ยปาก ด้วยเกรงว่าจะทำให้เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ตื่นตระหนกขึ้นมา

ยังดีที่อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลฉงหยาง อาณาจักรต้าจิ้นให้ความสำคัญต่อหลักความกตัญญู แต่ไรมาไป๋ถานล้วนพักการสอนในช่วงเวลานี้หลายวันเพื่อให้เหล่าศิษย์ได้แสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโสอย่างเต็มที่ ปีนี้ย่อมจะไม่งดเว้นอีกเช่นกัน ดังนั้นเรื่องของหลิงตูอ๋องนางจึงอยากเก็บไว้ก่อน ยังไม่ประกาศเป็นการชั่วคราว

พอเหล่าศิษย์จากไปแล้ว เรือนพักของไป๋ถานก็แลดูโล่งว่างวังเวง หลายวันนี้ดวงตะวันไม่แจ่มชัดนัก ประกอบกับสายลมฤดูสารทก็โหมพัดถี่จึงทำให้นางรู้สึกหนาว

อู๋โก้วเก่งกาจไม่เบา พอเช้าตรู่ก็ตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนม่านประตูห้องหนังสือของไป๋ถานจากมู่ลี่ไม้ไผ่มาเป็นผ้าทึบ ขณะยืนเก็บงานช่วงท้ายอยู่บนม้านั่งตัวสูงนางก็เห็นว่าบนระเบียงทางเดินมีบุรุษสามคนมาเยือน ผู้เดินนำหน้าสวมชุดยาวตัวหลวมรัดสายคาดเอวแถบกว้าง เรือนผมรวบไว้ด้านหลังด้วยแถบผ้าต่วนโดยไม่ได้เกล้าขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลขุนนางคนใด ดวงหน้าหล่อเหลาผ่องใสเปี่ยมราศี บุคลิกงามสง่าโดดเด่นดุจเทพเซียนในหมู่มนุษย์ ทว่าน่าเสียดายที่เขามีสีหน้าเยียบเย็นอึมครึม ท่าทางเข้าถึงได้ยาก

นางตะลึงมองอยู่ชั่วครู่ถึงเบือนหน้ามารายงาน “อาจารย์ มีแขกมาเยือนเจ้าค่ะ”

ไป๋ถานนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะที่นั่งข้างโต๊ะ นางหันมองไปทางประตู เมื่อม่านประตูถูกเลิกขึ้นสูงก็เผยให้เห็นรองเท้าหุ้มข้อสีดำปักลายทองกับชายอาภรณ์ยาวสีน้ำเงินเข้ม รอจนอีกฝ่ายก้มตัวเข้ามาแล้วยืดกายตรง นางถึงเพิ่งมองออกว่าคนผู้นี้คือซือหม่าจิ้น

“วันนี้ข้าตั้งใจมากราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ”

สองเท้าของอู๋โก้วพลันอ่อนระทวยก่อนร่วงตกจากม้านั่ง นางนวดสะโพกที่ปวดร้าวจากการกระแทกเตรียมพร้อมเผ่นหนี ทว่ากลับถูกเสียงกระแอมของไป๋ถานตรึงฝีเท้านางไว้เสียดื้อๆ จึงจำใจเดินไปยืนอยู่ข้างกายผู้เป็นอาจารย์พร้อมอารมณ์ตัดพ้อ ไม่กล้ามองผู้มาเยือนอีกแม้เพียงแวบเดียว

ก่อนหน้านี้ไป๋ถานเคยเห็นซือหม่าจิ้นแต่ในท่านั่ง ยามนี้อีกฝ่ายมายืนอยู่เบื้องหน้าสายตาของนางอย่างชัดแจ้งแล้วถึงพบว่ารูปร่างของเขาสูงเพียงนี้ นางบีบฝ่ามือแล้วนั่งนิ่งไม่ขยับ “ท่านอ๋องมาแสดงคารวะถึงที่นี่ด้วยตนเองเชียวหรือ”

“ข้าว่างเว้นจากงานพอดี” ซือหม่าจิ้นปรายตาไปมองด้านหลังของตนแวบหนึ่ง กู้เฉิงซึ่งยืนอยู่ข้างประตูรีบประคองหกภักษาไหว้ครู* ซึ่งเตรียมไว้แล้วเข้ามา

นี่คือของไหว้ครูที่มอบให้ไป๋ถาน

อู๋โก้วรับมาอย่างระมัดระวังแล้ววางไว้ ก่อนชงน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งถึงเบื้องหน้าซือหม่าจิ้น มือของนางสั่นอย่างรุนแรง ยังดีที่ไม่ได้ทำถ้วยพลิกคว่ำ

ซือหม่าจิ้นเห็นผู้อื่นมีท่าทีเยี่ยงนี้กับตนเองจนชาชินแล้ว เขาเพียงประคองถ้วยชาส่งถึงหน้าโต๊ะของไป๋ถานแล้วยกมือคารวะ มุมปากแม้ประดับยิ้มแต่กลับซ่อนความเย็นชาเอาไว้ไม่อยู่ “ศิษย์ซือหม่าจิ้นคารวะอาจารย์” กิริยาของเขางามสง่าทว่าสัมผัสถึงความจริงใจไม่ได้สักนิด

ไป๋ถานย่อมไม่อาจถือสาหาความกับเขา นางคลำหาสิ่งของในแขนเสื้อและข้างเอวก่อนยิ้มเจื่อนๆ “ท่านอ๋องมาเยือนกะทันหัน อาจารย์ยังไม่ได้เตรียมของที่จะกำนัลตอบเลยสักชิ้น”

ซือหม่าจิ้นไม่ได้ใส่ใจ “เช่นนั้นติดค้างไว้ก่อนก็ได้”

ไป๋ถานเชิญเขานั่งบนเบาะที่นั่ง “แม้ท่านจะสูงศักดิ์เป็นถึงชินอ๋อง แต่ในเมื่อเข้าสำนักแล้วอาจารย์ก็ต้องปฏิบัติตนอย่างเท่าเทียมเช่นเดียวกับศิษย์คนอื่นๆ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องได้ตั้งชื่อรอง ไว้หรือไม่”

ซือหม่าจิ้นเลิกชายชุดขึ้นแล้วนั่งลงพร้อมจับท้องบริเวณที่มีบาดแผล “ชื่อรองเชียนหลิง” เขาเอ่ยเสริมอีกประโยค “เชียนที่แปลว่าหนึ่งพัน หลิงที่แปลว่าประหารด้วยการเฉือนเนื้อ”

ไป๋ถานหนังตากระตุกวูบ ในชื่อยศก็มีอักษรหลิงอยู่แล้ว ในชื่อรองยังมีหลิงอีกหนึ่งพันตัว ไม่แคล้วฟังดูคุกคามผู้อื่นเกินควรหรอกหรือ มิน่าเล่าเจ้าของชื่อถึงมีอุปนิสัยเยี่ยงนี้ นางยกพู่กันเขียนอักษรหลิงที่แปลว่าอายุลงบนกระดาษแล้วเลื่อนไปให้อีกฝ่าย “เปลี่ยนเป็นเชียนหลิงที่แปลว่าอายุพันปีเถิด อาจารย์หวังว่าท่านอ๋องจะกล่อมเกลาจิตใจและมีอายุมั่นขวัญยืน”

ซือหม่าจิ้นไม่เอ่ยตอบ มุมปากผุดรอยยิ้มซึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มีขึ้นอีกครั้ง

ไป๋ถานถูกรอยยิ้มนี้ทำเอาสันหลังเย็นวาบ นางหมุนด้ามพัดที่กุมอยู่ในมือตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะได้ยินเสียงตวาดกร้าวอย่างไม่คาดฝันดังขึ้น “คนแซ่ไป๋อย่าได้คืบจะเอาศอก! นามของท่านอ๋องให้เจ้าเปลี่ยนได้เองหรือ!”

พอนางหันหน้าไปก็เห็นฉีเฟิงถลันเข้ามาจากนอกประตูแล้ว

ไป๋ถานพลันหรี่ตา “ท่านอ๋องของเจ้ากับอาจารย์ของท่านอ๋องเจ้ากำลังสนทนากัน ถึงคราวให้เจ้าสอดปากแล้วหรือ มาทางใดก็จงกลิ้งออกไปทางนั้น!”

ในที่สุดฉีเฟิงก็มองทะลุอุบายแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ* ที่นางแสดงก่อนหน้านี้ออก ในใจเขาจึงเต้นผางหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าหันข้างอันเยียบเย็นของซือหม่าจิ้นแล้วก็ไม่กล้าอาละวาด ได้แต่ถอยออกไปอย่างอึดอัดคับใจ

ต้นคอที่ปวดระบมอยู่เนิ่นนานนั้นไป๋ถานยังคงจำฝังใจและขุ่นแค้นไม่หาย นางจึงเอ่ยท้วงอย่างมีเจตนา “เชียนหลิง เหตุใดอาจารย์ถึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเล่า”

ซือหม่าจิ้นมองไปทางประตู “เข้ามาซิ”

ฉีเฟิงย้อนกลับมาแต่โดยดี

“ออกไป ใช้กลิ้งเอานะ”

“…” ฉีเฟิงอัดอั้นตันใจแทบทนไม่ไหว ใบหน้าดำคล้ำแดดสลับเป็นสีแดงก่ำในฉับพลัน สุดท้ายยังคงกัดฟันนอนลงกับพื้นก่อนจะกลิ้งออกไปทีละตลบจริงๆ เขากลิ้งไปพลางแยกเขี้ยวยิงฟันไปพลาง

กู้เฉิงพูดเสียงอ่อย “ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ท่านลงโทษฉีเฟิงหนักปานนั้น เขาทนไม่ไหวหรอกขอรับ ถ้าอย่างไรให้ข้าน้อยกลิ้งแทนเขาเถิด”

ไป๋ถานไม่ได้ขุ่นเคืองกู้เฉิงเหมือนที่ขุ่นเคืองฉีเฟิง อีกอย่างจะว่าไปสีหน้าของเจ้าหนูฉีเฟิงยามนี้ก็ดูย่ำแย่ไม่น้อยแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงบังเกิดจิตเมตตาโบกมือยับยั้ง “ช่างเถิด เรียกเขากลับมาแล้วกัน”

ซือหม่าจิ้นเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “กลิ้งกลับมา”

ฉีเฟิงเพิ่งจะตะกายลุกขึ้นอย่างยากเย็นเท่านั้น พอเขาได้ยินประโยคนี้ของผู้เป็นนายจึงแทบจะร้องไห้ออกมา

หลังจากใช้ร่างกายสัมผัสสภาพพื้นบริเวณประตูห้องหนังสือทั้งนอกและในจนครบหนึ่งรอบแล้ว ในที่สุดฉีเฟิงก็ไม่เหลือมาดอันใหญ่โตต่อหน้าไป๋ถานอีก ดวงหน้าของเขาซีดเผือดขณะได้กู้เฉิงพยุงออกไปพักผ่อนที่ระเบียงทางเดิน

ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้ารู้เรื่องที่ตัวบัดซบนี่ลักพาคนแล้ว เดิมทีคือการหลอกลวงเบื้องสูง แต่ในเมื่อตอนนี้ข้ากราบอาจารย์แล้วก็ไม่อาจนับว่าหลอกลวงเบื้องสูงอีก”

ไป๋ถานเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้ง ที่แท้มิใช่นางที่กำลังเอาคืนฉีเฟิง หากแต่เป็นซือหม่าจิ้นเองที่อัดอั้นอยากจะเล่นงานเขามาแต่แรก มันก็น่าอยู่หรอก ถึงอย่างไรต้นเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลายมาถึงขั้นนี้ล้วนต้องโทษฉีเฟิงที่ก่อเรื่องมาตั้งแต่ต้น

ทว่าเรื่องนี้อู๋โก้วกลับยังไม่รู้ ไป๋ถานกลัวนางจะเสียขวัญจึงแสดงท่าทีให้นางออกไปก่อน

อู๋โก้วนับว่าหลุดพ้นเสียที นางถอยออกจากประตูไปอย่างระมัดระวัง ทันทีที่หันหน้าไปอีกทางได้ก็ชักเท้าวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง

ไป๋ถานรินน้ำชาถ้วยหนึ่งเลื่อนส่งไปฝั่งตรงข้าม “ในเมื่อท่านอ๋องรู้เรื่องแล้ว เช่นนั้นท่านกับข้าก็ถือโอกาสนี้ซักซ้อมคำพูดกันสักหน่อยดีหรือไม่ คราวหน้าเมื่อถูกสอบถามจะได้ไม่เผยพิรุธ”

นิ้วมือของซือหม่าจิ้นวางอยู่บนขอบถ้วยชา “ไม่ต้องวุ่นวายเช่นนี้หรอก อาจารย์นึกว่าข้าอยากกล่อมเกลาจิตใจจริงๆ อย่างนั้นหรือ”

ไป๋ถานถูกวาจาของเขาตอกกลับจนชะงักไปชั่วครู่ “แต่อย่างน้อยเรื่องเวลาที่ท่านกราบข้าเป็นอาจารย์ก็ต้องพูดให้ตรงกันกระมัง”

ซือหม่าจิ้นช้อนตาขึ้นมองนาง “เช่นนั้นอาจารย์ว่าอย่างไรเล่า”

ไป๋ถานคำนวณวันก่อนตอบ “พูดว่าท่านกราบข้าเป็นอาจารย์เมื่อสามเดือนก่อนก็แล้วกัน เดือนนั้นมีสองสามวันที่ข้าไม่อยู่ในเรือน แต่งเรื่องได้พอดี เช่นนั้นที่ข้าพลันปรากฏตัวในจวนอ๋องของท่านเมื่อหลายวันก่อนถึงจะดูปกติ”

“วาจานี้ไม่ถูกต้อง” ซือหม่าจิ้นพลันโน้มกายมาเบื้องหน้า ประชิดเข้ามาใกล้จนไป๋ถานไม่ทันได้ตั้งตัว “อาจารย์เคยสอนข้าก่อนหน้านั้น ข้าจึงนับเป็นศิษย์ของท่านมานานแล้ว จะพูดว่าสามเดือนก่อนได้อย่างไรกันเล่า”

ไป๋ถานตะลึงงัน ฉุกคิดได้ว่าฉีเฟิงก็เคยพูดเช่นเดียวกันนี้มาก่อน

กลิ่นยาบนร่างของอีกฝ่ายซึ่งอ่อนจางจนคล้ายมีคล้ายไม่มีพลันแทรกซึมเข้ามาในจมูกของนาง ดวงตาคู่นั้นอยู่ใกล้เพียงแค่คืบ ทว่าอึมครึมจนน่าพรั่นพรึง นางถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง

ไม่น่าใช่กระมัง หากเขาเคยผ่านมือของนางจริง มีหรือจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

นี่ด่ากันทางอ้อมหรืออย่างไร!

“ดูจากท่าทางของอาจารย์ เห็นชัดว่าจำข้าไม่ได้แล้ว” ซือหม่าจิ้นถอยกลับไปแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เขาใช้มือข้างเดียวเลิกผ้าม่านก่อนหยุดชะงักเล็กน้อย “หากอาจารย์ลืมไปแล้วก็ช่างมันเถิด ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าอาจารย์เคยพัวพันกับข้าอยู่วันยังค่ำ ชื่อเสียงของ ‘หนึ่งชิงกับสองไป๋’ เกรงว่านับแต่นี้จะต้องด่างพร้อยเสียแล้ว”

ไป๋ถานเลิกคิ้ว ได้แต่เบิกตามองเขาเดินออกไป

นับว่านางรู้ซึ้งเสียที ดัดหลังมารร้ายผู้นี้ไปหนหนึ่ง มีหรือเขาจะปล่อยให้นางอยู่ดีมีสุขได้ บอกว่ามากราบอาจารย์ แท้จริงมากวนโทสะนางชัดๆ!

 

ซือหม่าจิ้นออกจากเรือนพักแล้ว ทว่าไม่ได้รีบกลับเข้าเมืองแต่อย่างใด

ภูเขาตงซานไม่สูงนัก มีทหารหน่วยหนึ่งซึ่งมาพร้อมกับเขาเฝ้าอยู่ตรงไหล่เขา พอเขาเดินไปถึงที่นั่น พวกทหารก็รีบจูงม้าของเขาออกมา ด้านหลังของหางม้าผูกคนไว้ผู้หนึ่ง ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือด คลุกกับดินโคลนและเศษใบไม้ ทั้งร่างสั่นจนขดเป็นก้อนกลม แทบมองสภาพคนไม่ออก

คนผู้นี้คือหนึ่งในพวกโจร ยามที่รังเก่าถูกกวาดล้างเขาไม่ปวดใจ พี่น้องถูกเข่นฆ่าก็ไม่ปวดใจ ทว่ามาปวดใจก็เมื่อสมบัติที่ซุกซ่อนมาช้านานเหล่านั้นบัดนี้กลับตกเป็นของราชสำนักจนหมด ไหนๆ ก็ไร้ทางถอยแล้ว เขาจึงไล่ตามซือหม่าจิ้นมาตลอดทางหมายลอบสังหารอีกฝ่ายเพื่อระบายแค้นในใจ

ซือหม่าจิ้นรู้ตัวตั้งแต่แรก แต่เฝ้าอยู่สองวันแล้วก็ยังจับตัวอีกฝ่ายไม่ได้ วันนี้จึงจงใจออกนอกเมืองมากราบอาจารย์เพื่อจะจับตัวโจรได้คาหนังคาเขา

ซือหม่าจิ้นพลิกกายขึ้นม้าแล้วตบม้าให้ย่างเหยาะไปอย่างช้าๆ โจรที่อยู่บนพื้นถูกลากลงเขาไปราวกับผ้าขี้ริ้วที่ขาดรุ่งริ่งกองหนึ่ง ทุกแห่งที่เขาผ่านล้วนทิ้งคราบเลือดกระจายเปรอะไปตามหินภูเขาและหญ้าแห้ง

ทุกคนล้วนเคยชินกับเรื่องทำนองนี้กันแล้ว ตลอดทางจึงเป็นไปด้วยความราบรื่น ทั้งเงียบสงบไร้สุ้มเสียง

ผ่านไปสักพัก ซือหม่าจิ้นพลันรั้งบังเหียนแล้วเปรยถาม “ตายแล้วหรือ”

ขาม้าคู่หลังยั้งไม่ทันจึงเหยียบลงบนกระดูกท่อนหนึ่งของคนผู้นั้นจนหักดังลั่น เสียงร้องโหยหวนของเขาดังตามมาติดๆ ก่อนจะเค้นพลังเฮือกสุดท้ายแผดคำราม “ซือหม่าจิ้น! ต่อให้ข้าเป็นผีก็จะไม่ละเว้นเจ้า!”

“ไม่ตายก็ดี ข้าจะได้มีของให้เล่นสนุกอีก” ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ อย่างพึงพอใจแล้วกระตุ้นม้าเดินหน้าต่อไป

คนผู้นั้นเจ็บปวดแสนสาหัส กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง ลมหายใจรวยริน เสียงครวญครางที่กระจายมาตามลม อเนจอนาถจนยากจะทนรับฟังไหว

เพิ่งเดินหน้าไปได้ไม่กี่ก้าว มีคนผู้หนึ่งพลันโผล่ออกมาจากในป่า ร่างเขาสวมอาภรณ์สีคราม เรือนผมสีดำ เท้าสวมเกี๊ยะไม้ ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าคนทั้งกลุ่มได้พอดิบพอดี

ซือหม่าจิ้นมองดูเขา เขาก็มองตอบ จากนั้นชายผู้มาเยือนจึงกวาดสายตามองไปยังเบื้องหลังม้าของซือหม่าจิ้นแวบหนึ่ง สองมือของเขาสอดอยู่ในแขนเสื้อ ก่อนจะหลีกทางให้พร้อมยิ้มประจบ “โอ๊ะ ท่านอ๋องกำลังยุ่งอยู่หรือ”

“อืม”

“กินอาหารหรือยังขอรับ”

“เจ้าจะเลี้ยงข้าหรืออย่างไร”

คนผู้นั้นฉีกยิ้มกว้าง “หากข้าเลี้ยงก็ได้แต่เลี้ยงท่านอ๋องดื่มยาเท่านั้น”

ซือหม่าจิ้นยิ้มเยาะทว่าไม่มีท่าทีขุ่นเคือง “เจ้ามาทำอะไรที่ภูเขาตงซาน”

“ข้าก็มาเยี่ยมไป๋ถานน่ะสิขอรับ”

ซือหม่าจิ้นมองอีกฝ่าย “พวกเจ้ารู้จักกันหรือ”

“พวกเราสนิทกันยิ่ง” เขากางนิ้วนับ “หลานอาของหลานอาของท่านแม่นางก็คือข้าเอง”

ฉีเฟิงกดข่มอาการบาดเจ็บทั่วร่างแค่นเสียงดังฮึ “นี่ก็เรียกว่าสนิทด้วยหรือ” ขณะที่ปากเอ่ยเช่นนี้เขากลับลอบหลิ่วตาส่งสัญญาณให้อีกฝ่าย

ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้าจำได้ว่าฮูหยินผู้ล่วงลับของไป๋ไท่ฟู่เป็นคนสกุลซี ก็นับว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าอยู่บ้างจริงๆ” สายตาของเขากวาดจากร่างของฉีเฟิงไปยังใบหน้ายิ้มตาหยีของคนผู้นั้น “แต่เจ้าก็ยังให้ฉีเฟิงไปลักพาตัวไป๋ถาน”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนผู้นั้นพลันหุบไปทันตา เขาก้มหน้างุดแล้วรีบวิ่งขึ้นเขาโดยไม่รอช้า เสียงเกี๊ยะไม้กระทบขั้นบันไดหินดังแก๊กๆ ฟังดูแคล่วคล่องว่องไวไม่เบาทีเดียว

ฉีเฟิงนึกถึงเคราะห์กรรมที่ตนประสบในช่วงหลายวันมานี้ ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง เขาจึงตะโกนลั่นใส่เงาหลังของอีกฝ่าย “คุณชายซี เจ้าแล้งน้ำใจเกินไปแล้ว! โยนหม้อดำ* ให้ข้าแบกอยู่คนเดียวแล้วยังจะวิ่งหนีอีก!”

สิ้นคำของฉีเฟิง อีกฝ่ายก็วิ่งไวกระฉับกระเฉงยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงฮึ ขี่ม้าลงเขาต่อโดยไม่คิดไล่ตาม

ฉีเฟิงชำเลืองมองสีหน้าของผู้เป็นนายอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋องไม่เอาความแล้วหรือขอรับ”

“นั่นคือยอดแพทย์ซีชิงผู้โด่งดัง มีประโยชน์อย่างยิ่ง ช่างเถิด”

หัวใจของฉีเฟิงคล้ายถูกแทงเข้าหนึ่งดาบ ทั้งเย็นวาบและรวดร้าว

นี่แปลว่าข้าไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ…

 

อู๋โก้วได้ยินว่าหลิงตูอ๋องกลับไปแล้วจึงค่อยออกมายืดเส้นยืดสาย นางเพิ่งมาถึงเรือนด้านหน้าก็เห็นบ่าวชายเปิดประตูให้คนผู้หนึ่งเข้ามา คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีครามแขนกว้าง สายคาดเอวปลิวล้อลม เกี๊ยะไม้ส่งเสียงดังแก๊กๆ ถุงเท้าผ้าสีขาวหิมะเปรอะไปด้วยโคลน ลักษณะเช่นนี้นอกจากยอดแพทย์ซีชิงผู้ได้ชื่อว่าเป็น ‘หนึ่งในสามยอดอัจฉริยะ’ แล้วก็ไม่อาจเป็นใครอื่นไปได้อีก

นางหันหน้าไปร้องเรียก “อาจารย์ คุณชายซีมาเจ้าค่ะ”

ไป๋ถานเดินออกจากห้องมาอย่างเนิบช้า “โอ๊ะ นี่ยอดแพทย์ซีชิงมิใช่หรือ ลมอะไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่ได้”

ซีชิงตอบพร้อมยิ้มตาหยี “ถึงเทศกาลฉงหยางแล้วอย่างไรเล่า ข้าก็เลยมาปีนเขาชมทิวทัศน์กับสหายเก่าไม่ได้หรือ”

ไป๋ถานฟังจบก็คลี่ยิ้ม เพราะว่านี่คือธรรมเนียมปฏิบัติอันเคยชิน นางกวักมือเรียกอู๋โก้วให้หยิบเสื้อคลุมตามมาแล้วออกจากประตูเรือนไปพร้อมกับเขา

เหตุที่ผู้คนมักกล่าวขวัญถึงสามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้ารวมกัน แท้จริงแล้วเป็นเพราะสามคนนี้มีความเกี่ยวพันที่ไม่ธรรมดา ยอดคีตาไป๋ฮ่วนเหมยคือญาติผู้พี่ในตระกูลเดียวกันกับไป๋ถาน ส่วนซีชิงคือบุตรหลานในตระกูลของมารดานาง แม้ไม่อาจนับว่าเติบโตมาด้วยกันแต่ก็รู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก

ทว่าในสามยอดอัจฉริยะนั้นไป๋ฮ่วนเหมยกลับมีความเป็นอยู่ดีที่สุด เนื่องจากนางแต่งเข้าวังไปเป็นสนมของฮ่องเต้ ได้ยินว่ายามนี้นางเลื่อนขั้นเป็นกุ้ยเฟย แล้ว

ส่วนไป๋ถานกับซีชิงนั้นเรียกว่า…น่าสังเวช

ในสายตาของตระกูลขุนนาง อาชีพแพทย์ไม่ต่างจากนักพรตที่กลั่นยาอายุวัฒนะ เป็นเพียงวิชาหากินของพวกแสวงหาวิถีเซียน หากเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะกลัวอันใด แค่กินผงห้าศิลา เพียงเล็กน้อยก็เหนือกว่าเทวดาเดินดินแล้ว! ด้วยเหตุนี้การเรียนแพทย์ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่บุตรหลานตระกูลขุนนางพึงกระทำ ใครเรียนก็ช่างไม่รักดีแล้ว!

ทว่าซีชิงผู้มีชาติตระกูลขุนนางกลับมาหลงใหลในวิชาแพทย์ หลังลักลอบกราบอาจารย์เพื่อเรียนแพทย์แล้ว เขาก็ถูกคนจับได้ แน่นอนว่าคนในตระกูลล้วนไม่มีใครรับได้ ดังนั้นเขาจึงสะพายห่อสัมภาระออกจากจวนมาเสียเลย

ปีนั้นไป๋ถานพอจะมีชื่อเสียงเชิงบุ๋นอยู่บ้างแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับบิดากลับตึงเครียดถึงขีดสุด นางจึงสะพายห่อสัมภาระแล้ววิ่งตะบึงไปบนเส้นทางที่หันหลังให้กับครอบครัว

เด็กหนุ่มกับสาวน้อยพบเจอกันที่ปากตรอกอูอี ทั้งสองสบตากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาต่างเป็นสหายร่วมอุดมการณ์จึงออกจากเมืองหลวงมาพร้อมกันอย่างเบิกบานใจ

ไม่นานนักทั้งสองก็แยกย้ายไปตามเส้นทางของตน คนหนึ่งตระเวนทั่วทิศเพื่อไปร่ำเรียนวิชาแพทย์ ส่วนอีกคนก็คอยค้นคว้าหาความรู้อยู่ในเรือนพักบนภูเขาตงซาน

ทว่าต่อมาซีชิงดวงขึ้นชะตาพลิกผัน บังเอิญอัครเสนาบดีหวังฟูล้มป่วยหนัก ในขณะที่เหล่าหมอหลวงกำลังอับจนหนทางกันหมดแล้ว ซีชิงที่เพิ่งไปถึงกลับสั่งยาเพียงไม่กี่เทียบก็รักษาอีกฝ่ายหายเป็นปลิดทิ้งได้ นับแต่นั้นชื่อเสียงของเขาจึงสะพัดไปไกล ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนซีชิงอีก ผู้อาวุโสในสกุลซีจึงทำได้เพียงต้อนรับเขากลับไปอย่างระมัดระวัง

ทุกครั้งที่ไป๋ถานนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล้วนอยากตะกุยกำแพงเพื่อระบายความอัดอั้น เพราะฉะนั้นถึงว่ากันว่าเรียนหนังสือไปมีประโยชน์อันใด ฝึกทักษะที่ใช้สอยได้จริงจึงจะถูกต้องกว่า!

ระหว่างที่ต่างคนต่างเด็ดผลจูอวี๋ กำหนึ่งใส่ลงในถุง ไป๋ถานกับซีชิงก็เดินเล่นจนมาถึงยอดสูงสุดของภูเขาตงซานโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลานี้เป็นยามเที่ยงพอดี แสงตะวันกำลังอุ่นสบาย อารามเป้าผู่ที่อยู่ยอดเขาฝั่งตรงข้ามกับเมืองเจี้ยนคังที่อยู่ไกลออกไปต่างขับเน้นซึ่งกันและกันแลดูเพลินตา

ซีชิงกุมผลจูอวี๋ไว้ในมือ เขาเสาะหาที่สูงเพื่อเสียบก้านผลจูอวี๋พลางเอ่ย “ข้าได้ยินว่าเจ้ารับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์แล้ว”

ไป๋ถานตะลึงงัน “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

ซีชิงถูมือ ดวงตาทั้งคู่ยิ้มจนกลายเป็นเส้นโค้งเรียวเล็ก “ข้าย่อมรู้แน่นอน เพราะว่าตอนที่ฉีเฟิงร้อนใจจะลักพาตัวคนไปรับมือกับฝ่าบาทนั้นก็ได้ข้าเป็นคนเตือนสติเขาให้ไปลักพาตัวเจ้าเอง”

“อะไรนะ!” ไป๋ถานหวุดหวิดจะละเลงผลจูอวี๋ในมือลงบนหน้าของเขาแล้ว “เจ้ารู้จักฉีเฟิงได้อย่างไร”

ซีชิงถอยหลังไปก้าวหนึ่งเพื่อป้องกันตัว “เมื่อสองปีก่อนหลิงตูอ๋องออกรบแล้วได้รับบาดเจ็บ มีหมอหลวงไปตรวจเขาสามคน ถูกเขาซัดคว่ำไปเสียสองคน สุดท้ายก็ได้ข้าเป็นคนรักษาให้เขา นับแต่นั้นจึงไปมาหาสู่กันเสมอ”

ไป๋ถานสีหน้าไม่ชวนมอง “เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน”

“เฮ้อ คนไข้ที่ข้าเคยตรวจรักษามีมากมายนัก บางคนบนกระหม่อมขึ้นตุ่มพุพอง บางคนใต้ฝ่าเท้ามีน้ำหนองไหล ไหนเลยข้าจะเอ่ยกับเจ้าเรื่องคนไข้จนครบทุกคนได้”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องเรียกให้ฉีเฟิงมาลักพาตัวข้า”

ซีชิงยิ้มระรื่นอย่างไร้ความละอายยิ่งนัก “เพราะว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยสอนหลิงตูอ๋องแล้วอย่างไรเล่า”

ไป๋ถานตะลึงงัน

หนึ่งคนพูดเช่นนี้นางย่อมไม่เชื่อ สองคนพูดเช่นนี้นางก็เริ่มเคลือบแคลง หากสามคนล้วนพูดเช่นนี้อีกนางก็ได้แต่ต้องสงสัยตนเองแล้ว

“ข้าเคยสอนเขาจริงหรือ”

ซีชิงย้อนถาม “เจ้าลืมเรื่องในเมืองอู๋เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้วหรอกหรือ”

ลูกตาของไป๋ถานกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เช่นนั้นข้าจะเตือนสติเจ้าอีกประโยค หลิงตูอ๋องคือโอรสของอดีตฮ่องเต้”

แววเลื่อนลอยในดวงตาของไป๋ถานค่อยๆ พบเบาะแส นางพลันเบิกตาโต “ไม่จริงกระมัง หรือว่าจะเป็นเขา…”

เรื่องนี้จะว่าไปก็ผ่านมาตั้งสิบเอ็ดปีแล้ว ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงประชวร ชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ย* จึงคิดก่อการกบฏ ทำให้เมืองหลวงตกอยู่ในภาวะคับขัน

เพื่อจะไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง อดีตฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำแหน่งสำคัญรั้งอยู่รักษาการณ์ และให้คัดเลือกเจ้าหน้าที่กับทหารจำนวนหนึ่งคุ้มกันครอบครัวขุนนางและเชื้อพระวงศ์ลี้ภัยออกจากเมืองหลวง สุดท้ายคนทั้งหมดเมื่อหลบหนีมาจนถึงเมืองอู๋แล้วจึงค่อยนับว่าปลอดภัย

ในจำนวนนี้มีพระโอรสองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้รวมอยู่ด้วย

แม้ในภาวะไม่สงบ การศึกษาขององค์ชายกลับไม่อาจว่างเว้น เดิมทีองค์ชายมีอาจารย์อยู่แล้ว ทว่ากลับถูกทัพกบฏสังหารไประหว่างทาง ครอบครัวขุนนางต่างรู้ดีว่าทัพกบฏย่อมพุ่งเป้ามาที่พระโอรสของฮ่องเต้ พวกเขาจึงไม่ยินดีจะข้องเกี่ยวด้วย แต่ก็ไม่อาจเอ่ยปากได้ตามตรง ดังนั้นพวกเขาจึงพากันเสนอให้ไป๋หยั่งถังผู้มีความรู้สูงสุดเป็นคนรับหน้าที่สอนองค์ชายเป็นการชั่วคราว

ทว่าจนใจที่ไป๋หยั่งถังรอนแรมเดินทางมานานจนล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่อาจทำการสอนได้

องค์ชายถูกส่งมายังที่พำนักชั่วคราวของสกุลไป๋แล้ว แต่กลับไม่มีใครออกไปสอนได้ คนสกุลไป๋ต่างร้อนใจยิ่ง

ตอนนั้นไป๋ถานเพิ่งเข้าพิธีปักปิ่น* ได้ไม่นาน แลเห็นทุกคนเดินกลับไปกลับมาอย่างกระสับกระส่ายว้าวุ่นใจ นางจึงหันหน้ากลับเข้าไปในห้อง นำชุดบุรุษมาสวมทับแล้วเกล้ามวยผมออกไปที่เรือนด้านหน้าแทนบิดา

นางรู้เพียงว่าอีกฝ่ายคือองค์ชาย อายุก็น่าจะห่างกับนางเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นนางก็ล้วนไม่รู้แล้ว

ตอนนั้นสถานการณ์ไม่ปกติ จิตใจของทั้งสองล้วนไม่อยู่ที่การศึกษา หากบอกว่านางสอนหนังสือก็มิสู้บอกว่าไปนั่งฆ่าเวลาเป็นเพื่อนองค์ชายจะตรงกว่า

นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยสนทนากับเขานอกบทเรียนหรือไม่ ภาพซึ่งประทับติดตรึงที่สุดในหัวสมองจึงเป็นเพียงเค้าโครงอันเรียบง่าย…เขาผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะที่นั่งข้างโต๊ะในห้องโถงข้าง รูปร่างผอมบาง ผิวขาวผมดำ ทว่ากลับไม่เปล่งเสียงแม้สักคำเดียว

เป็นเช่นนี้อยู่ไม่กี่วัน นางหลับหูหลับตาสอนหนังสือเขาส่งเดชไปได้ไม่กี่หน้า ทางเมืองหลวงก็ส่งข่าวมาว่าซือหม่าเสวียนนำทัพออกมาถวายการอารักขา พิทักษ์เมืองหลวงเอาไว้ได้ ทุกคนจึงสามารถกลับไปได้แล้ว

สิบเอ็ดปีผ่านไป ช่างเนิ่นนานเหลือเกินจริงๆ รูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนแปลงย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ไม่นึกเลยว่าเด็กหนุ่มที่เงียบขรึมในตอนนั้น เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจะกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้

“เจ้าแน่ใจว่าเป็นเขาจริงหรือ” ไป๋ถานยังคงไม่กล้าเชื่อ นี่มันคนละคนกันชัดๆ!

ซีชิงขบขัน “อดีตฮ่องเต้มีพระโอรสองค์นี้เพียงองค์เดียว หรือว่าเขายังจะสวมรอยกันได้?”

ไป๋ถานยากจะยอมรับ “แล้วเขากลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“ไม่แน่ตอนนั้นเจ้าอาจสอนอะไรที่ส่งผลร้ายแรงก็เป็นได้”

“…” ไป๋ถานไม่ส่งเสียง แต่กลับเอาก้านผลจูอวี๋เสียบใส่หน้าของตัวการใหญ่ผู้นี้ทันที

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com