ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด
บทที่สาม
หลายวันนี้โจวจื่อฉวยจังหวะที่หยุดเรียนกลับเมืองอู๋ไปเยี่ยมเยียนบิดามารดา เช้าวันนี้เขาจึงรุดกลับมาถึงเมืองหลวง ตกบ่ายก็นำเด็กรับใช้ไปที่ย่านฉางกั้น ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่ของชาวบ้านทั่วไปทันที
เทศกาลฉงหยางต้องแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส ซึ่งย่อมหมายรวมถึงอาจารย์ด้วย ทุกปีเขาจึงมาเลือกของกำนัลหนึ่งชิ้นที่ร้านตรงปลายถนนของย่านฉางกั้นเพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์
เถ้าแก่ร้านเป็นคนที่รู้จักมักคุ้นกันมานาน พอเข้าประตูร้าน โจวจื่อจึงเอ่ยทักทายอีกฝ่าย ใครจะคาดคิดว่าเขายังไม่ทันพูดจบ เถ้าแก่ร้านกลับเผ่นแน่บเข้าหลังร้านไปราวกับพบเจอภูตผีเสียแล้ว
โจวจื่อฉงนยิ่งนัก “เถ้าแก่ เจ้าไม่ขายของให้ข้าแล้วหรือ”
เถ้าแก่ร้านขอโทษขอโพยเสียงแผ่วผ่านม่านประตู “ขออภัยจริงๆ ขอรับคุณชายโจว มิใช่ข้าไม่อยากขายของให้ท่านหรอก แต่ข้าไม่กล้าจริงๆ หากของที่ขายไปเกิดไม่ถูกใจคุณหนูสกุลไป๋ขึ้นมา นางอาจไม่ทำอันใดท่าน กลัวก็แต่จะมาเล่นงานร้านซอมซ่อนี้ของข้าแทน หากเป็นเช่นนั้นข้าจะทำประการใดเล่า”
โจวจื่อขบขัน “อาจารย์ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น ที่นางรับของกำนัลก็ไม่ได้มุ่งหวังสิ่งใด เพียงทำตามธรรมเนียมมารยาท ไหนเลยจะถือสามากมาย เมื่อก่อนก็ไม่เห็นเจ้ากลัวนางเช่นนี้ ปีนี้เจ้ากลับเป็นอะไรไป”
เถ้าแก่ร้านแหวกม่านประตูโผล่ออกมาแต่ใบหน้า “ตอนนี้นางรับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์แล้ว จะเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนได้อย่างไรกัน”
โจวจื่อชะงักกึกก่อนจะปั้นหน้าขรึม “พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า”
เถ้าแก่ร้านหดคอ “ในเมืองลือกันทั่วแล้ว เหตุใดกลายเป็นข้าที่พูดเพ้อเจ้อเสียได้…”
โจวจื่อไม่เชื่อ ผู้ใดบ้างที่เอ่ยถึงนามของหลิงตูอ๋องได้โดยไม่สั่นสะท้าน เขาสามารถทำให้เด็กเล็กทั่วหล้าครึ่งหนึ่งผวาจนปัสสาวะรดกางเกง อีกครึ่งหนึ่งผวาจนปัสสาวะไม่ออก อาจารย์เร้นกายอยู่บนภูเขาตงซาน แต่ไรมาไม่เหยียบย่างเข้าเมืองหลวงเลยสักก้าว จะไปเกี่ยวโยงกับคนผู้นั้นได้อย่างไรกัน
“อย่ามาพูดจาเหลวไหล! อาจารย์ข้าชื่อเสียงดีงามไม่เคยด่างพร้อย หากรับมารร้ายผู้นั้นเป็นศิษย์จริงไม่เท่ากับทำลายชื่อเสียงของตนเองหรอกหรือ ขืนเจ้ายังปั้นน้ำเป็นตัวส่งเดชเช่นนี้ ต่อไปข้าจะไม่มาเหยียบที่ร้านซอมซ่อนี่อีก!”
โจวจื่อตวาดถ้อยคำเหล่านี้สุดเสียง ถึงกับทำให้ฝูงชนที่คลาคล่ำอยู่นอกประตูพลันเงียบกริบไปในพริบตา
ซือหม่าจิ้นซึ่งเดินผ่านมาจึงชะงักฝีเท้าแล้วหันขวับมองเข้าไป
สองสามวันนี้ฉีเฟิงกำลังพยายามเยียวยาความสัมพันธ์ระหว่างนายบ่าวอย่างยิ่งยวด เขาแทบจะกลายร่างเป็นสุนัขกัดคนให้นายไม่เลือกหน้าแล้ว พอได้ยินคำว่า ‘มารร้าย’ ไหนเลยจะทนไหว เขาจึงแหวกฝูงชนเข้าไปเพื่อสืบข่าวแล้วกลับมารายงานผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว “เรียนท่านอ๋อง เจ้าหนูนั่นชื่อโจวจื่อ เป็นบุตรชายเจ้าเมืองอู๋ หลานชายของข้าหลวงส่วนพระองค์ เขาไปเรียนหนังสือที่ภูเขาตงซานทุกวัน ดูเหมือนจะมาซื้อของกำนัลให้คุณหนูสกุลไป๋ ท่านว่าจะให้ข้า…” เขาหรี่ตาถูไม้ถูมือบอกใบ้ว่ากำลังจะไปทำเรื่องชั่วร้าย
ซือหม่าจิ้นคลี่ยิ้มกอดอก “ไปบอกเถ้าแก่ว่าให้เขาเลือกของในร้านได้ตามใจชอบ เสร็จแล้วมาคิดเงินกับข้า ถือเป็นของขวัญแรกพบจากศิษย์พี่”
ความฮึกเหิมของฉีเฟิงพลันสลายไปกว่าครึ่งในพริบตา ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
เพียงฉีเฟิงพูดไม่กี่ประโยค ฝูงชนที่รอชมเรื่องสนุกอยู่หน้าประตูก็ต่างแตกฮือจากไปพร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ เถ้าแก่ลนลานวิ่งออกมา เพราะไม่ทันระวังศีรษะจึงโขกกับบานประตูไม้เข้าอย่างจัง ในขณะที่ใบหน้าของโจวจื่อซึ่งเดิมทีเป็นเดือดเป็นแค้นก็พลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขามองมาทางซือหม่าจิ้นอย่างตัวสั่นงันงก สุดท้ายเข่าอ่อนนั่งแปะลงกับพื้น ครึ่งวันเขาก็พูดไม่ออกสักคำเดียว
ซือหม่าจิ้นหันหน้าเดินจากไปอย่างพึงพอใจ
เพิ่งเดินออกจากถนนสายนั้น กู้เฉิงก็ควบม้าเร็วมาถึง “ท่านอ๋อง รีบกลับเถิดขอรับ เกิดเรื่องแล้ว”
ขณะนี้ไป๋ถานหลบมาคัดอักษรเงียบๆ คนเดียวในห้องซึ่งปิดประตูหน้าต่างมิดชิด
บนโต๊ะมีกระดาษที่เขียนแล้ววางซ้อนกันเป็นปึกหนา นับจากที่รู้ว่าตนเคยสอนซือหม่าจิ้น อารมณ์ของนางก็ซับซ้อนสับสนยิ่ง จึงจำเป็นต้องสงบใจอย่างจริงจัง
ทว่าเรือนด้านหน้ากลับมีเสียงอึกทึกดังมาไม่ขาดสาย หลายครั้งที่นางรวบรวมสมาธิได้ก็ล้วนต้องถูกขัดจังหวะอยู่ร่ำไป นางจึงโยนพู่กันทิ้งเลิกคัดเสียเลย
ถัดจากวันที่พบกับซีชิง ที่นี่ก็เริ่มมีขุนนางใหญ่ทรงอำนาจจากตระกูลต่างๆ ทยอยมาเยี่ยมเยือนนางไม่ได้ขาด ทั้งหมดล้วนมาเพื่อมอบของกำนัล จุดมุ่งหมายของทุกคนเรียบง่ายยิ่ง นั่นคือเพียงต้องการผูกไมตรีกับนาง
หลิงตูอ๋องอุปนิสัยเช่นนั้น พวกเขาจึงเลิกคาดหวังที่จะประจบเอาใจอีกฝ่ายแล้ว ทว่าภายหลังข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงว่าหลิงตูอ๋องปล่อยตัวไป๋ต้งไปเพราะไป๋ถาน ทุกคนต่างรู้สึกว่าไป๋ถานเป็นช่องทางที่ไม่เลวเลย วันหน้าหากตระกูลใดมีใครไม่ดูตาม้าตาเรือเผลอไปล่วงเกินหลิงตูอ๋องเข้า ถึงตอนนั้นเพียงยกนางออกมาอาจมีทางช่วยชีวิตตนเองก็เป็นได้
อู๋โก้วผลักประตูเดินเข้ามา “อาจารย์ คุณชายใหญ่สกุลหลิวบอกว่าเขากับท่านเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งบนหน้าท่านมีไฝกี่เม็ดเขาก็รู้ ท่านจะพบเขาหรือไม่”
ไป๋ถานชี้หน้าของตนเอง “บนหน้าอาจารย์มีไฝหรือไม่”
“เอ่อ…ไม่มีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นยังต้องพูดอะไรอีก ไม่พบ!”
“อ้อ”
อู๋โก้วออกไปแล้ว ทว่าไม่ช้าก็วิ่งตึกๆ กลับเข้ามาอีก คราวนี้สีหน้าของนางส่อนัยคลุมเครือ “อาจารย์ๆ คุณชายสกุลหวนบอกว่าท่านรักชอบเขามาตั้งแต่เล็ก ท่านจะพบเขาหรือไม่”
ไป๋ถานกุมหน้าผากด้วยความหงุดหงิด ศีลธรรมเสื่อมทรามลงทุกวัน บุตรหลานตระกูลขุนนางไยจึงกลายเป็นเช่นนี้กันหมด กระทั่งวาจายังพูดกันดีๆ ไม่ได้ จะคบหาเป็นสหายได้อย่างไร
อู๋โก้วเห็นท่าทางของนางก็รู้ว่าไม่อยากพบจึงเอ่ยโน้มน้าวด้วยเจตนาดี “เหตุใดอาจารย์ไม่พบสักหน่อยเล่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่มีชาติตระกูล ไม่ไว้หน้าพวกเขาเช่นนี้คงไม่ดีกระมัง”
ไป๋ถานถอนหายใจ “เจ้านึกหรือว่าข้าอยากไม่ไว้หน้าพวกเขา เรื่องที่พวกเขาจะร้องขอ ข้าไม่มีปัญญาทำได้สักนิด ช่วยไป๋ต้งสำเร็จก็เป็นเพราะโชคช่วยเนื่องจากเจอสิ่งที่ข้าถนัด หากคราวหน้าหลิงตูอ๋องจะประลองยุทธ์กับผู้อื่น ข้าไม่ต้องไปขวางดาบแทนพวกเขาหรอกหรือ”
อู๋โก้วเข้าใจแล้ว “เช่นนั้นข้าจะไปตอบพวกเขาเดี๋ยวนี้”
ไป๋ถานเรียกนางไว้ “เจ้าไปบอกว่าหลิงตูอ๋องกำลังจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว ให้พวกเขารีบไปเสียตอนนี้ ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์”
จริงด้วย เหตุใดข้าจึงนึกไม่ถึงนะ! อู๋โก้วสองตาสว่างวาบรีบออกไปทำตามทันที
ด้านนอกพลันเงียบสงบดังคาด
ไป๋ถานเพิ่งจะระบายลมหายใจ อู๋โก้วก็ย้อนกลับเข้ามาอีก “ผู้อื่นไปกันหมดแล้วเจ้าค่ะ มีคนเดียวที่ไม่ตกใจหนีไป เขาบอกว่าตนชื่อเกาผิง เคยพบปะกับอาจารย์แล้ว ท่านจะพบหรือไม่”
คนผู้นี้ไม่อาจหลีกลี้หนีพ้นแล้ว ไป๋ถานลุกขึ้นอย่างจนใจ “พบ”
วันนี้เกาผิงสวมเครื่องแบบของกองกำลังรักษาวัง ยืนลำตัวตรงดุจพู่กันอยู่บนระเบียงทางเดิน แม้รูปร่างของเขาจะเตี้ยเล็กและซูบผอม ทว่าเขากลับมีลักษณะท่าทางน่าเกรงขามทีเดียว
ไป๋ถานคารวะอีกฝ่ายแล้วเชื้อเชิญเกาผิงไปนั่งในเรือน ทว่าเขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าเพียงมาถ่ายทอดคำพูดเท่านั้น ประเดี๋ยวข้าก็ไปแล้ว คุณหนูมิต้องลำบาก”
ไป๋ถานจำต้องยืนอยู่ด้านนอกเป็นเพื่อนเขา “ใต้เท้าเกาเชิญกล่าว”
เกาผิงเอ่ย “ฝ่าบาทเคยรับสั่งว่าหากหลิงตูอ๋องปรับปรุงความประพฤติย่อมจะตกรางวัลแก่คุณหนูอย่างงาม ทว่ายามนี้ดูเหมือนจะไม่เห็นผลแต่อย่างใด”
ไป๋ถานลอบบีบฝ่ามือ ประเสริฐแท้ มาคิดบัญชีจนได้!
“ข้าขอบอกโดยไม่ปิดบัง ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ให้คุณหนูเข้าวังไปสักเที่ยว ทรงต้องการหารือเรื่องนี้กับคุณหนูด้วยพระองค์เอง”
นึกอย่างไรไป๋ถานก็นึกไม่ถึงว่าคำพูดที่เขานำมาถ่ายทอดจะเป็นเช่นนี้ได้
“ขอบังอาจเรียนถามใต้เท้า นี่คือราชโองการหรือไม่”
เกาผิงส่ายศีรษะ “ฝ่าบาทตรัสว่าให้คุณหนูตัดสินใจเอง เมื่อก่อนเคยได้ยินมาว่าตลอดสิบปีนี้คุณหนูไม่เคยย่างเท้าเข้าเมืองเจี้ยนคังเลยแม้สักก้าว แต่คราวก่อนข้าก็ได้พบกับท่านที่จวนหลิงตูอ๋องจริง ด้วยเหตุนี้จึงลองมาสอบถามความเห็นของท่านดูก่อน”
คราวก่อนเป็นการถูกลักพาตัว จะเหมือนกันได้อย่างไร
ไป๋ถานยิ้มเจื่อน “ฝ่าบาททรงมีราชกิจรัดตัว ข้าขอไม่ไปรบกวนฝ่าบาทจะดีกว่า อย่างไรลำบากใต้เท้าเกาช่วยกราบทูลฝ่าบาทว่าข้าจะตั้งใจอบรมหลิงตูอ๋องอย่างเต็มที่แน่นอน”
เกาผิงเม้มปากคล้ายมีคำพูดอยากจะกล่าวอีก ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปาก เขาเพียงคารวะแล้วขอตัวจากไป
งานฉลองเทศกาลฉงหยางปีนี้ช่างเป็นปีที่สุดแสนจะครึกครื้นยิ่ง ไป๋ถานยืนมองฟ้าอยู่กลางลาน พรุ่งนี้นางจะเริ่มกลับมาสอนแล้ว น่ากลัวว่ายังมีเรื่องให้ต้องรับมืออีกหลายระลอก
จริงดังคาด วันรุ่งขึ้นยามที่เหล่าศิษย์มาถึง พวกเขาล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป อีกทั้งยังนำของกำนัลติดมือมาด้วยทุกคน
หากมอบเพียงสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เช่นกาลก่อนก็แล้วไปเถิด ทว่าปีนี้กลับมีศิษย์จำนวนมากที่กำนัลของด้วยแก้วแหวนเงินทองมูลค่าสูง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกคนทางบ้านบงการให้มาผูกสัมพันธ์
เงินทองเป็นของดี ทว่าเงินทองพรรค์นี้กลับไม่อาจรับไว้
ไป๋ถานอึดอัดขัดใจยิ่ง นางปั้นสีหน้าของอาจารย์ผู้เข้มงวด นั่งเงียบไม่ปริปากอยู่ตรงที่นั่งด้านบน ศิษย์ทุกคนที่มอบของล้ำค่าล้วนถูกลงโทษให้คัดบทเรียนหนึ่งร้อยจบ ไม่รู้เพราะนางโกรธเคืองพวกเขาที่มอบของกำนัลเช่นนี้ หรือโกรธเคืองตนเองที่ไม่อาจรับของเอาไว้ได้
โจวจื่อไม่ได้เคลื่อนไหว ทว่าเขากลับรอคอยจนกระทั่งเลิกชั้นเรียนในยามเย็น ให้ศิษย์คนอื่นกลับไปหมดสิ้นแล้วจึงค่อยเดินเนิบช้ามาจนถึงเบื้องหน้าไป๋ถานแล้วหยิบของกำนัลที่ตนเตรียมไว้ออกมา
นั่นคือปิ่นไม้ไผ่อันหนึ่งซึ่งแลดูธรรมดาสามัญ ทว่าเมื่อมองให้ถี่ถ้วนจะพบตัวอักษรเล็กละเอียดถี่ยิบบนดอกไม้ที่ปลายปิ่น
ไป๋ถานเพ่งพินิจจดจ่อก่อนจะอุทานชื่นชมอย่างอดไม่ได้ “บนนี้ถึงกับสลักประโยคในบท ‘อิสรจร’* อยู่ด้วย ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ความชอบของอาจารย์ไม่เปลี่ยน”
โจวจื่อปราศจากอารมณ์ยินดี “อันที่จริงศิษย์มิใช่ผู้กำนัลสิ่งของ หลิง…หลิงตูอ๋องเป็นผู้ชำระเงินขอรับ”
ไป๋ถานได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขวับทันที “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
โจวจื่อเล่าเหตุการณ์เมื่อวานขณะพบเจอหลิงตูอ๋องโดยบังเอิญที่ย่านฉางกั้นให้นางฟังโดยละเอียด แม้จะละส่วนที่ตนขวัญกระเจิงจนทรุดกับพื้นลุกไม่ขึ้นไว้แล้ว แต่ไป๋ถานก็ยังรู้ว่าเขาคงได้รับความตื่นตระหนกไปไม่น้อยแน่ นางจึงรู้สึกทั้งจนใจทั้งขบขัน
โจวจื่อกล่าวต่อ “จะว่าไปก็บังเอิญแท้ เมื่อวานยามกลางวันเพิ่งพบเขา ตกค่ำหลังข้ากลับไปก็ได้ยินท่านน้าบอกว่าหลิงตูอ๋องประสบเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว”
“เอ๊ะ? เรื่องยุ่งยากอันใดกัน”
“ดูเหมือนอัครเสนาบดีหวังกับสมุหกลาโหมเซี่ยจะเข้าชื่อกันกล่าวโทษหลิงตูอ๋องว่าความประพฤติเขายากจะดำรงยศชินอ๋อง จึงเรียกร้องให้ฝ่าบาทปลดเขาเป็นจวิ้นอ๋อง* ขอรับ”
หวังและเซี่ยสองตระกูลขุนนางใหญ่ถึงกับเข้าชื่อกันกล่าวโทษเขา เห็นทีเรื่องนี้จะร้ายแรงไม่น้อย! ไป๋ถานตรองชั่วครู่ก่อนกล่าว “น้าชายของเจ้าบอกหรือไม่ว่าฝ่าบาททรงคิดเห็นเช่นไร”
โจวจื่อตอบ “ฝ่าบาททรงโอบอ้อมมีน้ำพระทัยกว้างขวางจนเป็นที่รู้กันทั่วหล้า ย่อมทรงประสงค์จะปกป้องหลิงตูอ๋อง ทว่าก็ต้องทรงคิดหาเหตุผลสักข้อที่พอจะปกป้องหลิงตูอ๋องให้ได้เสียก่อน”
ไป๋ถานเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้ง เหตุที่ฝ่าบาทพลันส่งคนมาเบิกตัวนางเข้าวังเกรงว่าจะเพื่อเรื่องนี้
ยามอาทิตย์อัสดงใกล้ลับตา อู๋โก้วยกสำรับอาหารส่งเข้ามาในห้องของไป๋ถาน แลเห็นนางนั่งหน้าเครียดอยู่หลังโต๊ะ บนโต๊ะต้มน้ำชาอยู่ ไป๋ถานถือพัดทว่ากลับลืมที่จะโบกใส่เตาเล็ก เนิ่นนานถ่านในเตาจึงไม่ติดไฟเสียที
“อาจารย์ ท่านเป็นอะไรไป” อู๋โก้วเลื่อนสำรับไปตรงหน้านาง “ดูสิเจ้าคะ เย็นนี้มีเนื้อด้วยนะ ไยท่านไม่ดีใจเล่า”
“เฮ้อ…เรื่องนี้จะเริ่มพูดอย่างไรดี…” ไป๋ถานกระตุกขนนกสีขาวบนพัดของตน “สรุปก็คือ…อันที่จริงแล้ว…หลิงตูอ๋องไม่อาจนับเป็นศิษย์น้อง ทว่ากลับเป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้าทุกคนต่างหาก”
อู๋โก้วกำมือทุบใส่หัวเข่าทีหนึ่ง “ที่แท้เพราะเหตุนี้เองหรอกหรือ นั่นจะเป็นไรไปเล่า เขาคือหลิงตูอ๋องเชียวนะเจ้าคะ อย่าว่าแต่เป็นศิษย์พี่เลย ให้เป็นอาจารย์แม่ของข้าก็ยังได้!”
ไป๋ถานโบกพัดขนนกใส่หน้าอีกฝ่าย พูดเลอะเทอะอันใดกัน
“ช่างเถิด บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” ไป๋ถานไม่มีความอยากอาหารสักนิด นางนั่งเพียงชั่วครู่ก็พลันลุกขึ้นแล้วฉวยเสื้อคลุม…มุ่งสู่เบื้องนอก
“เอ๊ะ อาจารย์ เย็นย่ำป่านนี้แล้วท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ” อู๋โก้วรีบไล่ตามออกมา “ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน”
ไป๋ถานตอบ “จวนหลิงตูอ๋อง”
ฝีเท้าของอู๋โก้วหมุนขวับกลับหลังหันทันใด “อาจารย์ค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ”
ไป๋ถานไม่ได้แยแสอีกฝ่าย เมื่อนางเดินมาถึงข้างประตูเรือนก็เรียกบ่าวชายสองคนให้คอยมาช่วยถือโคมคุ้มกันตนลงเขา
รอจนนางออกจากประตูเรือนไปอู๋โก้วถึงค่อยตระหนักได้
ข้าแต่สวรรค์…อาจารย์จะเข้าเมืองแล้ว!
เมื่อลงจากเขาไป๋ถานก็มุ่งตรงไปบนทางหลวง ซ้ายมือของนางคือตัวหมู่บ้านกับเรือกสวนไร่นาซึ่งทอดยาวไปแสนไกล ขวามือคือเมืองเจี้ยนคังซึ่งเริ่มจุดโคมไฟอันวิจิตรตระการตา
สิบปีมานี้ไป๋ถานลงจากเขานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าล้วนแต่เดินมุ่งไปทางด้านซ้ายเท่านั้น
ปีนั้นตอนที่ก้าวออกจากประตูใหญ่ของจวนไท่ฟู่ นางเคยลั่นคำสาบานรุนแรงว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่เป็นฝ่ายย่างเท้าเข้าเมืองหลวงด้วยตนเองเป็นอันขาด เว้นเสียแต่ว่าบิดาของนางจะเปลี่ยนความตั้งใจ ก้มศีรษะแล้วเชิญนางกลับไปเท่านั้น กระทั่งครั้งก่อนตอนที่นางช่วยไป๋ต้งเขาก็เพียงแต่อยู่หน้าประตูเมือง หลังจากเสร็จธุระนางก็บ่ายหน้ากลับภูเขาตงซานทันที
ทว่าบัดนี้นางกลับย่างทีละก้าวมาจนถึงนอกประตูเมืองเจี้ยนคังด้วยตนเอง เงยหน้ามองดูแผ่นป้ายบนประตูซึ่งพรางตัวอยู่ท่ามกลางแสงสลัว
เดิมทีเพียงต้องการยืนยันสถานะให้ถูกต้องถึงได้รับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์ ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าเมื่อก่อนนางก็เคยสอนมารร้ายผู้นี้ด้วย เขาพูดไม่ผิด ในเมื่อเคยพัวพัน อยากให้ชื่อเสียงไม่ด่างพร้อยก็คงยากแล้ว ไม่แน่หากมีผู้อื่นล่วงรู้อดีตช่วงนี้เข้าอาจนึกเชื่อมโยงไปว่าที่เขาเป็นเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะนางอบรมสั่งสอนเขาออกมา
ปรักปรำกันแท้ๆ ตอนนั้นนางไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!
ไป๋ถานบรรจงซ่อนเรือนผมใต้หมวกปีกกว้างที่มีระบายม่านแพรโดยรอบ รับโคมไฟจากมือของบ่าวชายแล้วย่างเท้าเข้าเมือง
มารร้ายน่าตาย! อาจารย์ถึงขั้นผิดคำสาบานเพื่อเจ้าเชียวนะ ขืนเจ้ายังทำตัวเหลวไหลอีกข้าจะตามราวีเจ้าไม่เลิกราแน่!
ตกค่ำ จวนหลิงตูอ๋องเงียบสงัดจนเกินเหตุ บนระเบียงทางเดินแขวนโคมสูงเพียงดวงเดียว จำนวนบ่าวชายและสาวใช้ที่เดินผ่านไปมามีน้อยจนน่าสังเวช ทั้งบรรยากาศก็อึมครึมและน่าสะพรึงกลัวดังที่ผู้คนภายนอกเล่าลือกัน
แสงไฟในห้องหนังสือสว่างไสว ซือหม่าจิ้นเพิ่งเปลี่ยนยารักษาบาดแผลเสร็จจึงคลุมเสื้อนอกแล้วนั่งอยู่หลังโต๊ะ มุมปากของเขายังคงประดับยิ้ม
อันที่จริงซือหม่าจิ้นอยากจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ วันก่อนระหว่างที่ตนลากตัวโจรผู้นั้นลงจากภูเขาตงซานกลับเข้าเมืองหลวงก็ทำให้ชาวเมืองแตกตื่นกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผลคืออัครเสนาบดีหวังฟูกลับบอกว่าในจำนวนคนเหล่านี้มีมารดาวัยเจ็ดสิบของเขารวมอยู่ด้วย
ว่ากันว่าค่ำนั้นพอมารดาของเขากลับไปก็เจ็บไข้ไม่หาย พวกเขาเชิญซีชิงมาตรวจอาการ แต่ซีชิงกลับบอกว่าคนถึงอายุขัยแล้วควรทำใจตระเตรียมงานศพไว้
ทว่าหวังฟูไม่ยอมเชื่อ คิดปักใจแค่ว่าที่มารดาของเขาล้มป่วยเพราะถูกซือหม่าจิ้นทำให้เสียขวัญ วันรุ่งขึ้นจึงวิ่งโร่ไปหาสมุหกลาโหมเซี่ยโฉว ชักแม่น้ำทั้งห้าให้อีกฝ่ายร่วมเข้าชื่อถวายหนังสือกล่าวโทษซือหม่าจิ้น
บรรดาที่ปรึกษาของซือหม่าจิ้นซึ่งสอดสองมือในแขนเสื้อกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ส่วนใหญ่ได้เสนอแผนเพื่อรับมือกับเรื่องลดชั้นยศแล้ว ทว่าใจความก็แทบไม่แตกต่าง ล้วนไม่พ้นอยากให้เขายอมก้มศีรษะ ชายชาตรีเหล่านี้พอพูดจบแล้วต่างหักข้อนิ้วตนเองอย่างเคร่งเครียด อย่างไรเสียการให้ท่านอ๋องยอมก้มศีรษะก็เป็นไปได้มากว่าจะทำให้พวกตนต้องหัวขาดก่อน…
“ท่านอ๋อง ประทับตราเถิดขอรับ” ที่ปรึกษาผู้หนึ่งเอ่ยโน้มน้าวอย่างระมัดระวัง “หวังฟูไม่เคยมีความแค้นอันใดกับท่านอ๋อง เมื่อก่อนก็ไม่เคยยุ่มย่ามเรื่องของท่าน ยามนี้เพียงแต่มีโทสะชั่วแล่นไปเท่านั้น สกุลหวังและเซี่ยต่างทรงอิทธิพลด้วยกันทั้งคู่ ท่านอ๋องจะปะทะด้วยกำลังเสมอไปมิได้ พวกเราได้ร่างหนังสือขออภัยไว้แล้ว เพียงท่านประทับตราเสร็จพวกเราก็จะส่งไปทันที ไม่มีผลเสียหายอันใดกับท่านเลย”
ซือหม่าจิ้นคลี่ยิ้มเยียบเย็น “หากข้าขอโทษ ไม่เท่ากับยอมรับหรือว่าที่มารดาของเขาล้มหมอนนอนเสื่อไม่หายเช่นนี้เป็นความผิดของข้า”
“…” ที่ปรึกษาตะลึงตาค้าง เดิมทีก็เป็นเพราะท่านอยู่แล้ว ที่แท้ท่านยังไม่อยากจะยอมรับนี่เอง!
หัวหน้าที่ปรึกษาฝางเพ่ยอายุถึงวัยห้าสิบแล้ว เขาอยู่ข้างกายซือหม่าจิ้นมานานที่สุดจึงไม่ขลาดกลัวอีกฝ่ายเช่นคนอื่นๆ เขาลูบเคราสีดอกเลาก่อนเอ่ย “ท่านอ๋องได้รับยศชินอ๋องมิใช่เพียงเพราะฐานันดรที่สูงศักดิ์เท่านั้น หากยังได้มาจากความดีความชอบในสนามรบซึ่งท่านสั่งสมทีละเล็กละน้อยมาช้านาน ไยเพียงบอกว่าจะริบก็เป็นริบได้เล่า หวังฟูที่ยึดมั่นหลักกตัญญูจึงไม่แคล้วบันดาลโทสะไปชั่ววูบ เคราะห์ยังดีที่ฝ่าบาทมีพระทัยปกป้องท่าน เรื่องนี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้าแล้ว หาไม่จะได้ผลตรงกันข้าม อีกทั้งบัดนี้ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของไป๋ถานก็มิสู้ให้นางเป็นผู้ออกหน้าให้แทน”
“ไป๋ถาน?” ซือหม่าจิ้นสั่นศีรษะ “นางเป็นศิษย์อาจารย์กับข้าก็เพียงเพื่อปกป้องตนเอง ไหนเลยจะยอมไปทำเรื่องเช่นนี้เพื่อข้า”
เพิ่งขาดคำ กู้เฉิงก็ผลักประตูเข้ามาพร้อมสีหน้าที่ดูแปลกพิกลอยู่บ้าง “ท่านอ๋อง คุณหนูสกุลไป๋มาขอรับ”
ไป๋ถานตามหลังเขาเดินเข้าประตูมา นางยกมือถอดหมวกม่านแพรนั้นออก เผยให้เห็นดวงหน้าขาวกระจ่างหมดจด
ซือหม่าจิ้นชำเลืองตาไปทางด้านข้างแวบหนึ่ง ฉีเฟิงพลันกระโดดโหยงราวกับถูกเข็มทิ่มตำ “คราวนี้ข้าน้อยมิได้ลักพาตัวนางมานะขอรับ!”
ไป๋ถานไม่ปล่อยทุกโอกาสที่จะได้เล่นงานฉีเฟิงไป นางเปรยขึ้นเสียงเย็น “วันนี้ช่างแปลกใหม่โดยแท้ ข้าได้เดินเข้าบ้านศิษย์ทางประตูใหญ่เป็นครั้งแรกเชียวนะ”
ฉีเฟิงถลึงตาใส่นาง รู้จักจบจักสิ้นบ้างหรือไม่ ยุแหย่ข้าสนุกใหญ่แล้ว!
ซือหม่าจิ้นกล่าว “อาจารย์มาเยี่ยมเยือนเช่นนี้ มีอันใดจะชี้แนะข้าหรือไม่”
ไป๋ถานคลี่ยิ้ม “ได้ยินว่าท่านอ๋องถูกคนกล่าวโทษ อาจารย์จึงมิได้มาเพื่อแสดงความยินดี อย่างไรเสียก็ต้องระลึกถึงความผูกพันระหว่างศิษย์อาจารย์มาช่วยเหลือท่านอ๋องสักครา”
ฝางเพ่ยสองตาพลันสว่างวาบ รีบสาวเท้าเดินขึ้นหน้าไป เขาฉีกยิ้มจนรอยย่นบนใบหน้าเผยออกมาจนหมดสิ้น “คุณหนูมาได้จังหวะพอดี ยามนี้ทุกสิ่งล้วนพร้อมแล้ว รอเพียงคุณหนูยื่นมือช่วยเหลือเท่านั้น”
ไป๋ถานผงกศีรษะ แสดงท่าทีให้เขาไปสนทนากันด้านข้าง
ฝางเพ่ยตามนางไปที่มุมห้อง กระซิบกระซาบครู่หนึ่งไป๋ถานจึงรู้ที่มาที่ไป นางชำเลืองมองซือหม่าจิ้นก่อนกวักมือเรียกฉีเฟิง “เจ้า ไปหยิบเครื่องเขียนมาให้ข้าที”
ฉีเฟิงไหนเลยจะยอมให้นางเรียกใช้โดยง่าย ขณะที่เขาเตรียมระเบิดโทสะก็พลันนึกถึงความขมขื่นที่ตนเองต้องกลิ้งไปกลิ้งมาในวันนั้น เขาจึงฝืนข่มอารมณ์เดินไปด้านข้างหยิบเครื่องเขียนมาวางบนโต๊ะแต่โดยดี
ไป๋ถานถอดเสื้อคลุมนั่งลงหลังโต๊ะ เลิกแขนเสื้อตวัดพู่กันเขียนสองหน้ากระดาษเต็มอย่างต่อเนื่องลื่นไหล พอนางลงชื่อเสร็จแล้วก็หยิบตราประจำตัวจากในแขนเสื้อออกมาประทับอย่างบรรจง
“เรียบร้อย”
ฝางเพ่ยรับมาอ่านโดยละเอียดจนจบจึงค่อยวางใจได้เสียที
ความจริงแล้วนี่คือหนังสือรับรองของไป๋ถาน หลักใหญ่ใจความคือเลี่ยงเอ่ยประเด็นหนักแล้วรับผิดในประเด็นเบา จากนั้นให้คำรับรองว่าต่อไปนางจะอบรมซือหม่าจิ้นเป็นอย่างดี ไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้ซ้ำรอยเป็นอันขาด
อันที่จริงฝ่าบาททรงแย้มพรายมาแต่แรกแล้วว่าให้ซือหม่าจิ้นร่วมมือสักนิดจะได้ปกป้องเขาง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังทรงเปรยว่าให้ไป๋ถานเป็นผู้ออกหน้าชี้แจงต่อหวังฟูและเซี่ยโฉว อย่างไรเสียตั้งแต่ต้นจนจบสองคนนี้ก็มิได้คาดหวังว่าจะได้รับคำชี้แจงอันใดจากซือหม่าจิ้นอยู่แล้ว
ยามนี้ในเมืองหลวงจึงโจษจันกันทั่วว่าไป๋ถานสามารถกำราบซือหม่าจิ้นได้ ในเมื่อนางออกหน้าให้คำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะควบคุมเขาให้ดีเช่นนี้แล้ว ไหนเลยยังมีอันใดให้ตั้งแง่อีก ถึงอย่างไรก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดพอจะพิสูจน์ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวังอาการหนักเพราะซือหม่าจิ้น
ซือหม่าจิ้นนิ่งเงียบมาตลอด ยามนี้เพียงกวาดตามองรอบด้านแวบหนึ่ง ผู้คนทั้งซ้ายขวาก็รู้ความหมายของเขาจึงเดินเรียงแถวออกไปทันที ครู่เดียวในห้องก็เหลือเพียงเขากับไป๋ถาน
“อาจารย์เร่งเดินทางมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะเชียวหรือ”
เสียงโอดครวญเอ่อล้นหัวใจของไป๋ถาน ทว่าไร้ที่จะระบายทุกข์ “ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็เป็นศิษย์ในสำนักข้า”
หลายปีที่ผ่านมา กว่านางจะสร้างชื่อเสียงอันดีงามจนไร้จุดด่างพร้อยเช่นนี้ได้ง่ายดายเสียเมื่อไร! ในเมื่อเหตุพัวพันในอดีตนั้นอย่างไรก็ตัดไม่ขาดแน่แล้ว เพื่อพิสูจน์ว่าตนมิใช่พวกที่จะชักนำให้บุตรหลานของผู้อื่นเสียคน นับจากนี้ก็มีแต่พยายามดึงให้ซือหม่าจิ้นกลับสู่วิถีทางที่ถูกต้องเท่านั้น หาไม่วันใดที่เรื่องที่นางรับเขาเป็นศิษย์ตั้งแต่สิบเอ็ดปีก่อนนี้แพร่งพรายออกไปย่อมทำให้บรรดาศิษย์ของนางแตกตื่นเตลิดหนีหายไปกันหมด นางมิต้องกินลมต่างข้าวหรอกหรือ!
ซือหม่าจิ้นลุกขึ้นยืน เสื้อนอกซึ่งแต่เดิมพาดอยู่บนร่างจึงร่วงกองไปอยู่ที่พื้น เสื้อตัวในเนื้อบางสีขาวแหวกเปิดนิดๆ เขาเดินผ่อนคลายมาจนถึงเบื้องหน้าไป๋ถานพร้อมเรือนผมยาวที่ไม่ได้รวบมัด “เหตุใดอาจารย์ต้องช่วยข้า”
ไป๋ถานมองดูลักษณะของเขาในเวลานี้ เพียงรู้สึกว่าหยกเนื้องามถลำลงสู่ความมืดมัวแล้ว นางพลันระลึกถึงเงาร่างของเขาในอดีตซึ่งแลคล้ายภาพสีน้ำหมึกอ่อนจาง ในใจจึงสะทกสะท้อนสุดแสน “อาจารย์เชื่อว่าท่านอ๋องยังรักษาหัวใจดวงเดิมที่บริสุทธิ์นั้นเอาไว้อยู่ มิใช่หมดทางเยียวยา”
ซือหม่าจิ้นคล้ายได้ยินเรื่องขบขัน “แต่ไรมาข้าทำสิ่งใดเพียงยึดเอาตามความชอบ ไม่เคยคำนึงถึงหัวใจดวงเดิมอะไรนั่น”
“เช่นนั้นความชอบของท่านอ๋องคือสิ่งใด”
“เลือด…เสียงครวญครางของคนใกล้ตาย…ท่าทางกระเสือกกระสนของคนสิ้นหวัง…สภาพน่ารังเกียจของคนหัวแข็ง ยิ่งหัวแข็งเพียงใดสุดท้ายก็ยิ่งต้องคลานตัวซีดตัวสั่นอยู่แทบเท้าข้าให้ได้…เหล่านี้คือความชอบของข้าทั้งสิ้น”
“…” ไป๋ถานถึงกับเงียบไป คนผู้นี้ที่แท้กินอะไรโตมากันแน่
“เป็นอะไร อาจารย์กลัวข้าแล้วหรือ”
ไป๋ถานขยับนิ้วมือที่แข็งทื่อเล็กน้อย “ถึงอย่างไรอาจารย์ก็เป็นผู้ที่รอดพ้นเงื้อมมือของทัพกบฏเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนมาเช่นกัน มีหรือจะเกรงกลัวง่ายดายปานนั้น”
ซือหม่าจิ้นเลิกคิ้ว “ที่แท้อาจารย์ก็จำได้แล้ว?”
“เดิมทีก็ไม่เคยลืมเลือน จึงได้แต่บอกว่าท่านอ๋องคนก่อนกับคนหลังเปลี่ยนไปมากเสียจนอาจารย์ไม่ได้นึกโยงถึงเรื่องในอดีตเลยสักนิด”
“อาจารย์ก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ตอนนั้นปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อย สามารถปะปนกับบุรุษจริงได้ทีเดียว ทว่าตอนนี้…” สายตาของเขาพลิ้วมาจ้องอยู่ที่หน้าอกของนาง ก่อนที่รอยยิ้มจะลึกล้ำขึ้นอีกส่วน “เป็นสตรีเต็มตัวแล้ว”
ไป๋ถานหางตาสั่นกระตุก เอียงกายหันแผ่นหลังเกินครึ่งให้กับเขา
อันที่จริงรูปร่างของนางยอดเยี่ยมยิ่ง ประกอบกับได้รับการอบรมที่ดีมาแต่เล็ก ไม่ว่าจะยืนหรือจะนั่งล้วนมีกิริยางามชดช้อย เพียงแต่นางสวมชุดยาวแขนกว้างซึ่งปกปิดมิดชิดเป็นประจำจึงยากจะเห็นทรวดทรงได้ชัดเจน อีกทั้งยังเร้นกายใช้ชีวิตตามลำพังตั้งแต่เป็นเด็กสาว ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้นางจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
แม้แต่ในยามที่ซือหม่าจิ้นพินิจพิจารณานางขึ้นๆ ลงๆ นางก็ไม่ได้รู้สึกเขินอายสักเท่าไร เพียงรู้สึกว่าเกียรติของตนในฐานะอาจารย์กำลังถูกท้าทาย ช่างเสียหน้ายิ่งนัก!
สองฝ่ายต่างไร้ถ้อยคำจะเอ่ย มีเพียงเงาร่างใต้แสงเทียนในห้องอันเงียบเชียบ ทว่าตอนนี้เองท้องของไป๋ถานกลับพลันร้องจ๊อกขึ้นมา นางตะลึงงันก่อนที่ดวงหน้าจะแดงวาบในพริบตา
จนป่านนี้นางยังไม่ได้กินอาหารค่ำเลย!
ซือหม่าจิ้นหัวเราะขัน ก่อนจะเดินไปที่ข้างประตูเรียกกู้เฉิงให้ไปเตรียมสำรับอาหาร
ไป๋ถานรู้สึกอับอาย เดิมทีไม่คิดจะอยู่กินอาหารที่นี่ ทว่าไม่ช้ากู้เฉิงก็นำสาวใช้เข้ามาแถวหนึ่ง แต่ละคนล้วนยกอาหารเลิศรสซึ่งนางระลึกถึงอยู่ทุกเช้าค่ำ นางว้าวุ่นใจเพียงชั่วครู่ พริบตาต่อมาก็เลิกดิ้นรนขัดขืนแล้ว
แม้จะหิวโหยอย่างยิ่ง ทว่ายามกินอาหารการเคลื่อนไหวของนางยังคงไม่ช้าไม่เร็ว นั่งกินอยู่หลังโต๊ะอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงเคี้ยวเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย บางครั้งจะผ่อนความเร็วในการเคี้ยวและกลืน คิ้วตาผ่อนคลายเผยสีหน้าอิ่มเอมนิดๆ
ซือหม่าจิ้นยืนพิงข้างประตู สายตาจับอยู่บนร่างของนางก่อนจะค่อยๆ เบนออกไป
นางคือผู้ซึ่งอาบอวลด้วยกลิ่นหอมของน้ำหมึกจากตำรา ทว่าเขากลับแช่ร่างอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตและภูเขาซากศพ ยามนี้สามารถอยู่ร่วมห้องเดียวกันได้ก็นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งแล้ว
รอจนกินอิ่มราวเจ็ดในสิบส่วน ไป๋ถานจึงชะงักตะเกียบแล้วเช็ดปาก เอ่ยกับกู้เฉิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างว่า “ไปเตรียมการที ข้าจะพาท่านอ๋องของพวกเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
กู้เฉิงตกตะลึง “ท่านอ๋องจะไปที่ใดกัน”
“ภูเขาตงซาน…อารามเป้าผู่”
ซือหม่าจิ้นได้ยินเช่นนั้นก็หันมามอง “เพราะเหตุใด”
ไป๋ถานเอ่ยเต็มปากเต็มคำราวกับมันสมควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว “อาจารย์เป็นผู้รับรองให้ท่านอ๋องแล้ว นับจากนี้ก็ย่อมต้องจับตาดูท่านไม่ให้คลาดสายตา ท่านก็ต้องติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์คอยรับฟังคำตักเตือนทุกเมื่อ ดังนั้นตั้งแต่นี้ท่านต้องไปกล่อมเกลาจิตใจที่อารามเป้าผู่เพื่อสะดวกแก่การอบรมทุกเวลา”
ซือหม่าจิ้นเอ่ยพร้อมเหยียดยิ้ม “ไม่ไป”
ใบหน้าของไป๋ถานขรึมลงทันที “เรื่องนี้อาจารย์แจ้งไว้ในหนังสือกราบทูลแล้ว ฉะนั้นท่านอ๋องจะไปพร้อมอาจารย์หรือจะตามไปเองภายหลัง ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องไป”
ซือหม่าจิ้นจับจ้องใบหน้าของนาง แววตาวาววับเยียบเย็นคล้ายซ่อนประกายดาบที่ชวนให้ใจคนหนาวสั่น
ไป๋ถานลอบหยิกฝ่ามือตนเองทีหนึ่ง ก่อนฝืนประคองร่าง วางท่าทีที่เข้มงวดลงไป “เห็นทีว่าท่านอ๋องตัดสินใจจะไปเอง เช่นนั้นก็ช่างเถิด อาจารย์ล่วงหน้ากลับไปก่อนก้าวหนึ่งก็แล้วกัน”
ขณะเอ่ยวาจาฝีเท้าของไป๋ถานก็ขยับแล้ว พอเดินเฉียดไหล่เขาออกไปก็พุ่งตรงสู่นอกจวน ตลอดทางนางไม่แม้แต่จะหยุดพัก กระทั่งจ้ำอ้าวมาถึงนอกประตูใหญ่นางถึงค่อยระบายลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมาแรงๆ
แทบจะเอาชีวิตกันชัดๆ!
ชาติที่แล้วต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินสรรพชีวิตทั่วหล้าไว้เป็นแน่ ชาตินี้ถึงได้มาพบเจอกับศิษย์ที่เป็นเช่นนี้!
ใกล้จะถึงเวลาห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว บ่าวชายสองคน คนหนึ่งถือโคมนำหน้า คนหลังคุ้มกันนางเดินทาง ฝีเท้าของทุกคนเร่งเร็วอยู่บ้าง
บนกำแพงเมืองที่อยู่เบื้องหลังเงียบสงัด เงาจันทร์ในคูเมืองสั่นไหวตามระลอกน้ำ ไป๋ถานย่างเท้าเดินข้ามสะพานชัก จู่ๆ ใต้ฝ่าเท้าก็บังเกิดเสียงทุ้มแผ่ว ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าควบตะบึงก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง พื้นสะพานพลันสั่นสะเทือน นางหันไปมองแวบหนึ่งก่อนที่สายตาซึ่งถอนกลับมาแล้วจะตวัดกลับไปมองซ้ำอีกหนในทันที
ซือหม่าจิ้นควบม้ามาถึงเบื้องหน้า ข้างกายของเขามีกู้เฉิงติดตามเพียงคนเดียว
“ที่แท้อาจารย์เดินเท้ามาตลอดทางเลยหรือนี่”
ไป๋ถานมองค้อน “หรือท่านอ๋องมาเพื่อส่งอาจารย์กลับขึ้นเขา”
รอยยิ้มของซือหม่าจิ้นสลายไปกับสายลมที่หนาวเย็น “ข้าเปลี่ยนใจจะเดินทางไปพร้อมอาจารย์ แต่หากเดินเท้าเช่นเดียวกับท่านจะต้องเดินถึงเมื่อไรกัน ข้าไม่มีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนั้น” เขาประชิดเข้ามาสองก้าวก่อนหยุดม้าพลางโน้มกายลงรวบเอวของไป๋ถานแล้วออกแรงฉุดร่างนางขึ้นสู่ม้าในคราวเดียว
ไป๋ถานตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี หวุดหวิดจะร่วงตกลงไป “เหลวไหล! ข้าเป็นอาจารย์ของท่าน ไยให้ท่านล่วงเกินได้เช่นนี้!”
วงแขนของซือหม่าจิ้นรัดนางไว้อย่างมั่นคง “ข้าดูเหมือนคนที่จะเคารพเชื่อฟังอาจารย์เช่นนั้นหรือ”
“…” ไป๋ถานเงียบไปทันใด แน่นอนล่ะ…ไม่เหมือนสักนิด!
ตลอดทางกระทั่งมาถึงภูเขาตงซาน ไป๋ถานไม่พูดไม่จาเลยสักนิด เมื่อแผ่นหลังของนางแนบชิดกับแผงอกของผู้เป็นศิษย์ ความรู้สึกนั้นดุจดังนั่งบนพรมเข็ม มิหนำซ้ำเบื้องหลังยังมีกู้เฉิงติดตามมาด้วย
ส่วนบ่าวชายสองคนของนาง คาดว่ายามนี้คงเดินเท้าอยู่กลางทางพลางวิพากษ์วิจารณ์ความประพฤติอันไม่เหมาะไม่ควรของนางอยู่
เฮ้อ…แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว!
ยังดีที่ซือหม่าจิ้นไม่ได้ส่งเสียงเช่นกัน ดูแล้วคล้ายเพียงต้องการเร่งความเร็วถึงได้อุ้มนางขึ้นม้า เช่นนี้ค่อยทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะเล็กน้อยก็ตามที
กู้เฉิงล่วงหน้าไปแจ้งข่าวที่อารามเป้าผู่ก่อน ยามที่ไป๋ถานกับซือหม่าจิ้นลงม้าและเดินเท้าไปถึงไหล่เขาก็แลเห็นแสงไฟซึ่งทอดยาวอยู่บนยอดเขาค่อยๆ ลดเลี้ยวลงมา
“ท่านอ๋องโปรดสำรวมกายใจบ้าง บัดนี้เกียรติของอาจารย์ผูกโยงกับท่านอ๋องแล้วย่อมจะรุ่งเรืองเสื่อมเสียไปด้วยกัน” ไป๋ถานกำชับประโยคหนึ่ง นางไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็เลี้ยวขึ้นไปบนทางแยกที่มุ่งสู่เรือนพักของตน เนื่องจากนางไม่มีโคมไฟจึงต้องเดินไปอย่างทุลักทุเล
เดินมาได้ครึ่งทางก็พบเจออู๋โก้วซึ่งถือโคมออกมารอรับพอดี
“อาจารย์กลับมาได้เสียที” นางพูดพลางชะเง้อมองยอดเขาฝั่งตรงข้าม “เหตุใดอารามเป้าผู่จึงดูคึกคักยิ่ง”
ไป๋ถานรู้ว่าอู๋โก้วกลัวซือหม่าจิ้นนางจึงตอบเฉไฉ “ผู้ใดจะรู้เล่า พวกเรากลับกันเถิด”
คนของอารามเป้าผู่ซึ่งรับหน้าที่มาต้อนรับซือหม่าจิ้นนั้นคือศิษย์คนโตของเจ้าอารามเสวียนหยางจื่อนามว่าเฉินหนิง แม้เขาจะผูกมิตรสนิทสนมกับไป๋ถานพอสมควร แต่ก็ไม่ปรารถนาจะข้องเกี่ยวใดๆ กับมารร้ายผู้นี้ ทว่าจนใจที่เสวียนหยางจื่อเก็บตัวเข้าฌานอยู่ เหล่าศิษย์น้องก็ล้วนหวาดหวั่นพรั่นพรึงกันทั้งสิ้น เขาจึงได้แต่ต้องออกหน้าเองแล้ว
เพื่อแสดงความเคารพ เฉินหนิงจึงยกห้องของตนให้กับซือหม่าจิ้น หลังส่งอีกฝ่ายเข้าห้องอย่างระมัดระวังแล้วเขาก็ถอยออกมาพร้อมเริ่มบ่นอุบอยู่ในใจ
มารร้ายผู้นี้มีหรือจะยินยอมพร้อมใจมาที่นี่ ต้องเป็นเรื่องดีงามที่ไป๋ถานก่อไว้แน่!
ซือหม่าจิ้นอยู่ไม่สบายสักนิด…
เนื่องจากเฉินหนิงเลี้ยงนกไว้หลายตัวใส่กรงแขวนอยู่ในห้อง ไม่รู้เพราะมีคนแปลกหน้ามาอยู่แทนใช่หรือไม่ พวกมันถึงร้องจิ๊บๆ ไม่หยุดหย่อน
ซือหม่าจิ้นเดิมก็รังเกียจกลิ่นของพวกมันอยู่แล้ว พอถูกเสียงก่อกวนจนนอนไม่หลับเช่นนี้เขาจึงชักกระบี่ฟันใส่ทันที
ในที่สุดทั้งห้องก็เงียบสงบ เขาสอดกระบี่คืนฝักแล้วพลิกตัวนอนต่อ
วันรุ่งขึ้นยามที่ฉีเฟิงนำราชการทหารของผู้เป็นนายมาส่งที่อารามเป้าผู่ แสงอรุณเพิ่งจะเบิกฟ้า
ในโถงแสดงธรรมเห็นเพียงด้านหลังของศีรษะที่แลดูดำเป็นพืด นั่นคือเหล่านักพรตซึ่งกำลังทำวัตรเช้า ส่วนกู้เฉิงพิงประตูสัปหงก น้ำลายยืดย้อยแทบจะนองพื้นอยู่แล้ว
ฉีเฟิงถีบใส่เขาหนึ่งเท้า “ท่านอ๋องอยู่ข้างในหรือ”
กู้เฉิงพลันสะดุ้งตื่น เช็ดปากแล้วผงกศีรษะ
ได้ยินนักพรตทั้งคณะท่องบทสวดงึมงำ ฉีเฟิงเอ่ยถาม “พวกเขาพูดว่าอะไร”
กู้เฉิงขยี้ผมแห้งกรอบบนศีรษะของตน “ดูเหมือนจะเป็นวาจาไร้สาระทำนอง ‘รักถนอมสรรพชีวิตในใต้หล้า อย่าได้ก่อบาปเข่นฆ่าตามอำเภอใจ’ อะไรนี่แหละ”
“ชิชะ เจ้าพวกจมูกโค* เจ้าเดาซิว่าท่านอ๋องจะเล่นงานพวกมันถึงตายหรือไม่”
กู้เฉิงบุ้ยปากไปด้านใน “ข้าว่าท่านอ๋องตั้งใจฟังทีเดียว ดูเหมือนไม่มีความคิดจะเล่นงานใคร”
ฉีเฟิงชะโงกศีรษะเข้าไปมอง ซือหม่าจิ้นนั่งอยู่ด้านหลังสุด ศอกยันบนหัวเข่า มือหนุนแก้ม ดวงตาเบิกเป็นปกติทว่าขาดจุดรวมศูนย์ไร้ซึ่งชีวิตชีวา นั่งนิ่งไม่ไหวติงคล้ายรับฟังจนใจลอย
ฉีเฟิงหัวเราะพรืด “นั่นเรียกว่าท่านอ๋องตั้งใจฟังเสียเมื่อไร เจ้าดูอีกรอบให้ถี่ถ้วนเถอะ”
กู้เฉิงยื่นหน้าไปมองซ้ำถึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง
พอเหล่านักพรตท่องบทสวดจนจบบท เฉินหนิงจัดแต่งชุดนักพรตก่อนนั่งตรงตำแหน่งประธานที่ด้านบน มือประคองคัมภีร์แล้วเริ่มเทศนาธรรม
อันที่จริงทุกคนในที่นี้ใจคอล้วนไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ขอเพียงนึกได้ว่ามีมารร้ายที่ฆ่าคนไม่กะพริบตานั่งอยู่เบื้องหลังก็จะรู้สึกใจสั่นด้วยความกลัวทันที
เฉินหนิงพอจะสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน เขาลดคัมภีร์ในมือลงก่อนเอ่ย “หากหลิงตูอ๋องไม่ปรารถนาจะฟังต่อก็สามารถจากไปได้ทันที มิจำเป็นต้องนั่งอยู่ที่นี่ก็ได้ขอรับ”
ซือหม่าจิ้นไม่ได้ออกไป ยังคงนั่งตัวเอียงดุจเดิม ทว่าดวงตาซึ่งเบิกเป็นปกติกลับมองไปยังจุดเดียวแน่วนิ่ง เขาน่าจะขบคิดเรื่องในใจอันใดอยู่
ในที่สุดอารมณ์ขุ่นมัวในใจของเฉินหนิงก็บรรเทาเบาบางลงหลายส่วน เห็นทีมารร้ายผู้นี้ก็มิได้แล้งน้ำใจไร้เหตุผลเฉกเช่นที่ภายนอกโจษจันกัน บางทีอาจสามารถจุดประกายอีกฝ่ายให้รู้ซึ้งถึงหลักธรรมได้
เมื่อคิดเช่นนี้ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มพูนเป็นเท่าตัว เสียงเทศนาพลันดังกังวานขึ้นหลายส่วน
ภายในเรือนพักสกุลไป๋ เมื่อไป๋ถานสอนจนจบบทเรียนช่วงเช้าแล้วก็ถึงเวลาอาหารเที่ยง บ่าวรับใช้ของแต่ละตระกูลเพิ่งมาส่งสำรับอาหารที่ร้อนกรุ่น เหล่าศิษย์ล้วนไปกินอาหารกันแล้ว นางจึงตัดสินใจเจียดเวลามุ่งไปตรวจสอบคนที่อารามเป้าผู่
ยังดีที่นางจัดให้ซือหม่าจิ้นพำนักที่อาราม หากอยู่ที่นี่เกรงว่าเหล่าศิษย์ของนางไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจกินอาหารได้อีก คงผวาจนอิ่มทิพย์ไปแล้ว
เรือนพักหลังนี้แท้จริงเป็นสินเดิมของซีฮูหยิน ซีฮูหยินนับถือลัทธิเต๋า ตอนนั้นจึงให้สร้างทางเล็กสายหนึ่งเชื่อมตรงสู่อารามเป้าผู่โดยเฉพาะ บัดนี้ทางเล็กสายนี้จึงอำนวยความสะดวกแก่ไป๋ถานได้พอดี
ไม่ช้าไป๋ถานก็มาถึงหน้าประตูเล็กท้ายอารามเป้าผู่ นางเคาะประตูเรียกคนมาเปิดแล้วตรงไปยังโถงแสดงธรรม แลเห็นแต่ไกลว่าฉีเฟิงกับกู้เฉิงยืนเฝ้าซ้ายขวาอยู่หน้าประตูดุจเทพทวารบาลสององค์
นางเดินตรงไปก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวา “ท่านอ๋องของพวกเจ้าเล่า”
ฉีเฟิงเชิดคางนิดๆ “ก็กำลังฟังเทศน์อยู่อย่างไรเล่า นักพรตแซ่เฉินนั่นบอกว่าท่านอ๋องของพวกเรามีปัญญารู้ธรรม นี่ก็เทศน์ให้ท่านอ๋องฟังตลอดเช้าเลย”
ไป๋ถานเดินเข้าไปในโถงอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นักพรตรูปอื่นๆ ล้วนไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงเฉินหนิงซึ่งนั่งตรงที่นั่งด้านบน มือประคองคัมภีร์อธิบายไม่หยุดปาก ด้านล่างมีซือหม่าจิ้นเพียงคนเดียว เขานั่งตัวเอียงมือหนุนแก้มไม่ไหวติง ดูคล้ายตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง
ไป๋ถานหมุนพัดขนนกในมือพลางเดินวนตัวเขาสองรอบ มองอย่างไรก็ดูแปลกชอบกล
ให้ความร่วมมือถึงเพียงนี้จริงหรือ
เฉินหนิงช้อนตาขึ้นเห็นไป๋ถานจึงปิดคัมภีร์ในมือ ก่อนลุกขึ้นจิกข้อนิ้วพร้อมเอ่ยคำ ‘ซานอู๋เลี่ยง’* ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “เจ้าวิตกมากไปโดยแท้ ไยต้องเชิญท่านอ๋องมากล่อมเกลาจิตใจถึงในอารามด้วย อาตมาเห็นว่าท่านอ๋องมิได้ดุร้ายดังเช่นคำลือภายนอกสักนิด จะลงเขาไปเดี๋ยวนี้เลยก็ยังได้”
พูดให้ชัดคือไม่อยากให้เขารั้งอยู่ที่นี่กระมัง
เอ่ยจบประโยคนี้เฉินหนิงจึงหันไปมองซือหม่าจิ้น นึกว่าเขาจะมีปฏิกิริยาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่คาดว่าอีกฝ่ายกลับยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับเขยื้อน
ไป๋ถานพบว่านี่ไม่ถูกต้อง นางจึงประชิดเข้าไปใกล้ นางมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพลันหรี่ตา ก่อนจะตีพัดลงบนหัวไหล่ของเขา
ซือหม่าจิ้นเคลื่อนไหวในฉับพลัน มือซ้ายบีบเค้นหัวไหล่ของไป๋ถาน มือขวายึดกุมลำคอของนางไว้
ไป๋ถานถูกกำราบราบคาบ กระดุกกระดิกไม่ได้แม้เพียงน้อยนิด ไม่อาจเปล่งเสียงใดเล็ดลอดออกจากปาก ดวงหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เฉินหนิงสะดุ้งเฮือก ร้องตะโกนแตกตื่น “ท่านอ๋องหยุดมือ!”
ซือหม่าจิ้นคลายมือออกก่อนหน้านั้นแล้ว “ที่แท้เป็นอาจารย์ ข้าก็นึกว่าใครกันไม่กลัวตายกล้ารบกวนฝันดีของข้า”
ไป๋ถานซวนเซไปหลายก้าว ลูบลำคอไอโขลกอยู่นานสองนานกว่าอาการจะทุเลา นางใช้พัดชี้ใส่เขาอย่างโมโห “อาจารย์ดูเบาท่านอ๋องไปแล้วจริงๆ ยังอุตส่าห์ลืมตานอนหลับได้ นับเป็นคนแรกที่ข้าเคยพบโดยแท้!”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงที่อยู่นอกประตูสบตากันลอบหัวเราะอยู่ในใจ
เท่านี้นับเป็นอย่างไรได้ ท่านอ๋องของพวกเขายังสามารถนอนหลับอยู่หน้าแนวรบด้วยซ้ำ!
ตอนนั้นซือหม่าจิ้นยกพลสู้ศึกทัพฉิน** ที่เมืองอี้หยาง ขณะที่ทัพศัตรูตะโกนด่าทออยู่หน้าแนวรบ คนทั้งหมดล้วนใกล้จะข่มอารมณ์ไม่ไหว ทว่าเขากลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่น้อย
บรรดารองแม่ทัพต่างกระซิบกระซาบกันว่าท่านอ๋องของพวกเขาช่างหนักแน่นเยือกเย็นยิ่งนัก ไม่คาดกลับเห็นเขาพลันขยับร่างแล้วเอ่ยด้วยเสียงที่แหบพร่า “พวกมันด่าจบหรือยัง นี่ข้าหลับจนตื่นแล้วนะ”
คนทั้งหมดปากอ้าตาค้าง ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย
หลังเสร็จศึกมานึกๆ ดูก็ให้รู้สึกหวั่นใจภายหลัง นี่ถ้าหากเปิดฉากรบกันแล้วไม่แย่หรือ!
เฉินหนิงซึ่งอยู่ในโถงเซถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่อยากเชื่อ มือกุมอกอย่างเจ็บปวดหัวใจ “ที่แท้ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องนอนหลับมาตลอดเลยหรือ”
ซือหม่าจิ้นบิดต้นคอพลางยืดเส้นยืดสาย “เดรัจฉานหลายตัวในห้องเจ้าหนวกหูเกินทน เดิมทีข้าก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่”
เฉินหนิงตะลึงงันไปชั่วอึดใจก่อนจะยกชายชุดวิ่งไปที่ห้องของตน
ซือหม่าจิ้นลุกขึ้นยืดสองแขนแล้วมองดูไป๋ถาน “เมื่อครู่ข้าพลั้งมือ หวังว่าอาจารย์อย่าได้ถือสา”
ไป๋ถานนวดลำคอตนเองพลางโกรธฮึดฮัด “อาจารย์สอนหนังสือมานานปี วันนี้เพิ่งจะรู้ว่าคนเป็นอาจารย์ก็มีความเป็นไปได้ที่จะสังเวยชีวิตเพราะศิษย์!”
“ใครต้องสังเวยชีวิตหรือ” ซีชิงเดินเข้ามาจากนอกประตู เมื่อเห็นคนทั้งสองล้วนอยู่ที่นี่แล้วจึงมีสีหน้าประหลาดใจ “โอ๊ะ ท่านอ๋องก็อยู่ด้วยหรือขอรับ ข้าก็ว่าเหตุใดฉีเฟิงกับกู้เฉิงถึงอยู่ข้างนอก” เขากล่าวพลางโค้งคำนับ
ไป๋ถานมองพิจารณาอีกฝ่ายขึ้นลง พอเห็นในมือเขาถือห่อกระดาษมาด้วยหลายห่อก็แค่นเสียงฮึก่อนกล่าว “มาขายยาปลอมอีกแล้วสินะ”
ซีชิงเหลียวซ้ายแลขวาอย่างตื่นเต้นเคร่งเครียด “เอาความจริงมาพูดส่งเดชได้อย่างไร เจ้าทำเช่นนี้ข้ายังจะขายยาออกอีกหรือ!”
ในอารามเต๋าต้องกลั่นยาอายุวัฒนะอยู่บ่อยครั้ง ตัวยาจำนวนมากล้วนซื้อหาจากซีชิง แต่เขากลับสับเปลี่ยนส่วนผสมอยู่เสมอ
ทว่ากล่าวด้วยคำพูดของเขาคือหวังดีต่อเหล่านักพรต หากใช้สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องจริง คาดว่าคงมีคนกินตายไปนานแล้ว ฉะนั้นที่เขาขายยาปลอมจึงเป็นการสร้างประโยชน์สุขแก่อารามเต๋า
ซีชิงถลึงตาใส่ไป๋ถานเสร็จก็รีบชี้แจงต่อซือหม่าจิ้น “ท่านอ๋องวางใจได้ ยาที่ข้าให้ท่านอ๋องกินล้วนเป็นของจริงอย่างแน่นอน”
ไป๋ถานเลิกคิ้วมองไปทางซือหม่าจิ้น “ท่านอ๋องยังกินยาอยู่อีกหรือ”
ซีชิงเอ่ยแก้ทันควัน “เปล่าๆ ท่านอ๋องไม่เคยกินยาเลย” เขาพูดจบก็คำนับซือหม่าจิ้นแล้วรีบร้อนขอตัวไปทำการค้าที่เรือนด้านหลังทันที
ไป๋ถานเห็นเขาไปแล้ว ในที่สุดนางก็สามารถวางมาดผู้อาวุโสที่พร่ำเตือนด้วยความหวังดีได้เสียที “เชียนหลิงเอ๋ย อาจารย์หวังดีต่อเจ้าหรอกนะ เกียรติของพวกเราศิษย์อาจารย์บัดนี้ผูกโยงร่วมกันแล้ว เจ้าจะให้ความร่วมมือกับอาจารย์สักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ “หากข้าไม่ให้ความร่วมมือกับอาจารย์ ไยจะต้องมาอยู่ที่นี่”
ไป๋ถานถอนหายใจ เดินกลับไปกลับมาสองรอบก่อนเอ่ยอย่างดุดัน “คืนนี้คัดลอกบทสวดสิบจบ พรุ่งนี้เช้าอาจารย์จะต้องได้เห็น!”
ทันใดนั้นเสียงคำรามด้วยโทสะของเฉินหนิงพลันแผดดังมาแต่ไกล “ไป๋ถาน! เป็นเพราะเรื่องดีงามที่เจ้าก่อไว้ทั้งสิ้น!”
นางชะงักกึก จับต้นชนปลายไม่ถูก
ยังคงเป็นซือหม่าจิ้นที่ตอบสนองอย่างว่องไว “คาดว่าเขาคงเห็นนกที่ถูกข้าฟันตายเหล่านั้นแล้ว”
กระทั่งนกไม่กี่ตัวเจ้าก็ยังไม่ละเว้น!
สติของไป๋ถานกำลังจะพังทลายแล้ว เฉินหนิงรักนกเป็นชีวิตจิตใจ อีกฝ่ายต้องกำลังโทษนางที่ส่งมารร้ายผู้นี้มาแน่ นางไม่กล้ารั้งอยู่ต่อแล้วจึงรีบก้าวยาวๆ จากไปโดยไม่รอช้า แต่พอมาถึงข้างประตูก็ยังหันขวับไปทิ้งท้ายหนึ่งประโยค “ห้ามฆ่าฟันอีกเด็ดขาด!” จบคำนางก็เผ่นแน่บไม่เหลือเงาดุจดังควันสายหนึ่ง
เฉินหนิงพุ่งเข้าประตูมาติดๆ เขารวบชายของชุดนักพรตขึ้นมารองร่างนกที่ตายอนาถแล้วหอบไว้แนบช่วงท้อง สายตาสอดส่ายซ้ายขวาอย่างไรก็ไม่พบเห็นไป๋ถาน ทว่าเขาก็ไม่กล้าระบายโทสะใส่ซือหม่าจิ้น จึงได้แต่กระทืบเท้าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น “นกของอาตมา! นกของอาตมา!”
ซีชิงออกมาพอดี พอได้ยินคำพูดของเขาก็เลื่อนสายตาผ่านสองมือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อ กวาดมองลงไปแวบหนึ่งแล้วกระแอมให้โล่งคอ “ท่านนักพรต หากไม่ถือสา ข้าน้อยสามารถตรวจอาการให้ท่านโดยละเอียดได้ รับรองว่าได้ยาแล้วจะหายเป็นปลิดทิ้ง”
เฉินหนิงสีหน้าแข็งค้าง สะบัดศีรษะวิ่งออกจากประตูไปทั้งน้ำตา รังแกกันเกินไปแล้วกระมัง!
นี่เป็นความจงใจของซีชิง เขายิ้มตาหยีก้าวเนิบนาบมาถึงเบื้องหน้าซือหม่าจิ้น “ท่านอ๋อง ท่านน่าจะเข้าใจกระมังว่าเหตุใดข้าถึงสิ้นเปลืองความคิดชักใยดึงไป๋ถานมาอยู่ตรงหน้าของท่าน”
ซือหม่าจิ้นปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “หากไม่เข้าใจ เจ้าจะยังสามารถยืนอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยโดยไม่สึกหรอได้หรือ”
ซีชิงลูบจมูกอย่างวางหน้าไม่สนิท “เช่นนั้นยามที่ควรยอมนาง ท่านก็ยอมนางสักหน่อยเถอะขอรับ”