ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด
บทที่สี่
หลังจากไป๋ถานกลับมาก็ไม่ได้ไปเยือนอารามเป้าผู่อีก
เฉินหนิงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญพรต ทว่าความเจ้าอารมณ์กลับไม่ด้อยไปกว่าปุถุชน ยามนี้เมื่อเขาถูกซือหม่าจิ้นเล่นงานจนสุดทนแล้ว ย่อมจะพานโกรธนางด้วย
ทว่าหากไม่ไปนางก็ไม่อาจตรวจสอบควบคุมซือหม่าจิ้นได้ ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก
อากาศกำลังหนาวเย็นขึ้นทุกที ยามสอนไป๋ถานจึงต้องปิดหน้าต่างและม่านประตูให้มิดชิด
ขณะที่ไป๋ถานนั่งว้าวุ่นใจอยู่ตรงที่นั่งด้านบน เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแต่ละคนก็มีความในใจเช่นกัน แม้เบื้องหน้าของพวกเขาจะกางตำราอยู่ ทว่ากลับมีเพียงไม่กี่คนที่อ่านรู้เรื่อง
“ตำราที่เมื่อครู่บอกให้พวกเจ้าอ่านได้อ่านกันหรือยัง” ไป๋ถานเอ่ยพร้อมสีหน้าอันเคร่งขรึม “ได้ข้อคิดอันใดบ้าง ตอนนี้อาจารย์อยากฟังสักหน่อย”
ด้านล่างไม่มีใครขานตอบ นางจึงสุ่มเลือกศิษย์คนหนึ่งขึ้นมา “หลิวทง เจ้าลองว่ามา”
หลิวทงผู้ถูกเรียกชื่อ ในยามปกติมักเป็นหนุ่มน้อยที่หัวไวและกระตือรือร้นมากคนหนึ่ง แต่วันนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นอีกฝ่ายกลับอ้าปากอึกอัก สุดท้ายถึงได้เอ่ยกับไป๋ถานด้วยใบหน้าที่แดงซ่านว่า “อาจารย์ขอรับ พรุ่งนี้…พรุ่งนี้ศิษย์จะไม่มาแล้ว”
“เป็นอะไร เจ้ามีธุระหรือ”
“เปล่าขอรับ…คือต่อไปนี้ศิษย์จะไม่มาอีกแล้ว”
ไป๋ถานมุ่นคิ้วถาม “เพราะเหตุใด”
หลิวทงตอบ “ท่านพ่อบอกว่าศิษย์โตขึ้นมากแล้ว ชายหญิงมีข้อแตกต่าง ไม่เหมาะที่จะศึกษากับอาจารย์อีก”
วาจานี้เห็นชัดว่าเป็นเพียงข้ออ้าง หากกริ่งเกรงในเรื่องนี้ก็คงไม่ส่งเขามาที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว ไป๋ถานกระจ่างแจ้งแก่ใจ นี่ต้องเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกเขาอยากผูกมิตรกับตนแต่ถูกปฏิเสธเป็นแน่ ยามนี้จึงตัดสินใจที่จะขีดเส้นความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเสียเลย
นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ทว่ายังไม่ทันรอให้นางเอ่ยปากศิษย์อีกสองคนก็ยืนขึ้นตามมาติดๆ “อา…อาจารย์ ต่อไปพวกเราก็จะไม่มาแล้วเช่นกัน…”
ประเสริฐแท้ ยังไม่ทันดึงมารร้ายคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้อง นางก็ต้องกินลมต่างข้าวก่อนแล้ว
ไป๋ถานจับหน้าหนังสือพลางถอนหายใจ “ข้ากับพวกเจ้าสามารถเป็นศิษย์อาจารย์กันก็นับเป็นวาสนาแล้ว อย่างไรพวกเจ้าล้วนเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน สมควรตัดสินใจได้ด้วยตนเอง จะอยู่หรือไปอาจารย์จะไม่บังคับเป็นอันขาด”
เดิมทีเรื่องราวในโลกล้วนเรียบง่ายเช่นนี้เอง สิ่งที่ตนเลือก เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นมาสนับสนุน ในเมื่อนางเลือกจะยืนเคียงข้างมารร้าย ย่อมไม่อาจบังคับใจผู้อื่นให้รั้งอยู่ไม่ทอดทิ้งไปได้
ชั้นเรียนซึ่งเดิมทีดำเนินอยู่ดีๆ ถูกเรื่องนี้ทำให้บรรยากาศประดักประเดิด ภายในห้องเงียบกริบไร้สรรพเสียง ศิษย์สามคนที่ยืนอยู่พลันหันขวับไปมองโจวจื่อแล้วหลิ่วตาบุ้ยใบ้กับเขา
โจวจื่อยังคงนั่งเฉย นิ้วมือเขี่ยกันไปมา เขามองไปทางไป๋ถานหลายหนหมายจะเอ่ยปาก ทว่าสุดท้ายก็ชะงักไป
อันที่จริงน้าชายผู้เป็นข้าหลวงส่วนพระองค์ก็บอกเช่นกันว่าให้เขาลาออก อีกทั้งยังใช้ถ้อยคำรุนแรงอย่างยิ่ง เช้านี้ตอนจะขึ้นเขา เขากับสหายร่วมชั้นสามคนนี้ได้พูดคุยกันไว้แล้ว ยามนี้เมื่อพวกเขาเอ่ยปากกันหมดก็ย่อมจะเร่งเร้าให้เขารีบแสดงท่าทีขึ้นมาเช่นกัน
ไป๋ถานแลเห็นสีหน้าท่าทางของโจวจื่อ หัวใจก็เย็นชืดไปครึ่งดวงอย่างช่วยไม่ได้ ทว่ายังคงประดับยิ้มไว้บนใบหน้า “โจวจื่อ มีสิ่งใดอยากพูดก็พูดออกมาพร้อมกันเถิด”
โจวจื่อลุกขึ้นมือขยุ้มแขนเสื้อไว้ก่อนจะเงยหน้ากล่าว “อาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์จะไม่ไปที่ใดทั้งสิ้น จะตั้งใจรับคำสั่งสอนของอาจารย์อยู่ที่นี่”
ศิษย์สามคนที่อยู่ด้านข้างต่างมีสีหน้าตกตะลึง พอมองไปทางไป๋ถานอีกครั้งก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าละอายใจอยู่บ้าง
ในใจไป๋ถานพลันอุ่นวาบ ขณะนางจะเอ่ยวาจา ม่านประตูกลับถูกแหวกเปิดในคราวเดียว ฉีเฟิงชะโงกศีรษะเข้ามามองแล้วหดกลับไป ชั่วอึดใจนั้นซือหม่าจิ้นก็เลิกผ้าม่านพลางก้มศีรษะเข้ามา
“อาจารย์กับศิษย์น้องทั้งหลายล้วนอยู่กันพร้อมหน้า ในที่สุดข้าก็ได้พบหน้าทุกคนเสียที” วันนี้เขาสวมชุดชาวหู* ปกตั้งแขนสอบ เกล้ามวยผมครอบเกี้ยวทอง หน้าอกกับช่วงเอวเข้ารูปรัดกระชับ เปรียบกับชุดหลวมยาวแขนกว้างที่เคยสวมใส่ย่อมแลดูน่าเกรงขามกว่ามากโข
ศิษย์ในห้องที่เคยพบเขาแล้วย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ศิษย์ที่ไม่เคยพบฟังจากคำพูดของเขาก็คาดเดาฐานะออกแล้ว ไหนเลยจะกล้าส่งเสียง ทุกคนล้วนมองเขาอย่างระมัดระวัง ชวนเอ็นดูยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
“เมื่อครู่ดูเหมือนข้าได้ยินใครบอกว่าต่อไปจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว อะไรกัน ดูแคลนที่จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกับข้าเช่นนั้นหรือ” ซือหม่าจิ้นกวาดสายตาไปยังคนทั้งหมดในที่นี้พลางจับมีดสั้นฝักทองคำซึ่งห้อยอยู่ที่ข้างเอวอย่างเบามือ
ศิษย์สามคนที่ยืนอยู่ล้วนขวัญหนีจนหน้าไร้สีเลือด ต่างสั่นศีรษะเป็นพัลวัน พูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
“ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเห็นทีว่าข้าจะเข้าใจผิดไปเอง” ซือหม่าจิ้นยกมุมปากขึ้นนิดๆ เขารูปงามปานเทพเซียน ทว่ารอยยิ้มดุจมัจจุราช
ไป๋ถานไม่อาจทนมองต่อไปจึงกระแอมเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ในเมื่อได้พบศิษย์ร่วมสำนักแล้ว ท่านอ๋องก็ตามอาจารย์ไปสนทนาที่ห้องหนังสือเถิด”
ซือหม่าจิ้นกวาดตามองบรรดาศิษย์น้องของเขาอีกแวบหนึ่ง ทว่าพอกวาดตามาถึงโจวจื่อแล้วเขากลับหยุดมองซ้ำสองหนจึงค่อยตามไป๋ถานออกจากประตูไป
“ท่านอ๋องมาที่นี่ด้วยเหตุใด” เท้าเพิ่งก้าวเข้าประตูห้องหนังสือ ไป๋ถานก็เอ่ยปากถามแล้ว
ซือหม่าจิ้นรับกระดาษปึกหนึ่งจากมือฉีเฟิงก่อนเดินตรงมา “อาจารย์สั่งให้ข้าคัดลอกบทสวดสิบจบไม่ใช่หรือ”
ไป๋ถานพลันระลึกได้ว่ามีเรื่องเช่นนี้จริง อีกทั้งนางยังบอกด้วยว่าจะขอดูในเช้าวันรุ่งขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะมัวแต่พะวงเรื่องเฉินหนิงจนลืมเรื่องนี้ไปเสียได้
ซือหม่าจิ้นตระหนักได้เองเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก ไป๋ถานสุ่มพลิกกระดาษปึกนั้นด้วยความปลาบปลื้มยิ่ง แต่แล้วรอยยิ้มที่มุมปากของนางกลับค่อยๆ เลือนหายไป
ลายมือบนกระดาษทุกแผ่นล้วนแตกต่างกัน นี่เขาคิดว่านางตาบอดหรืออย่างไร!
“ท่านอ๋องคงไม่ได้เรียกนักพรตสิบรูปมาคัดลอกให้คนละหนึ่งชุดหรอกกระมัง”
ซือหม่าจิ้นรับมาดูแวบหนึ่ง “อาจารย์เพียงบอกให้ข้าคัดลอกสิบจบ ไม่เคยบอกสักนิดว่าห้ามผู้อื่นเขียนแทน นึกไม่ถึงว่าคนเหล่านั้นจะไม่ได้ความปานนี้ กระทั่งลายมือยังไม่รู้จักตรวจเทียบ”
อย่าบอกเชียวว่าไม่เพียงให้ผู้อื่นคัดลอกแทน กระทั่งตนเองยังไม่เคยแม้แต่จะชายตาเหลือบแลสักครั้งก่อนนำมาส่งนาง!
ไป๋ถานกุมหน้าผาก รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า “ดูท่าท่านอ๋องกลับไปยังจะสั่งสอนนักพรตเหล่านั้นด้วยกระมัง อาจารย์เคยบอกแล้วว่าห้ามท่านอ๋องฆ่าฟันอีก”
ซือหม่าจิ้นวางกระดาษปึกนั้นลงบนโต๊ะก่อนหันหน้าเดินออกจากประตู “เช่นนั้นก็ไม่ฆ่า ข้าเองก็ไม่ชอบให้คนตายเร็วเกินไป”
ไป๋ถานรีบเอ่ยทันควัน “ช่างเถิดๆ ท่านยังไม่ต้องกลับอารามเป้าผู่ อยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน”
ซือหม่าจิ้นชะงักฝีเท้า
ไป๋ถานไม่อยากให้นักพรตในอารามเป้าผู่ต้องประสบเคราะห์กรรมไปจริงๆ ถึงตอนนั้นเฉินหนิงคงไม่แคล้วมาแลกชีวิตกับนางแน่ ไป๋ถานเดินกลับไปที่ข้างโต๊ะหยิบหมึกพู่กันจัดวางเรียบร้อยก่อนกล่าว “ท่านอ๋องจงคัดลอกบทสวดอยู่ที่นี่ให้ครบสิบจบ หาไม่ก็ห้ามจากไป”
สีหน้าของซือหม่าจิ้นคล้ายหงุดหงิดอยู่บ้าง
ไป๋ถานเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขัง “ท่านอ๋องเป็นผู้เดินทางมากราบอาจารย์ด้วยตนเอง วาจาของอาจารย์ ท่านอ๋องฟังไม่เข้าหูแม้สักครึ่งคำใช่หรือไม่”
ถ้อยคำนี้กล่าวได้เฉียบขาด เป็นลักษณะของอาจารย์ผู้เข้มงวดโดยแท้ ซือหม่าจิ้นพลันยกยิ้มซึ่งบอกไม่ถูกว่าแฝงความหมายใด ทว่ายังคงเดินไปนั่งที่หลังโต๊ะ
ไป๋ถานมองเขาอยู่ด้านข้างพักใหญ่ จนแน่ใจว่าเขายกพู่กันถึงวางใจเดินออกจากประตูกลับไปยังห้องปีกตะวันตกอีกครั้ง
ไม่ช้าอู๋โก้วซึ่งกำลังจะออกไปข้างนอกก็พบว่าซือหม่าจิ้นมาที่นี่ เพราะเขาออกจากประตูห้องหนังสือเพื่อมาเรียกนางโดยเฉพาะ
เขาถาม “ปกติอาจารย์สอนเสร็จเมื่อไร”
ขณะนั้นอู๋โก้วพลันรู้สึกเลื่อมใสอาจารย์ของตนสุดประมาณ เพราะนางพบว่ามีเพียงไป๋ถานเท่านั้นที่สามารถพูดจาฉะฉานเบื้องหน้าท่านอ๋องผู้นี้ได้
“ปก…ปกติคือยามเซิน* เจ้าค่ะ”
ซือหม่าจิ้นคำนวณเวลาแล้วเรียกกู้เฉิงมาเฝ้าตรงนี้ ส่วนตนเองพาฉีเฟิงกลับอารามเป้าผู่
เขามิใช่จะกลับไปคิดบัญชีกับเหล่านักพรต แม้ว่าอยากจะทำเช่นนั้นมากก็ตามที อย่างไรเสียในมือของเขาก็ยังมีราชการทหารสั่งสมอยู่เป็นกองพะเนิน ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างไปเล่นสนุกกับมดปลวกเหล่านั้นชั่วคราว
กู้เฉิงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเอาเท้าเขี่ยพื้นอย่างเบื่อหน่ายพลางคิดอยู่ในใจ …ท่านอ๋องต้องกลับมานะขอรับ ไม่เช่นนั้นข้าคนเดียวจะรับมือกับพระโพธิสัตว์ไป๋ได้อย่างไร
‘พระโพธิสัตว์ไป๋’ คือสมญานามที่เขากับฉีเฟิงแอบตั้งให้ไป๋ถาน เรียกคุณหนูสกุลไป๋หรืออาจารย์ไป๋ล้วนไม่เหมาะสมเท่าพระโพธิสัตว์ไป๋ เพราะนางจ้องแต่จะกำราบมารร้ายเช่นท่านอ๋องของพวกเขาอยู่เสมอ
เอ๊ะ เมื่อครู่ในใจใช่พูดคำว่ามารร้ายไปหรือไม่
กู้เฉิงพลันสลัดศีรษะ เปล่านะเปล่า! ไม่เคยพูด ข้าซื่อสัตย์ภักดีต่อท่านอ๋อง ไม่เคยด่าทอนายในใจสักนิด!
เมื่อเลิกชั้นเรียนในยามเซินแล้ว เหล่าศิษย์ของนางต่างเก็บของเพื่อเตรียมตัวลงจากเขา
ศิษย์สามคนซึ่งก่อนหน้านี้ขอลาออกล้วนมารุมล้อมที่ข้างกายไป๋ถาน พวกเขาล้วนเอ่ยคำสำนึกผิดซ้ำไปมาพลางบอกว่าขอยกเลิกการตัดสินใจเดิม
ไป๋ถานไม่คิดอยากบังคับใจใคร นางใช้ถ้อยคำที่อ่อนโยนปลอบประโลมพวกเขาว่าไม่ต้องใส่ใจซือหม่าจิ้น ทว่าพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะอยู่ต่อ ทุกคนแทบจะคุกเข่าขอร้องนางให้รับพวกเขาไว้ด้วยซ้ำ
เอาเถิด เห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่ใส่ใจ
กว่าจะกล่อมให้พวกเขาสบายใจได้มิใช่ง่ายๆ รอจนคนทั้งหมดจากไปแล้วไป๋ถานจึงค่อยนึกถึงซือหม่าจิ้น นางลุกขึ้นจัดเครื่องแต่งกาย ก่อนจะเดินมุ่งไปยังห้องหนังสือทันที
เมื่อแลเห็นแต่ไกลว่าหน้าประตูมีกู้เฉิงยืนอยู่เพียงผู้เดียว นางก็รู้สึกตงิดใจชอบกล รีบเร่งสาวเท้าตรงไป เมื่อผลักเปิดประตูในคราวเดียวแล้วกลับเป็นนางที่ชะงักกึก
ซือหม่าจิ้นนั่งเรียบร้อยอยู่ในห้อง มือยังคงจับพู่กันคัดบทสวดตามต้นฉบับที่เหล่านักพรตช่วยเขาคัดลอกก่อนหน้านี้ ปากเอ่ยโดยไม่เงยศีรษะขึ้น “ดูเหมือนอาจารย์จะรีบร้อนอยู่บ้าง”
ไป๋ถานกระแอมแก้เก้อ แววตาของนางพลันสว่างวาบเมื่อเดินไปดูที่ข้างกายเขา
อักษรของซือหม่าจิ้นนั้นปลายพู่กันเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง ทิศทางเฉียบคม แม้ลักษณะจะดูคุกคามผู้อื่นอยู่บ้างแต่ก็ไม่กระทบต่อเอกลักษณ์อันโดดเด่น ทั้งยังเผยบุคลิกเฉพาะของผู้มีชาติตระกูลอันสูงส่ง อักษรเช่นนี้ย่อมเคยได้รับการชี้แนะด้วยความทุ่มเท คาดว่านอกจากการสอนไม่กี่วันในกาลก่อนของเด็กเมื่อวานซืนเช่นนางแล้ว หลังกลับเมืองหลวงเขาย่อมต้องได้รับการปลูกฝังอย่างดีเยี่ยมเป็นแน่
หยางสยง* แห่งราชวงศ์ฮั่นเคยกล่าวไว้ว่าอักษรคือภาพวาดซึ่งสะท้อนจิตใจ อักษรเช่นเดียวกับตัวบุคคล ซือหม่าจิ้นสามารถเขียนอักษรที่แข็งแกร่งและเที่ยงตรงเช่นนี้ได้ ไฉนเมื่อตัวคนเติบใหญ่ขึ้นจึงเฉออกนอกลู่นอกทางไปได้เช่นนี้เล่า
“เหตุใดตลอดบ่ายท่านอ๋องจึงเขียนได้เพียงไม่กี่แผ่น” ไป๋ถานจับจ้องเขาอย่างเคลือบแคลง “สิบจบเท่านั้น น่าจะคัดลอกเสร็จนานแล้ว”
ปลายพู่กันของซือหม่าจิ้นมิได้หยุดชะงัก “หากอาจารย์รู้สึกว่าชักช้าเสียเวลาเกินควรก็สามารถสั่งยุติเร็วขึ้นได้”
ไม่มีทางเสียล่ะ… แรกสุดตอนที่ไป๋ถานเริ่มสอนหนังสือ ในมือมีบุตรหลานตระกูลขุนนางที่เกกมะเหรกเข้ามาเป็นศิษย์อยู่จำนวนไม่น้อย พวกเขาล้วนมิใช่ถูกนางขัดเกลาอุปนิสัยจนสิ้นเหลี่ยมคมหรอกหรือ นางไม่มีทางอ่อนข้อผ่อนปรนในสิ่งที่ตนเคยลั่นวาจาไว้อย่างแน่นอน
ไป๋ถานนั่งลงฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเล็ก “ท่านอ๋องมิต้องร้อนใจไป กินอาหารค่ำแล้วก็ยังคัดลอกต่อได้ คัดเสร็จเมื่อไรค่อยกลับอารามเป้าผู่เมื่อนั้น” นางคำนวณเวลาเสียดิบดี ในอารามเริ่มย่ำระฆังทำวัตรเย็นแล้ว อีกไม่ช้าเหล่านักพรตก็จะไปพักผ่อนกันหมด ซือหม่าจิ้นกลับไปถึงอารามตอนนั้นคงไม่ถึงขั้นว่างพอไปคิดบัญชีพวกเขาเพื่อแก้เบื่อกระมัง
ผ่านไปราวเกือบครึ่งชั่วยาม** ฉีเฟิงก็มาผลัดแทนกู้เฉิง แจ้งว่าตนเพิ่งกินอาหารเสร็จมาจากอารามเป้าผู่ ไป๋ถานจึงรู้ว่าได้เวลาอาหารแล้ว
อู๋โก้วยกน้ำร้อนมาให้ทั้งสองล้างมือ ซือหม่าจิ้นวางพู่กันลงชั่วคราว แต่กระนั้นเขาก็เพิ่งจะคัดลอกไปได้เพียงสามจบเท่านั้น
สำรับอาหารที่ถูกยกเข้ามา แน่นอนว่ามีสองชุด ไป๋ถานจุปากอุทานคำหนึ่งด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดียิ่ง “ค่ำนี้ถึงกับมีทั้งเนื้อทั้งปลาครบถ้วน”
อู๋โก้วเก็บกล่องใส่อาหารอย่างจนใจ นั่นเป็นเพราะมีแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้อยู่น่ะสิเจ้าคะ
ซือหม่าจิ้นปรายตามองไป๋ถานแวบหนึ่งเมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาพลันนึกถึงสีหน้าท่าทางของนางวันก่อนเมื่อยามที่กินอาหารอยู่ในจวนของเขา คุณหนูตระกูลขุนนางมีความเป็นอยู่เช่นนี้ช่างอัศจรรย์โดยแท้ แค่อาหารมื้อเดียวก็หน้าชื่นตาบานแล้ว
หลังทั้งสองกินอาหารเสร็จเงียบๆ ก็ต่างบ้วนปากล้างมือ ไป๋ถานรีบเรียกให้ซือหม่าจิ้นคัดลอกบทสวดต่อทันที
“หากข้าคัดลอกไม่เสร็จ ใจคออาจารย์จะให้ข้านั่งอยู่ในห้องหนังสือที่หนาวเย็นนี้ทั้งคืนหรือ”
ไป๋ถานถือตำราเล่มหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เกลื่อนใบหน้า “วางใจได้ อาจารย์จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจนถึงที่สุด”
ซือหม่าจิ้นเม้มปากแน่น สุดท้ายยังคงจับพู่กันขึ้นมา
อู๋โก้วย่อมจะไม่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนอาจารย์ ฉีเฟิงก็ไม่ยินดีจะเห็นหน้าไป๋ถาน เขายอมตากลมหนาวอยู่ด้านนอกยังดีเสียกว่าเข้ามายืนในห้อง ด้านในจึงมีเพียงพวกเขาสองคน แสงไฟจากตะเกียงดวงเดียวดุจดังเมล็ดถั่ว นอกจากเสียงพลิกหน้ากระดาษแล้วก็คือเสียงอันแผ่วเบาของพู่กันที่จรดลงบนกระดาษ
ไป๋ถานอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว จู่ๆ ในตะเกียงพลันเกิดประกายไฟขึ้นวูบหนึ่งดึงความสนใจให้นางหันไปมอง แม้สายตาของซือหม่าจิ้นจะจับนิ่งอยู่บนกระดาษตรงเบื้องหน้า ทว่าพู่กันในมือกลับไม่ขยับเขยื้อน
นางวางตำราแล้วค่อยๆ กระเถิบเข้าไปใกล้พลางมองสำรวจใบหน้าของเขาทั้งซ้ายขวาอย่างถี่ถ้วน
คนผู้นี้คงมิได้ลืมตานอนหลับอยู่อีกกระมัง
นางถือพัดขนนกหมายตีลงไป พอเงื้อมือขึ้นกลับฉุกคิดได้ว่าวันนั้นถูกเขาบีบคอแทบตาย นางยกมือลูบลำคอไปตามจิตใต้สำนึกก่อนหันไปมองเขาอีกครั้งอย่างลังเล ไม่คาดว่าซือหม่าจิ้นกลับจับจ้องนางอยู่ ทำเอานางตกใจสะดุ้งจนตัวโยน
“ที่แท้ท่านอ๋องมิได้นอนหลับหรือ”
“ข้าแค่กำลังมองดูว่าเนื้อความท่อนนี้ใช่คัดซ้ำหรือไม่” ซือหม่าจิ้นจรดสายตาอยู่ที่มือของนางซึ่งกำลังลูบลำคออยู่ ชั่วขณะประกายในดวงตาของเขาพลันสั่นไหวนิดๆ “ที่แท้วันนั้นข้าลงมือหนักถึงเพียงนี้”
บนลำคอของไป๋ถานมีรอยฟกช้ำเด่นชัด หากมิใช่อยู่ใกล้ก็จะถูกคอเสื้อบดบังไว้จนแทบมองไม่เห็น
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ไป๋ถานก็มีโทสะ นางเป็นคนกลัวเจ็บมากกว่าผู้อื่นมาแต่กำเนิด ทีแรกตอนที่ฉีเฟิงมาลักพาตัวนางแล้วใช้สันมือตีใส่ต้นคอนั้นนางเจ็บจนคอแทบหักมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงจดบัญชีแค้นมาตลอด ต่อมายังถูกซือหม่าจิ้นทำร้ายซ้ำสองอีก แค่คิดก็เกินพอแล้ว!
ซือหม่าจิ้นพลันยื่นมือมา ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือกดบนลำคอของนาง
ไป๋ถานพลันตระหนกวูบ สองตาเบิกกว้าง
นิ้วมือซึ่งเย็นเฉียบดุจน้ำแข็งของเขากดอยู่บนลำคอที่ร้อนลวกของนาง เขานวดคลึงแรงๆ หลายรอบก่อนจะถูขึ้นลงอีกหลายครั้ง
ไป๋ถานตามหาเสียงของตนพบจนได้ “นี่ท่านอ๋องกำลังทำอะไร”
“คลายฟกช้ำ”
ไป๋ถานกลืนน้ำลายตามจิตใต้สำนึกเมื่อท้องนิ้วไล้ผ่านลำคอ
ซือหม่าจิ้นชักมือกลับไป เขาถูนิ้วมือก่อนหยิบพู่กันขึ้นอีกครั้ง ทว่ากลับรู้สึกว่าบนนิ้วมือของตนยังคงหลงเหลือสัมผัสอันเรียบลื่นเนียนละเอียดนั้นอยู่เล็กน้อย ความรู้สึกนั้นทำให้เขามุ่นคิ้วนิดๆ
ไป๋ถานขยับออกไปนั่งไกลขึ้น แล้วรินน้ำถ้วยหนึ่งเพื่อปลอบขวัญตนเองก่อน
เมื่อครู่นางเกือบนึกว่าเขาจะฆ่าตนเสียแล้ว อาจารย์ผู้นี้เปลี่ยนมาเลี้ยงชีพบนความเสี่ยงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ค่ำคืนนี้หลังตื่นตกใจแล้วทว่ากลับไร้ซึ่งอันตรายนั้น ไป๋ถานก็ค้นพบวิธีการที่ดีวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นคือยามกลางวันให้ซือหม่าจิ้นคอยรับการอบรมสั่งสอนอยู่ข้างกายนาง ยามกลางคืนก็ค่อยให้เขากลับไปพำนักที่อารามเป้าผู่
เช่นนี้นางก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเฉินหนิงแล้ว ทั้งยังสามารถตรวจสอบควบคุมซือหม่าจิ้นได้ นับว่านางยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว
บัดนี้ย่างเข้าสู่ช่วงปลายปี ราชการทหารยุ่งวุ่นวายยิ่ง ไป๋ถานเข้าใจสถานการณ์ หลายวันนี้จึงไม่ได้จับตาดูซือหม่าจิ้นเข้มงวดนัก ขอเพียงเขาเอ่ยปากว่ากำลังสะสางราชการทหาร นางก็จะไม่เรียกให้เขามาที่นี่
อย่างไรเสียสะสางงานราชการก็นับเป็นการกล่อมเกลาจิตใจประการหนึ่ง ขอเพียงไม่ก่อบาปเข่นฆ่า อย่างไรก็ล้วนดีทั้งสิ้น
กระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นวันหยุดเรียนพอดี ซือหม่าจิ้นจึงไม่ได้มา ไป๋ถานอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ขณะเตรียมจะพาอู๋โก้วออกไปเดินเล่น ซีชิงกลับมาเยือนเสียก่อน
ด้านนอกแสงตะวันงามตาท้องฟ้าแจ่มใส เขาสวมอาภรณ์สีครามกับรองเท้าหุ้มข้อ เรือนผมมุ่นมวยหลวมด้วยปิ่นไม้ไผ่อันหนึ่ง แลดูภูมิฐานเข้าทีกว่ายามปกติมากโข
“ข้ามาส่งยาให้เจ้า” ทันทีที่เข้ามาในห้องหนังสือ เขายิ้มตาหยีพลางหยิบยาขี้ผึ้งตลับหนึ่งออกจากแขนเสื้อ “ได้ยินว่าวันนั้นเจ้าเกือบถูกหลิงตูอ๋องบีบคอหัก เหตุใดไม่รีบบอกข้าเล่า เมื่อครู่ข้าไปที่อารามเป้าผู่ฟังเฉินหนิงเล่ามาถึงได้รู้เรื่อง”
ไป๋ถานถือโอกาสสอบถามหนึ่งประโยค “เขาดีขึ้นบ้างหรือยัง”
“รวดร้าวดุจเสียบุพการี”
“…” ไป๋ถานได้แต่เงียบงัน เอาเถิด ไม่ถามเสียยังจะดีกว่า
ซีชิงขยับเข้ามาใกล้ มองดูลำคอของนางแล้วผงกศีรษะ “ดูท่าคราวนี้ไม่ได้รุนแรงมากนี่นา ด้วยพื้นฐานร่างกายของเจ้า แต่ก่อนถ้าไม่ผ่านไปห้าหกวันก็ไม่มีทางหายฟกช้ำ แต่คราวนี้กลับจางไปเกือบหมดแล้ว”
ไป๋ถานจุปากอุทาน “มารร้ายผู้นั้นเป็นคนนวดคลายช้ำให้ข้าเชียวนะ”
ซีชิงตื่นตะลึง “จริงหรือ!”
“ก็จริงน่ะสิ ตอนนั้นข้ายังนึกว่าเขาจะบีบคอฆ่าข้าด้วยซ้ำ มันช่าง…เฮ้อ คำเดียวบรรยายไม่หมดสิ้น”
ซีชิงขบคิดก่อนยิ้มกล่าว “นี่ก็ไม่แปลกหรอก ท่านอ๋องแม้ดุร้าย แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เคยสอนเขามา อีกทั้งสถานการณ์ในปีนั้นผู้อื่นล้วนไม่กล้าใส่ใจเขา กลับมีเพียงเจ้าที่ยอมอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมองเจ้าดีกว่าผู้อื่น”
ไป๋ถานกล่าวอย่างขบขัน “เช่นนั้นข้าไม่เท่ากับได้ ‘ราชโองการเว้นโทษตาย’ จากเขาหรอกหรือ”
“พูดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเกินเลย” ซีชิงกระตุกแขนเสื้อของนางก่อนเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “เมื่อครู่ตอนขึ้นเขาข้าบังเอิญเจอคนผู้หนึ่ง ไป…ข้าจะพาเจ้าไปดู”
ไป๋ถานไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ นางเพียงแค่ตามเขาออกจากประตูเรือน เดินไปได้ไม่ไกลนัก พอลงไปถึงไหล่เขาแล้วเลี้ยวหนึ่งครั้งเส้นทางบนภูเขาก็เริ่มขรุขระขึ้น เบื้องหน้ามีสระขนาดย่อมอยู่แห่งหนึ่ง เมื่อข้ามเขตนี้ไปจะเป็นเรือนพักซึ่งปลูกสร้างโดยชนชั้นสูงตระกูลอื่น
ซีชิงดึงตัวไป๋ถานมานั่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้แล้วชี้มือไปที่ริมสระ “รีบดูนั่น”
ไป๋ถานชะเง้อคอยาว เห็นเพียงเงาหลังของคนคู่หนึ่งซึ่งอิงแอบแนบชิดกัน เสียงกระซิบกระซาบสองสามประโยคแว่วมาเป็นพักๆ ก่อนจะแทรกด้วยเสียงหัวเราะหวานเยิ้มของสตรี
“นั่นใครกัน”
“เจ้าไม่รู้จักหรอกหรือ นั่นคือหวังฮ่วนจือคุณชายสกุลหวังอย่างไรเล่า” ใบหน้าด้านข้างซึ่งผอมเรียวของซีชิงยื่นไปข้างหน้า สองตาที่เรียวยาวเผยประกายวิบวับด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวังตายแล้ว เดิมทีเขาควรจะไว้ทุกข์ แต่กลับพานางบำเรอมาขลุกอยู่ที่นี่”
“ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหวัง? คงมิใช่คนที่ถูกหลิงตูอ๋องทำเสียขวัญจนล้มป่วยไปหรอกกระมัง”
ซีชิงผงกศีรษะรับ “ฝ่าบาทยังทรงให้เกาผิงไปถ่ายทอดรับสั่งถึงอารามเป้าผู่โดยเฉพาะ ให้หลิงตูอ๋องอย่าเพิ่งเข้าเมืองชั่วคราว หวังฟูจะได้ไม่หาเรื่องเขาอีก”
ไป๋ถานคิดในใจ มิน่าไม่เห็นเขาแวะมา คาดว่าคงเดือดดาลกับเรื่องนี้อยู่
ซีชิงผลักนางเบาๆ “นี่ๆ พูดนอกเรื่องแล้ว ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อดูหวังฮ่วนจือนะ”
เพียงเห็นชายหญิงคู่นั้นนั่งอยู่บนพื้นหญ้าริมสระพลางพลอดรักกันไปมา ไป๋ถานพลันรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่งจึงค้อนขวับซีชิงเตรียมจากไป แต่ซีชิงกลับยุดแขนเสื้อของนางไว้ในปราดเดียว “อย่าเพิ่งไปสิ เจ้าจะไม่ถามข้าสักหน่อยหรือว่าเหตุใดถึงเรียกเจ้ามาดูเขา”
ไป๋ถานยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงของชายหญิงทางด้านนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง สุ้มเสียงของสตรีเริ่มกระชั้นเร่งร้อน เปล่งเสียงครางหวานหูคละเคล้ากับเสียงหอบหายใจอันแหบห้าวหนักหน่วงของหวังฮ่วนจือผู้นั้น ยามที่ไป๋ถานมองไป คนทั้งคู่ล้มตัวกอดกันกลม ต้นหญ้าใต้ร่างถูกบดขยี้ระเนระนาด…
คนโง่งมก็ยังรู้ว่าคนตรงนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ ไป๋ถานพลันหน้าแดงเข้มในพริบตา
นี่มันกลางวันแสกๆ นะ!
“เอ่อ…” ซีชิงวางหน้าไม่สนิท “ข้าไม่ได้อยากจะให้เจ้ามาดูสิ่งนี้หรอก”
ไป๋ถานถูกเสียงความเคลื่อนไหวซึ่งเร่าร้อนขึ้นทุกขณะทำเอาทนอยู่ต่อไปไม่ไหว นางลุกพรวดแล้วออกเดินทันที ซีชิงรีบติดตามมา “เจ้าอย่าโกรธเลยนะ ข้าเพียงอยากจะให้เจ้ามาดูหวังฮ่วนจือคนนี้สักหน่อย ปีก่อนภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคภัย ข้าบังเอิญไปได้ยินมาว่าบิดาของเจ้ามีความคิดจะแต่งเจ้าเป็นภรรยาคนที่สองของเขา”
ไป๋ถานหันขวับ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“บิดาของเจ้ากับสกุลหวังลอบหารือกันอยู่ หลายวันนี้ข้าไปเตร็ดเตร่ที่สกุลหวังเป็นประจำจึงพอจะได้ยินข่าวไม่มากก็น้อย”
ไป๋ถานหน้าขรึมลงทันที ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้แล้วบิดาของนางก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ซีชิงยิ้มละไม “เจ้าก็เห็นแล้วว่าหวังฮ่วนจือมีความประพฤติอย่างไร เจ้าติดตามเขายังไม่สู้มาติดตามข้า ข้ารู้ว่าบิดาของเจ้ารังเกียจที่ข้าไร้อำนาจทั้งยังไร้อิทธิพล แต่ข้านิสัยดี อย่างน้อยก็เหนือกว่าหวังฮ่วนจือนั่นนัก”
ไป๋ถานร้องเพ้ยคำหนึ่ง “อย่ามาทำกะล่อน ใจเจ้าคิดถึงแต่เหมยเหนียง นึกว่าข้าไม่รู้หรือ”
ตอนนั้นที่ไป๋ถานรู้จักกับซีชิงก็เป็นเพราะเขามักวิ่งไปหาไป๋ฮ่วนเหมยญาติผู้พี่ของนางอยู่เสมอ บ้างก็ไปกำนัลบทบรรเลง บ้างก็ไปกำนัลเครื่องดนตรี จนกระทั่งเขาลักลอบเรียนแพทย์แล้วถูกจับได้ถึงไม่มาปรากฏตัวอีก ต่อมาตอนที่หนีออกจากจวนจึงพบกับนางโดยบังเอิญ
บัดนี้ไป๋ฮ่วนเหมยเข้าวังไปสิบปีแล้ว เขาก็ยังครองตนเป็นโสด นี่มิใช่แสดงชัดว่าใจของซีชิงยังคะนึงหาอีกฝ่ายอยู่หรอกหรือ
ซีชิงแสร้งทำเป็นห่อเหี่ยว “เจ้าไม่ยอมก็แล้วไปเถิด ยังจะขุดคุ้ยแผลเก่าของข้าอีกให้ได้อะไร ข้าว่าในใจเจ้าคงห่วงหาผู้อื่นอยู่มากกว่ากระมัง”
ไป๋ถานเม้มปากไม่พูดไม่จา ก่อนจะเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับเรือนพัก
ขงจื่อว่าไว้…ผิดจารีตไม่ควรมอง นางต้องรีบกลับไปเอาน้ำล้างตาสักหน่อย จะได้ไม่เป็นตากุ้งยิง
ซีชิงยังคงตามนางมาติดๆ “เจ้าอย่าได้รับปากบิดาออกเรือนไปเชียว ข้าเคยเกลี้ยกล่อมหลิงตูอ๋องให้ยอมเชื่อฟังเจ้ามากขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็รู้จักกันมาหลายปี คำพูดของข้า เขาต้องฟังเข้าหูบ้างเป็นแน่ รอจนเจ้าชักนำเขากลับสู่วิถีทางที่ถูกต้องแล้ว ฝ่าบาทต้องทรงตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม เจ้าก็จะมีทั้งเงินทองทั้งฐานะ ถึงตอนนั้นข้าจะมาเกาะชายกระโปรงของเจ้าแน่นอน”
ไป๋ถานรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นางยกชายชุดทำท่าจะเตะอีกฝ่าย ซีชิงเห็นเช่นนั้นถึงได้วิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะร่วน
ในอารามเป้าผู่ ทุกสิ่งยังคงเป็นปกติ มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เฉินหนิงที่ยังคงโศกเศร้าจากการสูญเสียนกอันเป็นที่รักจนไม่มีแก่ใจจะเทศนาธรรมแก่ทุกคนอีก ทุกวันเอาแต่นอนหน้าเศร้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ภายในห้องเท่านั้น
ฝ่ายซือหม่าจิ้นเองก็เก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อสะสางราชการทหาร ตั้งแต่เช้าจรดเย็นล้วนไม่ยอมเผยโฉม
ด้วยเหตุนี้คนทั้งอารามจึงระบายลมหายใจได้อย่างโล่งอก ยามสนทนากันก็กล้าที่จะเปล่งเสียงดังขึ้น
นักพรตกลุ่มหนึ่งกำลังถกความเห็นกันยกใหญ่ ทอดถอนใจว่าเมื่อไรจะอัญเชิญมารร้ายผู้นี้ลงเขาไปได้เสียที กู้เฉิงจึงยื่นศีรษะที่เต็มไปด้วยผมแห้งกรอบเบียดแทรกเข้าไปพลางเอ่ยปลอบด้วยเจตนาดี “พวกเจ้าไม่ใช่ทั้งเชลยศึกและนักโทษ ขอเพียงไม่ไปตอแยท่านอ๋องของข้า ท่านก็ไม่เอาชีวิตของพวกเจ้าแล้ว”
เหล่านักพรตพร้อมใจกันถอยกรูดไปสามเชียะ* แตกกระเจิงดุจฝูงนกที่ตื่นกลัว
นั่นคือผู้ที่กล้าบีบคอกระทั่งอาจารย์ของตนเอง ยังมีนกของศิษย์พี่ใหญ่พวกเขาอีก นั่นนับเป็นหนี้เลือดเชียวนะ!
ฉีเฟิงพลันรู้สึกว่ากู้เฉิงช่างทึ่มเข้าขั้น กับจมูกโคพวกนี้มีอันใดน่าสนทนากัน เขายอมไปเตร็ดเตร่อยู่ที่หน้าประตูเสียยังจะดีกว่า
เขาวิ่งไปที่หน้าประตูโถงจริงๆ พร้อมหยิบผลไม้ในเครื่องเซ่นไหว้ติดมือมาด้วย กัดไปพลางนั่งยองบนหินก้อนใหญ่ ก่อนก้มมองผู้ศรัทธาในลัทธิเต๋าที่เดินทางเข้าออกซุ้มประตูตรงทางขึ้นอาราม
บนทางภูเขามีบุรุษสองคนเดินชนกัน ต่างฝ่ายต่างเอะอะโวยวายไม่ยอมอ่อนข้อ ดึงดูดให้ผู้คนไปล้อมชมจำนวนมาก
คนหนึ่งตวาดกร้าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาข้าเป็นใคร กล้าพูดจากับข้าเช่นนี้!”
อีกคนกลับลำพองตนยิ่ง “บิดาเจ้าเป็นใครข้าไม่สน พี่สาวข้าเป็นใครเจ้ารู้หรือไม่ นางก็คือไป๋ถานบนยอดเขาฝั่งตรงข้าม เจ้ากล้าพูดจากับข้าเช่นนี้หรือ!”
อีกฝ่ายไร้เสียงไปในพริบตา
ฉีเฟิงหันขวับไปมอง ผลไม้ในปากพลันถูกพ่นพรวดออกมา เจ้าหนูสำอางชุดขาวนั่นมันน้องชายของไป๋ถานมิใช่หรือ!
ชิชะ เดี๋ยวนี้เจ้าหนูนี่ไม่ประชันบิดาแต่เปลี่ยนมาประชันพี่สาวแทนแล้ว!
ไม่ถูกสิ ที่ประชันขันแข่งอยู่นี่มันชื่อเสียงบารมีท่านอ๋องของข้าชัดๆ!
โทสะพลุ่งขึ้นในใจของฉีเฟิงทันที เพียงแต่เพิ่งคิดจะตรงไปจับตัวอีกฝ่ายไปพบผู้เป็นนาย เขากลับเห็นไป๋ต้งชักเท้าแล้ววิ่งไปยังทางสายเล็กที่อยู่ด้านข้างตรงทางขึ้นเสียก่อน ปากเอ่ยร้องเรียกเด็กรับใช้ผู้ติดตามไม่หยุด “เร็วๆ มาทางนี้ นี่เป็นทางลัด ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวไปไม่ทัน”
ขณะมองด้วยความฉงน ฉีเฟิงพลันบังเกิดอารมณ์สนุก จึงรีบวิ่งกลับไปรายงานซือหม่าจิ้น
ยามที่ไป๋ถานได้ยินเสียงดังสนั่นที่เกิดจากประตูเรือนนั้น นางกำลังตั้งอกตั้งใจวาดภาพวิถีชีวิตกลางขุนเขา ขีดตวัดที่สำคัญถูกเสียงนี้ลากเฉไปจนภาพเละเทะไม่เหลือดี นางจึงโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
พอลุกพรวดออกไปดู ที่แท้ผู้มาเยือนก็คือไป๋ต้ง นางแค่นเสียงดังฮึ “ก่อเรื่องจนถูกกักตัว เพิ่งจะได้ออกมาวันนี้หรอกหรือ”
“นี่ข้าแอบหนีออกมาเชียวนะ” ไป๋ต้งดึงไป๋ถานไว้อย่างรีบร้อนลนลาน เหลียวซ้ายแลขวาก่อนเอ่ยต่อ “พี่สาว รีบหนีเร็วเข้า ท่านพ่อมาแล้ว!”
ไป๋ถานตะลึงงัน “เขามาทำอะไร”
“มารับท่านกลับไป”
ไป๋ถานนึกถึงคำพูดของซีชิงได้ในพริบตา “กลับไปแต่งให้หวังฮ่วนจือหรือ”
ไป๋ต้งตกตะลึง “นี่ท่านรู้แล้ว!? เช่นนั้นเหตุใดยังไม่รีบหนีอีก คราวก่อนท่านพ่อคิดจะจับท่านแต่งให้หลิงตูอ๋อง ต่อมาท่านกลับรับหลิงตูอ๋องเป็นศิษย์ ท่านพ่อจึงเอาแต่ตำหนิข้าที่คาบข่าวมาบอกก่อนทำให้ท่านมีโอกาสล้มงานมงคลได้ คราวนี้ที่ท่านพ่อขังข้าไว้ตั้งนานก็เพราะกลัวว่าข้าจะมาแจ้งข่าวต่อท่าน นี่ท่านพ่อก็ใกล้จะมาถึงแล้ว”
“ให้เขามา ข้ารออยู่” ไป๋ถานหันหน้ากลับเข้าห้องหนังสือ
อู๋โก้วยืนมองอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นอาจารย์มีท่าทีเช่นนี้
ไป๋หยั่งถังมาถึงเร็วยิ่ง เขานำบริวารเข้าประตูมาด้วยห้าหกคน บ่าวชายในเรือนพักเมื่อเห็นแล้วก็ไม่กล้าขัดขวาง
เขายืนมองพิจารณาอยู่กลางลาน เรือนพักแห่งนี้ไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปี ทว่ากลับเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าก็ล้วนตัดแต่งเข้าที คาดว่าไป๋ถานน่าจะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด เขารู้ว่าบุตรสาวคนนี้โปรดปรานสิ่งหย่อนใจเหล่านี้มาก แต่ว่านางกลับไม่รู้จักทำในสิ่งที่ตนพึงกระทำเสียเลย
ไป๋ถานเดินออกมาจากห้องหนังสือ ไป๋ต้งซึ่งซ่อนกายอยู่ในห้องลอบเกาะประตูมองดูอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อมาเยือนกะทันหันเช่นนี้มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือไม่”
ไป๋หยั่งถังแลเห็นบุตรสาวคิ้วตาหมดจดสดใส เรือนผมเรียบลื่นดุจดังปุยเมฆ สวมอาภรณ์แขนกว้างยืนอย่างสง่าอยู่เบื้องหน้าระเบียงทางเดิน ไม่พบพานมานานถึงสิบปี ยามนี้นางมีท่วงท่าอันงามสง่าของหญิงสาวแล้ว
สีหน้าของเขาพลันบึ้งตึง “มารับเจ้ากลับไป”
“ข้ามีคุณธรรมความสามารถอันใดที่จะย่างเท้าเข้าสู่จวนไท่ฟู่ได้หรือ”
ไป๋หยั่งถังขมวดคิ้ว “นิสัยนี้ของเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย ดูคล้ายไม่เก็บสิ่งใดมาใส่ใจ ทว่ากลับดื้อรั้นแข็งกร้าวเป็นที่สุด เช่นนั้นเจ้าลองว่ามา เหตุใดจึงได้ผิดคำสาบาน ทีแรกเจ้าพูดชัดถ้อยชัดคำมิใช่หรือว่าจะไม่เป็นฝ่ายย่างเท้าสักก้าวเข้าเมืองหลวงด้วยตนเองเป็นอันขาด ยามนี้ในเมื่อเข้าเมืองไปช่วยหลิงตูอ๋องแล้วไยต้องยึดติดกับอดีตไม่ปล่อยวาง อย่างไรก็รีบตามข้ากลับไปแล้วกัน”
“เพราะข้าผิดคำสาบานเข้าเมือง ท่านพ่อจึงนึกว่าข้าจะเปลี่ยนนิสัยจากในอดีต ปล่อยให้ท่านจับออกเรือนได้ตามใจเช่นนั้นหรือ”
ไป๋หยั่งถังชะงักกึกก่อนเหลียวมองรอบทิศและระเบิดเสียงตวาดก้องในฉับพลัน “ไป๋ต้ง! เจ้าจงออกมาเดี๋ยวนี้!”
ไป๋ถานกล่าว “ท่านพ่อไม่ต้องตำหนิอาต้ง เรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นคนบอกข้า หลายปีปานนี้แล้วท่านเองก็ไม่เปลี่ยนมิใช่หรือ ท่านไม่เคยคำนึงถึงความปรารถนาของผู้อื่น ในสายตามีเพียงอำนาจและอิทธิพล” นางผายมือออก “ไท่ฟู่เชิญกลับเถิด ข้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น”
ไป๋หยั่งถังหน้าอกยุบพองด้วยโทสะทว่ายังฝืนกดข่มไว้ “บัดนี้เจ้าเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงถามถึงเสมอ หากพำนักอยู่ที่เรือนพักแห่งนี้ตลอดไปก็ไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม”
“ก็เพราะข้าคืออาจารย์ของหลิงตูอ๋องถึงยิ่งไม่อาจจากไป ข้าไปแล้วยังจะอบรมเขาได้อย่างไรเล่า” ไป๋ถานเหยียดยกมุมปาก “อย่างไรเสียข้าก็เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือ ไม่นึกว่าจะเข้าตาสกุลหวังได้”
ผู้คนตรงนี้มีพวกบ่าวรวมอยู่ด้วย ทว่าบุตรสาวกลับไม่ไว้หน้าตนสักนิด ปล่อยให้ยืนสนทนาอยู่กลางลานเช่นนี้โดยไม่แม้แต่จะเชิญตนเข้าห้อง ไป๋หยั่งถังโกรธเกรี้ยวจนสีหน้าเขียวคล้ำนานแล้วจึงโบกมือทีหนึ่งเรียกให้บ่าวที่อยู่ด้านหลังของตนตรงไปมัดตัวคน
ไป๋ถานเพิ่งจะหมุนกายก็ถูกมือหลายคู่ควบคุมตัวจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ดวงหน้าของนางพลันเผยโทสะแล้วเช่นกัน
ไป๋ต้งพลันพุ่งปราดออกมาขวางเบื้องหน้านางทันใด “นี่ท่านพ่อจะทำอะไร คิดจะมัดพี่สาวกลับไปอย่างนั้นหรือ”
ไป๋หยั่งถังเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “ตัวบัดซบ! รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่ ตำรับตำราไม่รู้จักตั้งใจศึกษา แต่ฝีมือปีนกำแพงหลบหนีของเจ้ากลับหัดได้เก่งนัก”
บ่าวเหล่านั้นเรี่ยวแรงมากเหลือเกิน ไป๋ต้งดึงไป๋ถานออกมาเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก อารามร้อนใจจึงนอนลงกับพื้นเสียเลย “หากท่านพ่อจะทำกับพี่สาวเช่นนี้จริงก็ข้ามศพข้าไปแล้วกัน”
ไป๋ถานมุมปากสั่นกระตุก “ตายแล้วถึงจะเรียกว่าศพ!”
“ไม่สนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะปล่อยให้พวกเขามัดท่านไปเช่นนี้มิได้”
ไป๋หยั่งถังเดือดดาล บุตรหลานตระกูลขุนนางไหนเลยจะมีท่าทางเช่นนี้ได้ เขาถลึงตาใส่คนบนพื้น “จงลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
ไป๋ต้งไม่เพียงไม่ลุกขึ้น ซ้ำยังเกลือกกลิ้งหลายตลบจนชุดสีขาวเปรอะไปด้วยฝุ่น
ไป๋หยั่งถังโกรธจนเคราสั้นตรงปลายคางพลันสั่นกระเพื่อมขณะตวาดอย่างแค้นใจ “ไม่ต้องแยแสเขา มัดคนไป!”
บ่าวเหล่านั้นฉุดดึงไป๋ถานก่อนพาเดินไปสู่เบื้องนอก ทว่าเพิ่งมาถึงหน้าประตูพวกเขากลับหยุดชะงักไปทันที
ซือหม่าจิ้นยืนกอดอกพิงข้างประตู แววตาลุ่มลึก มุมปากประดับยิ้ม “นี่ข้ามาไม่ถูกเวลาหรอกหรือ”
รอบทิศมีแต่ความเงียบในทันใด
ซือหม่าจิ้นถูกฉีเฟิงยุยงให้มาที่นี่
ในมุมมองของฉีเฟิง หากมิใช่ทีแรกไป๋ต้งล่วงเกินท่านอ๋องของตนก่อน ไป๋ถานก็จะไม่ถูกดึงให้ออกหน้ามาช่วยเหลือจนมีโอกาสบีบบังคับท่านอ๋องของตนกราบเป็นอาจารย์ และส่งผลให้ยามนี้พวกตนต้องลำบากมาอยู่ร่วมกับพวกจมูกโคบนยอดเขาเฮงซวยที่แสนคับแคบนี่
สรุปคือต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลต้องโทษไป๋ต้งแต่เพียงผู้เดียว!
ฉะนั้นเขาจึงทุ่มสุดกำลังยุยงซือหม่าจิ้นให้มาสั่งสอนไป๋ต้ง พูดยกเมฆเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนว่าเรือนพักสกุลไป๋กำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอันใดขึ้น
ซือหม่าจิ้นสะสางราชการทหารเสร็จพอดีจึงตัดสินใจมาดูด้วยตนเองสักหน่อย
ความจริงก่อนที่เขาจะเผยตัวได้นำฉีเฟิงกับกู้เฉิงมายืนอยู่นอกกำแพงเรือนสักพักแล้ว บทสนทนาระหว่างบิดากับบุตรสาวที่ด้านในจึงได้ยินเกือบทั้งหมด
น่าประหลาดใจยิ่ง ซือหม่าจิ้นนึกไม่ถึงว่าค่ำนั้นที่ไป๋ถานเดินทางไปเยือนจวนอ๋องของเขายังมีเบื้องหลังที่ผูกโยงไปถึงคำสาบานที่ว่านั้นด้วย
ทว่าเรื่องประหลาดใจนี้มิได้เกินเลยไปจากความคาดหมายของเขาเท่าไหร่นัก นางก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ตอนที่สอนเขาเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้ว แม้เขาจะไม่พูดจาและไม่แยแสในสิ่งที่นางพูด แต่นางก็ยังมุ่งมั่นที่จะอธิบายไปทีละคำโดยไม่มีท่าทีจะถอดใจสักนิด
คาดว่านางคงเป็นคนที่ยึดมั่นในความคิดของตนเช่นนี้เอง เพียงเพื่อจะฉุดดึงคนเช่นเขาให้กลับคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้อง ต่อให้ผิดคำสาบานก็ต้องเข้าเมือง
ซือหม่าจิ้นเยาะหยันอยู่ในใจ อันใดคือวิถีทางที่ถูกต้อง ไยต้องยึดมั่นถือมั่นด้วยเล่า
พวกบ่าวสกุลไป๋ซึ่งคุมตัวไป๋ถานอยู่ไม่รู้จักซือหม่าจิ้นแต่อย่างใด เพียงประเมินจากอาภรณ์และเครื่องประดับของอีกฝ่ายก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามล่วงเกินแล้ว ต่างพากันหันกลับไปมองนายท่านของตน
ยังคงเป็นไป๋ต้งที่มีปฏิกิริยารุนแรงกว่าใคร เขาพลันดีดร่างลุกขึ้นยืนในคราวเดียว “หลิงตูอ๋อง! ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
ไป๋หยั่งถังเร่งสาวเท้าตรงขึ้นมาคำนับ
ซือหม่าจิ้นไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกฝ่าย เขายืดกายตรงแล้วเดินเนิบนาบไปถึงเบื้องหน้าไป๋ถาน กวาดตามองทั้งสองคนที่จับร่างนางไว้ก่อนวางมือข้างหนึ่งลงบนบ่าของคนที่อยู่ใกล้ตน “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
เมื่อครู่บ่าวผู้นั้นได้ยินถนัดชัดเจนจึงผวาจนหน้าซีดเผือดตั้งแต่แรกแล้ว ในใจเอ่อล้นด้วยความขมขื่น คนที่ถูกมารร้ายผู้นี้เลือกไยจึงเป็นตนเสียได้ เพียงรู้สึกว่าบ่าส่วนที่ถูกมือของอีกฝ่ายวางอยู่หนักอึ้งดุจเหล็กตันกดทับ เขาเอ่ยปากตอบตะกุกตะกัก “ระ…รู้ขอรับ หลิงตูอ๋อง”
ซือหม่าจิ้นชี้มือไปทางไป๋ถาน “รู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร”
“ปะ…ไป๋ถานคุณหนูสกุลไป๋ของข้าน้อยเอง”
ซือหม่าจิ้นคลี่ยิ้มบางๆ “แล้วอย่างไรอีก”
บ่าวผู้นั้นไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร บนหน้าผากเหงื่อแตกพลั่ก จนกระทั่งแรงกดทับบนบ่าทวีความรุนแรงขึ้นทุกที สมองของเขาถึงพลันแล่นฉิว “ยังเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้แก่ท่านอ๋องด้วยขอรับ”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของซือหม่าจิ้นขรึมลงในฉับพลัน “รู้ว่าเป็นอาจารย์ของข้า พวกเจ้าก็ยังกล้าจับมัดนางเช่นนี้ ช่างขวัญกล้าไม่เบานี่” เขากวักมือไปด้านหลัง ฉีเฟิงกับกู้เฉิงพลันเข้าใจความนัย พวกเขาก้าวยาวๆ ตรงไปซ้ายขวาจับกุมคนละหนึ่งคนไว้ทันที
จับกุมเสร็จพวกเขาสองคนก็พลันนึกฉงน
…ไม่ถูกสิ พวกเราไม่ได้มาชมเรื่องสนุกแล้วถือโอกาสสั่งสอนเจ้าหนูแซ่ไป๋นั่นหรอกหรือ…ไยเหตุการณ์จึงพลิกมาเป็นเช่นนี้ได้เล่า
บ่าวคนอื่นๆ เห็นแล้วไหนเลยยังจะกล้าควบคุมตัวไป๋ถานอีก พวกเขาต่างพากันคลายมือปล่อยเชือกกันจนหมด
ไป๋หยั่งถังมุ่นคิ้วสืบเท้าขึ้นหน้ามาคารวะ “ท่านอ๋องโปรดอภัย นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยภายในครอบครัวของข้าน้อย มิกล้ารบกวนท่านอ๋องหรอกขอรับ”
ซือหม่าจิ้นคล้ายเพิ่งจะสังเกตเห็นเขาเดี๋ยวนี้เอง “ไท่ฟู่อยู่ที่นี่ด้วยหรือ ข้าไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องในครอบครัวของเจ้าจึงเป็นการมาจับมัดอาจารย์ของข้า”
ไป๋หยั่งถังถูกคำพูดของเขาตอกกลับจนเป็นใบ้ไร้วาจา
สายตาของซือหม่าจิ้นจับอยู่บนร่างของบ่าวเหล่านั้น “มาได้จังหวะพอดี ข้าอยู่ที่นี่เบื่อหน่ายมาหลายวัน ในที่สุดก็มีความบันเทิงบ้างเสียที”
พวกบ่าวล้วนขวัญกระเจิง ต่างกลัวจะรั้งท้ายรีบแย่งกันคุกเข่าด้วยอาการตัวสั่นงันงก
พอซือหม่าจิ้นโบกมือ ฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็ผลักบ่าวสองคนที่จับตัวไว้ลงบนพื้นทันที จากนั้นจึงไล่ทุกคนไปรวมกลุ่มดุจต้อนฝูงเป็ด
ฉีเฟิงยิ่งแสดงท่าทีเกินจริงด้วยการดึงเชือกเรียวยาวเส้นหนึ่งออกจากข้างเอว ทำราวกับจะมัดพวกเขาทุกคนแล้วเอาตัวกลับไปด้วย
ไป๋ถานขยับแขนยืดเส้นยืดสายพลางมองดูพวกเขาอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ…ท่าทางคึกคักคล่องแคล่วปานนี้ทำให้ผู้อื่นได้เปิดหูเปิดตาโดยแท้ เคยปฏิบัติจริงนับร้อยครั้งแล้วสินะ
ไป๋หยั่งถังไร้ถ้อยคำจะตอบโต้ ซือหม่าจิ้นอุปนิสัยแปลกประหลาดยากคาดเดายิ่งนัก ซ้ำยังลงมือเฉียบขาดโหดเหี้ยม หากมีเรื่องกันจริง ตนรังแต่จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทว่าบ่าวเหล่านั้นต่างขวัญหนีดีฝ่อร้องขอความช่วยเหลือจากเขาไม่ขาดปากแล้ว เขาจึงจำใจฝืนทำเก่งเดินเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่ง
“ข้าน้อยเพียงต้องการพาบุตรสาวลงเขากลับจวน เพราะความร้อนใจเพียงชั่ววูบถึงได้มัดคน ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
ซือหม่าจิ้นยืนเอามือไพล่หลัง “ไท่ฟู่ต้องการรับบุตรสาวกลับเป็นเรื่องในครอบครัวก็จริง ไม่เหมาะที่ข้าจะสอดมือก้าวก่าย ทว่าบัดนี้ข้าต้องอยู่ข้างกายอาจารย์คอยรับฟังคำชี้แนะทุกวัน ไหนเลยจะแยกจากนางได้”
ไป๋หยั่งถังมุ่นคิ้วขบคิด “หากท่านอ๋องไม่รังเกียจ ต่อจากนี้สามารถไปที่จวนไท่ฟู่ได้ ข้าน้อยย่อมทุ่มเทรับใช้ท่านอ๋องอย่างเต็มที่มิให้บกพร่องแม้เพียงน้อยนิดเด็ดขาด”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “ข้าก็อยากไปหรอกนะ แต่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเป็นพิเศษให้ข้ากล่อมเกลาจิตใจอยู่ที่นี่ ห้ามกลับเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว ดังนั้นเจตนาดีของไท่ฟู่ข้าจึงไม่อาจรับไว้ได้”
“…” สรุปว่าพูดไปพูดมาก็คือจะไม่ให้เขาพาคนไปนั่นเอง
ไป๋หยั่งถังเม้มปากแน่น ปรายตามองไป๋ถานแวบหนึ่ง เห็นบุตรสาวมองตนอยู่เช่นกัน สายตาของนางเย็นยะเยียบดุจเดียวกับยามที่ลาจากจวนไท่ฟู่ในตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน
ทางด้านฉีเฟิงกับกู้เฉิงยังคงเปล่งเสียงฮึบๆ เป็นระยะขณะวุ่นกับการออกแรงสั่งสอนพวกบ่าว ในลานยามนี้จึงอื้ออึงไปด้วยเสียงคร่ำครวญโอดโอย
ไป๋ถานสังเกตการณ์มาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็แน่ใจว่าซือหม่าจิ้นกำลังช่วยนางอยู่ ดังนั้นนางจึงลูบสาบเสื้อที่ถูกดึงจนยับย่นก่อนเอ่ยปาก “เชียนหลิง อาจารย์เคยสอนเจ้าว่าห้ามก่อบาปเข่นฆ่าอีกไม่ใช่หรือ ไยจึงดื้อรั้นไม่ยอมแก้ไข”
ซือหม่าจิ้นถอนหายใจ ยกมือยับยั้งการกระทำของฉีเฟิงกับกู้เฉิง “อาจารย์กล่าวชอบแล้ว เชียนหลิงน้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอน”
วาจานี้พอเปล่งออกมา สีหน้าของทุกคนในที่นั้นล้วนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไป๋หยั่งถังยากจะทำใจเชื่อ ไป๋ต้งปากอ้าตาค้าง มีเพียงฉีเฟิงที่แค้นใจจนแทบจะทิ่มสองตาของตนเอง
เป็นไปไม่ได้ ท่านอ๋องของข้าไม่มีทางเชื่อฟังคำพูดของไป๋ถาน นี่คือผู้ที่แม้แต่ฝ่าบาทยังปวดเศียรเวียนเกล้าเชียวนะ!
ไป๋ถานเหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะพบว่าพวกบ่าวซึ่งนั่งยองอยู่กับพื้นเหล่านั้นล้วนไม่มีใครกล้าสบตานางตรงๆ แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ช่วยส่งแขกแทนอาจารย์ที บิดาของอาจารย์สูงวัยแล้ว ขึ้นเขาสักเที่ยวคงจะเหนื่อยล้า จำไว้ว่าต้องพยุงออกไปให้ดี” นางมองดูไป๋หยั่งถังก่อนหันหน้ามุ่งสู่ระเบียงทางเดิน
“อาจารย์มีบัญชา เชียนหลิงไหนเลยจะกล้าไม่เชื่อฟัง”
ขณะที่ไป๋หยั่งถังอ้าปากหมายจะร้องเรียกไป๋ถาน ทว่าฉีเฟิงกับกู้เฉิงต่างก็ได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้ว พวกเขาต่างพุ่งมากระหนาบซ้ายขวาพยุงแขนของไป๋หยั่งถังไว้ จากนั้นกึ่งลากกึ่งหิ้วปีกเขาส่งออกไปนอกประตูเรือน
จวบจนพ้นประตู สองเท้าของเขาถึงเพิ่งได้สัมผัสพื้น ไหนเลยจะมีโอกาสได้พูดจา ไป๋หยั่งถังโกรธจนร่างส่ายโคลง โชคดีที่ไป๋ต้งตามออกมาพยุงเขาได้ทันท่วงที
“ตัวบัดซบ!” เขาพลันสลัดมือไป๋ต้งออก หยุดหอบเล็กน้อยก่อนหันหน้ามองเข้าไปในเรือน ซือหม่าจิ้นหรี่สองตามองออกมา ดูคล้ายยังอารมณ์ค้างไม่จุใจ พวกบ่าวต่างวิ่งล้มลุกคลุกคลานจนมาถึงข้างกายนายท่านของตน ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้าประตูเรือนอีกแม้สักก้าวเดียว
วันนี้ดันมาเจอมารร้ายที่นี่เสียได้! ไป๋หยั่งถังกำมือแน่น ในที่สุดก็สะบัดแขนเสื้อลงเขาไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
หัวใจของฉีเฟิงพลันแหลกสลายแล้ว เขาคิดไม่ตกว่าเรื่องวางอำนาจที่เขาวาดฝันไว้ในสมองเหล่านั้นเหตุใดถึงไม่ได้ทำเลยสักอย่าง ไยพวกเขากลับกลายเป็นเพียงลูกสมุนของไป๋ถานไปเสียได้
ไป๋ต้งยังยืนอยู่หน้าประตูเรือน หลังมองส่งบิดากับพวกบ่าวจนเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จากนั้นจึงพลันหันขวับมาเอ่ยกับฉีเฟิง “นึกไม่ถึงว่าพี่สาวข้าจะสยบท่านอ๋องของเจ้าได้แล้วจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็วางใจได้เสียที นับจากนี้ข้าจะเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อพวกเจ้านายบ่าวเสียใหม่” จบคำเขาประสานมือคารวะแล้วบ่ายหน้าลงเขาไปด้วยท่าทีอันเยือกเย็น บุคลิกอันสง่างาม แม้ว่าทั้งร่างจะมอมแมมไปด้วยฝุ่นดินก็ตามที
“…” ฉีเฟิงถูกน้ำเสียงอันสุขุมลุ่มลึกของอีกฝ่ายสะกดให้ตกตะลึง ชั่วอึดใจต่อมาก็พลันฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเผ่นหนีจึงรีบตวาดลั่น “หยุดนะ!”
ไป๋ต้งโยนท่าทีอันสูงส่งทิ้งในพริบตาพลางยกชายชุดแล้วพุ่งเตลิดสุดฝีเท้า ลงเขาด้วยความเร็วระดับนี้เพียงครู่เดียวก็มองไม่เห็นเงาคนแล้ว
อู๋โก้วต้มน้ำชาให้ไป๋ถานอยู่ในห้องหนังสือ เฝ้าดูเหตุการณ์เรื่อยมาจนถึงตอนนี้ ผลสุดท้ายอาจารย์ก็ไม่ได้ถูกพาตัวไป นางจึงค่อยวางใจได้เสียที
ในใจนึกยินดีที่วันนี้เลิกชั้นเรียนไปแล้ว หาไม่หากถูกศิษย์น้องทั้งหลายพบเห็นฉากแหวกขนบจารีตเช่นนี้เข้าคงแตกตื่นกันน่าดู
นางชำเลืองมองซือหม่าจิ้นซึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง พลันรู้สึกว่าเขาไม่ได้น่ากลัวถึงเพียงนั้น อย่างน้อยเขาก็ยังยอมช่วยเหลืออาจารย์
ตัวไป๋ถานเองไหนเลยจะไม่ประหลาดใจ นางนวดข้อมือพลางเอ่ย “วันนี้ท่านอ๋องถึงกับยื่นมือช่วยเหลือ อาจารย์รู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก”
“อาจารย์ก็เคยช่วยเหลือข้า ข้าแค่ตอบแทนหนี้น้ำใจเท่านั้น” ซือหม่าจิ้นเป็นคนที่สุขใจกับการได้ทรมานผู้อื่น ทว่ากลับไม่ชอบติดค้างหนี้น้ำใจใคร ติดค้างเมื่อไรจะต้องรีบใช้คืน
ไป๋ถานกลอกลูกตารอบหนึ่งแล้วเอ่ยปนยิ้ม “คราวก่อนอาจารย์ทำเพื่อช่วยเหลือท่านอ๋องจนผิดคำสาบานที่เคยลั่นไว้ ครั้งนี้จึงถูกบิดานำจุดอ่อนนี้มาบีบคั้นได้ ดังนั้นหากท่านอ๋องอยากตอบแทนด้วยการกระทำเพียงเล็กน้อยเท่านี้อาจจะฟังไม่ขึ้นนัก”
ซือหม่าจิ้นมองดูนาง “เช่นนั้นอาจารย์ยังมีข้อเรียกร้องใดหรือ”
ไป๋ถานตอบ “อาจารย์หวังว่าต่อไปท่านอ๋องจะให้ความร่วมมือกับการอบรมของอาจารย์เฉกเช่นในวันนี้ อีก ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะทำได้หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นพลันแค่นเสียงดังฮึ “อาจารย์ไม่ได้แซ่ไป๋กระมัง”
“ไม่ได้แซ่ไป๋จะแซ่อะไรเล่า”
“แซ่ได้คืบ ชื่อจะเอาศอก”
“…” ไป๋ถานมองฟ้า เมื่อครู่รสชาติของการได้เป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* ช่างหอมหวานเหลือเกิน หากไม่ฉวยจังหวะเสนอข้อเรียกร้องนี้ออกมา จะมิเป็นการเสียโอกาสไปเปล่าๆ หรอกหรือ
ซือหม่าจิ้นพลันกระชับสาบเสื้อ ดวงตะวันฤดูสารทที่นอกหน้าต่างฉายรัศมีไล้ผ่านปลายคิ้วของเขาไปสู่หางตา สายลมโชยมาให้ความรู้สึกพิเศษยิ่ง คล้ายแสงตะวันคิดจะพึ่งพาบารมีของเขา ทว่าสุดท้ายกลับเหลือเพียงเงารางๆ ชั้นหนึ่งที่ทอดตัวอยู่บนขอบหน้าต่าง
“อาจารย์ไม่รู้สึกว่าแปลกพิกลหรือ ชั่วดีอย่างไรบิดาของท่านก็เป็นถึงไท่ฟู่ คนในเมืองหลวงล้วนกล่าวขวัญว่าเขาเป็นบุคคลแถวหน้าของสกุลไป๋แห่งไท่หยวนผู้เพียบพร้อมด้วยความสามารถเชิงบุ๋นและจรรยามารยาท ทว่าวันนี้กลับทำเรื่องมัดตัวบุตรสาวแท้ๆ เสียได้”
คิดแล้วไป๋ถานก็รู้สึกว่าแปลกจริงๆ มิใช่ว่าสิบปีมานี้บิดาของนางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องออกเรือน แม้ว่าทุกครั้งจะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ แต่เขาก็ไม่เคยพาตนเองเดินทางมาถึงที่นี่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องใช้กำลังเพื่อมัดนางกลับไปดังเช่นวันนี้
นางจึงเอ่ยคาดคะเน “บางทีในเมืองหลวงอาจเกิดเรื่องบางอย่างถึงทำให้เขาร้อนใจเช่นนี้กระมัง”
ซือหม่าจิ้นถาม “ไท่ฟู่ร้อนใจจะให้อาจารย์ทำอะไรหรือ”
ไป๋ถานเบ้ปาก “ออกเรือน”
ซือหม่าจิ้นมองมาพร้อมรอยยิ้มซึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี “คราวนี้ตัวเลือกเป็นใครอีกเล่า”
“คนสกุลหวัง หวังฮ่วนจือ” ไป๋ถานเอ่ยถึงคนผู้นี้ก็ปวดศีรษะตุบๆ จากนั้นพลันชะงักกึก “เหตุใดใช้คำว่า ‘อีก’ ”
ซือหม่าจิ้นตอบ “หากจำไม่ผิด ดูเหมือนไท่ฟู่จะเคยพิจารณาข้าด้วย”
ไป๋ถานนึกไม่ถึงสักนิดว่าเขาจะรู้เรื่องนี้เช่นกัน ข้างหูของนางคล้ายได้ยินเสียงของบางสิ่งพังทลายดังโครม นั่นคือภาพอาจารย์ที่นางสู้อุตส่าห์รักษาไว้อย่างยากเย็น กระทั่งอู๋โก้วยังส่งสายตาเห็นอกเห็นใจมาให้
กู้เฉิงพลันเดินเข้ามากระซิบสองสามประโยคที่ข้างหูผู้เป็นนาย
ซือหม่าจิ้นเตรียมจะก้าวเท้าออกจากประตู ทว่ายามที่เดินผ่านข้างกายไป๋ถานนั้น เขากลับหยุดแล้วคลี่ยิ้มลุ่มลึก “เปรียบกับหวังฮ่วนจือแล้ว ข้าเพียงแต่มีความชอบที่พิเศษสักหน่อยเท่านั้น หากอาจารย์รู้สึกเสียใจในภายหลังขึ้นมา ข้าก็พร้อมยิ้มรับทุกเมื่อ”
“…” นั่นเจ้าเรียกว่าความชอบพิเศษแค่นั้นหรือ แล้วเจ้ายังไม่มีสำนึกว่าอะไรคือจารีตระหว่างศิษย์อาจารย์ด้วยซ้ำ!
ซือหม่าจิ้นพลันยื่นมือมาจับแขนของนาง “เมื่อครู่อาจารย์ถูกมัดตรงนี้หรือ”
ไป๋ถานรีบหดแขน “ท่านอ๋องถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใด”
ซือหม่าจิ้นแย้มยิ้มก่อนส่งสายตาให้กู้เฉิง “ไม่มีอะไร ข้าแค่จะเปลี่ยนที่มัดเท่านั้น”
ไป๋ถานยังไม่ทันตอบสนอง กู้เฉิงก็หยิบเชือกมาคล้องตัวนางแล้ว
อู๋โก้วตระหนกจนปัดเตาต้มน้ำชาพลิกคว่ำ นางรีบร้อนจะตรงมาช่วยเหลือ ทว่าเพียงถูกซือหม่าจิ้นปรายตามองเพียงผ่านๆ ก็ทำให้นางตื่นตกใจจนจังหวะก้าวชะงักกึก พอได้สติคืนมา ไป๋ถานก็ถูกเขาช้อนร่างขึ้นแล้วเดินออกจากประตูไปโดยไม่หยุดยั้งฝีเท้าแล้ว