ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด
บทที่ห้า
จุดประสงค์ของซือหม่าจิ้นเรียบง่ายยิ่ง นั่นคือกลับเมืองหลวง เดิมทีเขาก็วางแผนจะกลับเมืองหลวงมาตลอด อย่างไรเสียอยู่ที่ใดก็มิอาจมีอิสระเทียบจวนอ๋องของเขาได้
การปรากฏตัวของไป๋หยั่งถังในวันนี้สร้างจุดเปลี่ยนให้แก่เขาพอดี ไม่ผิดจากที่เขาคาดคิด ในเมืองหลวงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาย่อมต้องฉวยโอกาสนี้เพื่อกลับไป
ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยไป๋ถานอย่างน่าประหลาด ราวกับเชื่อมั่นว่านางจะสามารถอบรมตนให้ดีขึ้นได้ ไม่มีทางเลือก เขาจะกลับไปก็ต้องพาไป๋ถานไปด้วย
ยามที่ไป๋ถานถูกยัดใส่เข้าไปในรถม้า ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ฉีเฟิงซึ่งบังคับรถอยู่ด้านนอกถูกเหตุการณ์ช่วงบ่ายทำเอามึนงงไปทีเดียว ยามนี้พอได้ยินว่าจะกลับเมืองหลวงจึงปลุกความคึกคักของตนเองคืนมาได้ทันทีพลางเงื้อแส้ม้าร้อง ‘ย่าห์!’ อย่างเบิกบานใจ
ซือหม่าจิ้นกับไป๋ถานนั่งอยู่ด้วยกัน เป็นเพราะเดิมเขาก็เป็นคนแขนขายาวอยู่แล้ว ประกอบกับห้องโดยสารแห่งนี้คับแคบ ไป๋ถานจึงแทบจะพิงร่างครึ่งซีกอยู่บนลำตัวของเขา นางจึงทั้งขุ่นเคืองทั้งร้อนใจ “ท่านอ๋องจะกลับเมืองหลวงก็พูดกันตรงๆ เถิด ไยถึงปฏิบัติต่ออาจารย์เช่นนี้ การกล่อมเกลาจิตใจช่วงที่ผ่านมาช่างเสียแรงเปล่าโดยแท้!”
ซือหม่าจิ้นหาได้สะทกสะท้านไม่ “พูดตรงๆ อาจารย์ย่อมปฏิเสธ ข้าชอบวิธีที่รวบรัดเช่นนี้มากกว่า”
ไป๋ถานอยากถกเถียงเหตุผลกับเขา ทว่าพอหันหน้าไปก็ได้กลิ่นกายของอีกฝ่ายซึ่งปะปนด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของยา นางจำได้ว่าคราวก่อนก็เคยได้กลิ่นนี้ ตอนนั้นบนร่างเขามีบาดแผล นางจึงไม่ได้ใส่ใจ แต่นี่ผ่านมาหลายวันปานนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าเขาได้แผลใหม่มาเพิ่มหรอกหรือ
ช่างสมกับเป็นพวกเลียเลือดบนคมดาบ* นางคิดไปคิดมาจึงกลืนถ้อยคำซึ่งมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้วกลับลงไป หลีกเลี่ยงการปะทะกับเขาชั่วคราวก่อนเป็นยอดดี
“อาจารย์ยังจำเรื่องเมื่อคราวนั้นได้หรือไม่” ซือหม่าจิ้นพลันเอ่ยปากอยู่ข้างใบหน้าของนางนี่เอง “มีอยู่ครั้งหนึ่งทัพกบฏแฝงตัวเข้าเมืองอู๋มาค้นหาข้า พวกเราสองคนต่างซ่อนตัวอยู่ด้วยกัน รูปการณ์แทบไม่ต่างจากตอนนี้”
“เอ๋?” ไป๋ถานขบคิด “…ดูเหมือนจะมีเรื่องเช่นนี้”
แท้จริงนางจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว อย่างไรเสียช่วงนั้นนางก็ต้องคอยหลบซ่อนตัวอยู่เสมอจนเป็นเรื่องธรรมดาไม่ต่างกับอาหารที่กินอยู่ทุกมื้อ ยามนี้เมื่อใต้หล้าสงบสุขแล้ว ผู้ใดจะตั้งใจไปหวนระลึกถึงฝันร้ายในช่วงนั้นกันอีกเล่า
นางคลี่ยิ้มกลบเกลื่อน “ความจำของท่านอ๋องดียิ่งนัก”
สายตาของซือหม่าจิ้นจับจ้องอยู่บนดวงหน้าด้านข้างของนางราวกับได้กลิ่นของคาวเลือดในช่วงเวลานั้น ตอนนั้นเขาถูกนางดันร่างเข้าไปในกองฟืน เจ็บปวดไปทั้งตัวจนเผลอเปล่งเสียงออกมาเล็กน้อย นางพลันหันขวับพร้อมโถมร่างมาเอามือปิดปากเขาไว้ ดวงตาสองคู่ซึ่งแทบจะแนบชิดติดกันล้วนเผยอาการตกตะลึงระคนหวาดหวั่น
เขายังจำได้ว่าต่อมาเพราะถูกนางปิดปากแน่นจนอึดอัด เขาจึงดึงมือของนางมากุมเอาไว้ มือเล็กซึ่งนุ่มนิ่มและเย็นเฉียบนั้นค่อยๆ อุ่นขึ้นในฝ่ามือของเขา นางเอาแต่สมาธิจดจ่อเพ่งมองความเคลื่อนไหวที่ด้านนอกโดยตลอดจึงไม่ทันคิดจะสลัดมือออก
บัดนี้เมื่อมองดูมือทั้งคู่ของตนอีกครั้ง มันกลับถูกโลหิตสดๆ แทรกซึมไปทุกอณู ปราศจากไออุ่นที่จะให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่นได้อีกแล้ว
เดิมเขาก็นึกว่าตนจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปแล้ว ทว่ายามที่ได้อยู่กับนางกลับสะกิดภาพในอดีตขึ้นมาเสมอ บางทีความจำของเขาอาจดีเกินไปจริงๆ
รถม้าเข้าเมืองมาทันเวลาห้ามออกนอกเคหสถานพอดี
เมื่อเข้ามาในจวนอ๋องแล้วไป๋ถานจึงถูกแก้มัด สาวใช้กลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาห้อมล้อมแล้วพานางไปพักผ่อนที่ห้อง ทั้งปรนนิบัติด้วยน้ำชาดีอาหารเลิศรส ถึงนางอยากจะโกรธเพียงใดก็ยังต้องข่มกลั้นไว้ก่อน
กู้เฉิงได้รับคำสั่งจากผู้เป็นนายให้มาคอยเฝ้าอยู่ด้านข้างไป๋ถาน หลังจากยืนเหลอหลาเป็นนานสองนานถึงได้เอ่ยโน้มน้าวนางหนึ่งประโยค “คนบนภูเขาตงซานล้วนเป็นศิษย์ของคุณหนู ท่านอ๋องก็เช่นเดียวกัน คุณหนูก็ดีกับท่านอ๋องของข้าสักหน่อยเถิด อยู่รับรองให้นายข้าที่นี่สักหลายวันจะเป็นอะไรไปเล่า พักให้สบายใจก่อนแล้วกัน”
ไป๋ถานกำลังกินอาหาร เมื่อได้ยินคำพูดของกู้เฉิงก็หวุดหวิดจะสำลักข้าวตาย
ถูกพวกเจ้าจับตัวมาจนไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแล้ว ยังเรียกว่าข้าไม่ดีต่อนายเจ้าอีกหรือ ยังรู้จักเหตุผลกันอยู่หรือไม่!
อย่างไรเสียนางก็เป็นครูบาอาจารย์ ความอดทนย่อมจะมีแน่นอน ไป๋ถานแม้หงุดหงิดแต่ก็ไม่กังวลเท่าไรนัก ซือหม่าจิ้นมิใช่ฉีเฟิง ต่อให้ฝีมือโหดเหี้ยมเพียงใดก็ไม่มีทางไร้สมองเช่นนั้น อยู่ที่นี่อย่างมากก็แค่สองสามวัน รอให้ทางด้านฝ่าบาทผ่อนคลายลงเมื่อไร ทันทีที่เขามีอิสระแล้วย่อมจะปล่อยนางไปเอง
อย่างมากต่อจากนี้ขอเพียงนางไม่ไปยุ่มย่ามกับเขาอีก เขาอยากจะทำเรื่องชั่วร้ายต่อไปอย่างไรก็เชิญเลย นางไม่ต้องการชื่อเสียงอันใดแล้ว หากทุกคนหาว่านางเป็นผู้สอนเขาให้ออกมาเป็นเช่นนี้ก็ให้เป็นไปตามนั้นเถิด นางเพียงอยากจะกลับภูเขาตงซานเท่านั้น
หนังสือรับรองที่ยามนั้นเขียนอย่างต่อเนื่องลื่นไหลยังคงเก็บอยู่ที่ฝ่าบาท ดังนั้นการตัดสินใจนี้ของไป๋ถานทำไปด้วยความเจ็บแค้นเพียงใดแค่นึกดูก็รู้ได้ เจ็บแค้นเสียจนนางกินข้าวสวยเพิ่มอีกชามเลยทีเดียว
หลังกินเสร็จอารมณ์ของไป๋ถานก็พลันสงบตาม นางสั่งให้กู้เฉิงไปแจ้งอู๋โก้วที่ภูเขาตงซานสองสามประโยค เนื่องจากซือหม่าจิ้นไม่รู้ว่าอู๋โก้วเป็นเด็กซื่อคนหนึ่ง จู่ๆ อุ้มคนออกจากประตูมาต่อหน้าเช่นนั้นไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายจะสติแตกเพียงใด
เมื่อกู้เฉิงออกไปข้างนอก นางตัดสินใจจะพักออมแรงก่อนแล้วค่อยไปถกเหตุผลกับซือหม่าจิ้น ด้วยเหตุนี้เพียงศีรษะถึงหมอนนางก็นอนหลับไปทันที
ฉีเฟิงยังจงใจมาเดินเตร่รอบหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อได้ยินว่านางกินข้าวไปถึงสองชามซ้ำยังหลับสนิทนอนสบาย มุมปากเขาก็สั่นกระตุกระลอกหนึ่ง
ท่าทางบอบบางตอนที่เขาลักพาตัวนางมาในทีแรกช่างเสแสร้งได้น่าสงสารยิ่งนัก หากเขาค้นพบแต่แรกว่าที่จริงในตัวนางมีเนื้อแท้เป็นเช่นนี้ เขาคงไม่ถึงขั้นถูกนางดัดหลังเอาหรอก
น่าแค้นใจนัก เช่นนี้บัญชีที่เขาต้องกลิ้งไปมาคราวนั้นเมื่อไรถึงจะได้ชำระคืนเล่า!
วันรุ่งขึ้นไป๋ถานตื่นเช้าเป็นพิเศษ สิ่งแรกที่นางทำคือต้องรีบล้างหน้าบ้วนปากเพื่อเตรียมตัวเข้าสอน ผลคือพอลุกจากเตียงแล้วสาวใช้หนึ่งแถวก็โผล่ออกมาจากด้านข้างโดยพร้อมเพรียง นางถึงค่อยจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้
ทันทีที่จำได้นางก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กาย ช่วงบ่ายถูกบิดาจับมัด ตกเย็นยังถูกศิษย์มัดอีกครั้งหนึ่ง คาดว่าใต้หล้านี้นางคงจะเป็นคนแรกแล้ว
“ท่านอ๋องของพวกเจ้าอยู่ที่ใด”
ทุกคนพร้อมใจกันสั่นศีรษะ
“เช่นนั้นกู้เฉิงกับฉีเฟิงเล่า”
ทุกคนยังคงสั่นศีรษะ
ไป๋ถานอับจนถ้อยคำ
อยู่ที่นี่ก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำ ยังดีว่าในห้องพักแขกที่นางพำนักอยู่นี้มีภาพอักษรจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีแบบคัดอักษรของเว่ยฮูหยิน* กับตำราทำนองเพลงโบราณอีกหลายเล่มพอให้นางใช้เป็นสิ่งฆ่าเวลาเฉพาะหน้าได้
จวบจนหลังเที่ยงแล้วนางก็ยังไม่เห็นตัวซือหม่าจิ้น ไป๋ถานแสร้งทำทีเดินเล่นอยู่ในลานพลางขบคิดว่าจะลอบหนีกลับภูเขาตงซานได้หรือไม่ ทว่าน่าเสียดายที่ทั้งประตูหน้าและหลังล้วนมีการเฝ้าคุมเข้มงวดยิ่ง
มีฐานะก็ดีเช่นนี้เอง ไหนเลยจะเหมือนเรือนพักของนาง เรียกว่าคนนอกล้วนไปมากันได้ตามใจปรารถนา นางในฐานะเจ้าของเรือนยังถูกคนจับมัดจนสิ้นอารมณ์โกรธแล้วด้วยซ้ำ
จวนแห่งนี้แม้ในยามกลางวันยังพอมีทิวทัศน์ให้ชมอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่พื้นที่กลับโล่งกว้างเกินไปจึงดูไร้ชีวิตชีวา ไป๋ถานพลันนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ไป๋ต้งเคยบอกนางว่าซือหม่าจิ้นนิยมกำนัลเครื่องประดับจากกระดูกคนแก่นางบำเรอ หากมีใครที่ไม่ใส่ก็จะถูกฆ่า ไม่แน่ว่าอาจมีร่างของพวกนางฝังอยู่ใต้ต้นไม้สักต้นในที่นี้ก็เป็นได้
พอนึกเช่นนี้แผ่นหลังของไป๋ถานก็พลันเย็นวาบ นางหมุนร่างเตรียมเดินหนี พอดีเห็นเกาผิงเดินมาตามระเบียงทางเดินเสียก่อน
“คุณหนูอยู่ที่นี่จริงเสียด้วย” เขาประสานมือคำนับ “ฝ่าบาททรงได้ยินว่าหลิงตูอ๋องกลับจวนแล้วจึงรับสั่งให้ข้าน้อยมาดูโดยเฉพาะ คุณหนูเขียนหนังสือรับรองว่าจะพาท่านอ๋องไปกล่อมเกลาจิตใจที่ภูเขาตงซานมิใช่หรือ เหตุใดกลับมาอยู่ที่นี่ได้เสียเล่า”
ไป๋ถานได้แต่ตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จ “จะให้ท่านอ๋องเดินสู่วิถีทางที่ถูกต้องหาใช่เรื่องทำได้ภายในวันสองวันไม่ เขาเป็นเพียงปุถุชนจึงยากจะใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกภายนอก ทั้งอาศัยอยู่บนเขาก็ไม่สะดวกอยู่หลายประการ อย่างไรทุกสิ่งล้วนถือเป็นการฝึกฝน เขากลับเมืองหลวงก็สามารถกล่อมเกลาจิตใจได้เช่นเดียวกัน ข้าย่อมจะอยู่ข้างเขาคอยเร่งรัดควบคุมให้มากขึ้น”
เฮ้อ…พูดกับตนเองเสียดิบดีว่าจะไม่ยุ่งยากกับเขาอีกแล้วไม่ใช่หรือ!
เกาผิงถูกนางกล่อมเสียอยู่หมัด “คุณหนูมีทัศนะเหนือผู้อื่น ข้าน้อยฟังแล้วละอายยิ่งนัก”
ไม่ๆ ข้าละอายยิ่งกว่าท่านเสียอีก ไป๋ถานลอบมองฟ้า
เกาผิงมาเยือนแล้ว ไป๋ถานจึงรู้สึกว่าภารกิจของตนเองได้เสร็จสิ้นลง ไม่มีเหตุผลที่นางจะรั้งอยู่ต่อแล้วจริงๆ
ทว่านางยังคงไม่ได้พบซือหม่าจิ้นอยู่นั่นเอง
กระดาษขาวที่อยู่บนโต๊ะเขียนเต็มไปด้วยอักษร ‘เจิ้ง’** นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าพรุ่งนี้จะได้พบซือหม่าจิ้นหรือไม่นางก็จะกลับ การสอนนี้จะลากยาวต่อไปอีกไม่ได้
บัดนี้เป็นช่วงปลายฤดูสารท สายลมยามราตรียิ่งหนาวยะเยือก ในเมื่อเตรียมจะกลับในวันพรุ่งนี้แล้ว ไป๋ถานย่อมรีบพักผ่อน ทว่านางเพิ่งตั้งท่าจะเอนกายลงนอน ประตูห้องกลับถูกผลักเปิดในฉับพลัน
ขณะที่นางรีบดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง อีกฝ่ายก็หอบลมหนาวประชิดมาถึงหน้าเตียงแล้ว
“อาจารย์นอนแล้วหรือ”
ไป๋ถานเลิกวาดหวังแล้วว่าชาตินี้จะได้เห็นเขาในด้านที่เคารพเชื่อฟังอาจารย์ นางไม่พูดไม่จาขณะกระชับสาบเสื้อแล้วเดินไปนั่งบนม้านั่งเตี้ยที่ด้านข้าง “ข้ามิใช่นั่งอยู่นี่หรอกหรือ”
“ข้าเพิ่งกลับเข้าจวน ตั้งใจมาเพื่อแจ้งอาจารย์ว่างานมงคลระหว่างท่านกับหวังฮ่วนจือล้มเลิกไปแล้ว”
ไป๋ถานตะลึงงัน “หมายความว่าอย่างไร”
ซือหม่าจิ้นกล่าว “เหตุที่เมื่อวานไท่ฟู่ขึ้นเขาไปมัดตัวท่านถึงเรือนเป็นเพราะตระกูลขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงหลายสกุลกำลังผูกสมัครพรรคพวกกันอยู่ สกุลหวังหมายจะถ่วงดุลกับข้าจึงต้องการทำให้ท่านกลายเป็นคนของตน สาเหตุเรียบง่ายเพียงเท่านี้เอง ข้าย่อมไม่อาจให้ผู้อื่นมาดึงแข้งดึงขาได้ ดังนั้นจึงตีหวังฮ่วนจือพิการไปแล้ว”
ไป๋ถานเอียงศีรษะ “ท่านอ๋องบอกว่า…ทำอะไรเขานะ!”
นั่นคือคุณชายสกุลหวังแห่งหลางหยา* เชียวนะ ‘หวังและหม่า ครองใต้หล้า’ นี่เจ้ากำเริบเสิบสานเกินไปแล้วกระมัง!
ซือหม่าจิ้นหัวเราะทีหนึ่งก่อนยืดเส้นนิ้วมือ “เมื่อช่วงหัวค่ำ ตระกูลขุนนางใหญ่หลายสกุลนำทหารในสังกัดของตนออกมาต่อสู้กันในเมือง ข้าจึงยกทัพไปปราบจลาจล ก่อนจะตัดศีรษะไปยี่สิบกว่าคนแล้วพลั้งมือทำเขาพิการก็เท่านั้น เรื่องนี้ต่อให้ฟ้องร้องไปถึงหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทก็ถือเป็นความรับผิดชอบของพวกเขาเอง ข้าเพียงแต่รักษาความสงบของเมืองหลวงเท่านั้น”
“…” ไป๋ถานไร้ถ้อยคำจะตอบโต้ เพราะเขาช่าง ‘พลั้งมือ’ ได้ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน
ซือหม่าจิ้นถอดเสื้อคลุมแล้วโยนส่งๆ ไปด้านข้าง “เป็นอย่างไร อาจารย์ถูกข้ามัดมาคราวนี้ไม่เสียเปล่าแล้วกระมัง อย่างน้อยไป๋ไท่ฟู่ก็ไม่กล้าคิดที่จะเอาท่านมาเล่นงานข้าอีก”
ไป๋ถานนวดคลึงหน้าผากตนเอง รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง “ท่านอ๋องช่างพิเศษไม่เหมือนใครเสียจริง คนเป็นอาจารย์ของท่านคงไม่กล้าออกเรือนตามใจชอบแล้ว”
ซือหม่าจิ้นมองนางเล็กน้อย “วาจานี้พูดได้ถูกต้องยิ่ง อย่างไรเสียคนที่ข้าล่วงเกินก็นับว่ามีจำนวนมาก ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากกดข่มข้าไว้ทั้งสิ้น ดังนั้นหากวันหน้าอาจารย์จะออกเรือนก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากข้าก่อนถึงจะออกเรือนได้”
ประเสริฐแท้ นอกจากบิดาของนาง ตอนนี้ยังมีคนห่วงใยเรื่องแต่งงานของนางเพิ่มอีกคนแล้ว
ซือหม่าจิ้นพูดจบก็หมุนกายเดินไปทางประตู ไป๋ถานลุกขึ้นไปส่งแขก ในใจคิดว่าไหนๆ ก็จะสลัดมือเลิกยุ่งกับเขาแล้ว เช่นนั้นเอ่ยเรื่องกลับภูเขาตงซานในวันพรุ่งนี้เสียเลยแล้วกัน ทว่าจู่ๆ นางกลับเห็นเขาพลันงอเอวแล้วใช้มือยึดจับวงกบประตูเพื่อทรงกายไว้
“ท่านอ๋องบาดเจ็บหรือ” นางตรงไปพยุงเขาด้วยเจตนาดี จากนั้นมือของนางก็พลันถูกซือหม่าจิ้นคว้าไปพร้อมกับที่เขาทิ้งน้ำหนักตัวลงมาส่วนหนึ่ง นางพลันตระหนกวูบ มือของเขาร้อนลวกราวกับจุ่มแช่ในน้ำเดือดมาอย่างไรอย่างนั้น
หรือจะเป็นเพราะโกรกลมหนาวนานเกินไปจนเป็นไข้? ไป๋ถานไม่รอช้าตั้งท่าจะออกไปเรียกคน “ท่านอ๋องอดทนอีกสักนิด อาจารย์จะเร่งไปตามหมอมาให้”
ซือหม่าจิ้นออกแรงบีบมือไป๋ถานยับยั้งการเคลื่อนไหวของนาง “ไม่…ไม่ต้อง ปิดประตู”
เขายืมแรงจากนางเพื่อทรงกายยืนตรง ทว่าดูเหมือนสองขาจะไม่อาจใช้แรงได้ หลังทดลองอยู่หลายหนแล้ว สุดท้ายก็ทำได้เพียงพิงร่างอยู่ข้างประตูพลางหายใจหอบแผ่ว มือข้างหนึ่งยังคงกุมนิ้วมือของนางแนบแน่นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลอันน่าตระหนก
แม้รู้สึกว่ามือของตนใกล้จะพิการอยู่รอมร่อ แต่ไป๋ถานก็ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ อย่างไรเสียท่าทางของเขาในยามนี้ก็แลดูทุกข์ทรมานสุดแสน นางจึงได้แต่ปิดประตูตามความต้องการของเขา
ซือหม่าจิ้นยันหน้าผากกับหลังประตู เขากัดฟันแน่นจนเกิดเสียงดังกรอด จากนั้นพลันเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ลองเล่าเรื่องสักเรื่องเพื่อมาดึงสมาธิของข้าที”
ไป๋ถานชะงักกึกก่อนจะรีบเค้นสมองเล่าตำนานสั้นๆ ที่เคยเล่าให้เหล่าศิษย์ฟังในชั้นเรียน
ซือหม่าจิ้นสั่นสะท้านเบาๆ ไปทั้งร่าง ก่อนค่อยๆ ไหลรูดลงไปนั่งแล้วเอ่ยปากถาม “ไม่มีเรื่อง…ชวนขันหน่อยหรือ”
ชวนขัน? ไป๋ถานได้แต่หลับตาพยายามขบคิดแล้วเล่าให้เขาฟังใหม่อีกเรื่อง
“เป็นอย่างไร ดีขึ้นบ้างหรือยัง” นางสอบถามอย่างระมัดระวัง
ซือหม่าจิ้นช้อนตาทั้งคู่มองนาง คงเพราะถูกเขาทำให้ตกใจ ดวงหน้าใต้แสงไฟจึงซีดเผือดไร้สีเลือด ทว่าดวงตาของนางยังคงจับจ้องเขาไม่ละวาง ลูกตาของนางกลอกไปมา ไม่เหลือท่าทีของผู้เป็นอาจารย์ในยามปกตินานแล้ว
เขาพลันตระหนักได้ว่าเหตุใดตนเองจึงมักถูกนางสะกิดภาพในอดีตขึ้นมาเสมอ นั่นเพราะสีหน้าท่าทางของนางในบางครั้งแทบจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนเลย
อากัปกิริยาที่นางไม่ได้ตั้งใจนี้กลับสลักชัดอยู่ในหัวใจของเขา
ไป๋ถานเล่าตำนานต่อเนื่องอีกหลายเรื่อง บ้างลึกซึ้งบ้างขบขัน ทว่าซือหม่าจิ้นล้วนไม่ส่งเสียง ทำเพียงจ้องนางตาเขม็งพร้อมหอบไม่หยุด ไม่รู้ว่าที่แท้ฟังเข้าหูไปบ้างหรือไม่
นางจนแต้มแล้ว จะให้นางเล่าเรื่องตลกสัปดนคงไม่ได้หรอกนะ! นางเล่าไม่เป็นสักหน่อย ตามซีชิงมายังพอว่า
จวบจนกระทั่งมือของไป๋ถานใกล้จะหมดความรู้สึกอยู่แล้วนั้น ในที่สุดซือหม่าจิ้นก็พลันหยุดหอบ ทั้งร่างก็ผ่อนคลายลง เสื้อด้านหลังเปียกชุ่ม
“ท่านอ๋องไม่ต้องตามหมอมาตรวจดูจริงๆ หรือ” ไป๋ถานชักมือออกมานวดคลึงเบาๆ เขาลงมือหนักเสียจริง นางเจ็บราวกับถูกแทงหัวใจเลยทีเดียว
“ซีชิงจะมารักษา” ความร้อนในร่างกายซือหม่าจิ้นกำลังลดลงเรื่อยๆ สีแดงจัดซึ่งระบายอยู่บนดวงหน้าก็อ่อนจางลงทีละน้อย เขาชำเลืองมองมือของนางแวบหนึ่ง “เรื่องนี้ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ ขออาจารย์โปรดเก็บเป็นความลับด้วย”
ในใจไป๋ถานอดไม่ได้ที่จะคิดคำนวณ “เช่นนั้นอาจารย์จะได้ประโยชน์อันใดเล่า”
ซือหม่าจิ้นแหงนศีรษะพิงประตูแล้วหลับตา หยดเหงื่อบนปลายคางดุจไข่มุกกลิ้งผ่านลูกกระเดือกก่อนจะร่วงลงไปในสาบเสื้อ “นับจากนี้ไป ข้าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อย่างแน่นอน ไม่ตระบัดสัตย์เป็นอันขาด”
ไป๋ถานนึกไม่ถึงจริงๆ เพียงแค่เจ็บป่วยเท่านั้น ไยเขาต้องห่วงหน้าตาตนเองถึงเพียงนี้ แม้จะผิดที่เขาปิดบังไม่ตามหมอมารักษาในทันที ทว่าสำหรับนางกลับเป็นโอกาสงามที่หาได้ยากยิ่ง
“เช่นนั้นเห็นทีว่าอาจารย์คงสามารถเปลี่ยนชื่อแซ่เป็น ‘ได้คืบจะเอาศอก’ แล้วสินะ”
ยามที่ซีชิงหลบเข้าจวนหลิงตูอ๋องมาทางประตูหลัง ฟ้ายังไม่ทันสว่าง
ฉีเฟิงซึ่งถือโคมรอรับเขาอยู่หน้าประตูหนาวจนถูมือไม่หยุด “คุณชายซีเหตุใดคราวนี้ถึงมาช้าไปหนึ่งวันเล่า ไม่ใช่ข้าต่อว่าเจ้านะ แต่เจ้าเกียจคร้านกว่าแต่ก่อนแล้วจริงๆ”
ซีชิงไม่ได้พาลูกมือมาด้วย เขาสะพายล่วมยาอันหนักอึ้งด้วยตนเอง สองมือสอดอยู่ในแขนเสื้อ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้ามีหนทางเสียเมื่อไร ตกค่ำท่านอ๋องคนดีของเจ้าซ้อมคุณชายสกุลหวังปางตาย อัครเสนาบดีหวังจึงลากข้าไปที่จวนของเขากลางดึก กระทั่งกางเกงข้ายังเกือบใส่ไม่ทัน จะมีเวลาว่างมาที่นี่ได้อย่างไรเล่า”
ฉีเฟิงผู้กระตือรือร้นกับเรื่องซุบซิบทุกประเภทรีบซักถามทันใด “แล้วคุณชายหวังนั่นตายหรือยัง”
“เจ้าหลอกด่าข้าสินะ มีข้าอยู่ทั้งคนเขาจะตายได้หรือ” ซีชิงหันหน้ามุ่งสู่เรือนด้านหลังพลางเอ่ยถาม “อาการของท่านอ๋องน่าจะยังไม่กำเริบกระมัง”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้หรอก จนป่านนี้ท่านอ๋องยังอยู่ในห้องของพระโพธิสัตว์ไป๋ นี่ก็อยู่มาหนึ่งคืนเต็มๆ ได้แล้ว…” ฉีเฟิงพลันชะงักหัวข้อสนทนา เปลี่ยนมาพูดอย่างมีลับลมคมใน “หรือว่าท่านอ๋องจะ…”
ซีชิงตะลึงงันก่อนจะชักเท้าวิ่งสู่เรือนด้านหลังทันที
ประตูห้องของไป๋ถานถูกเตะเปิดในเท้าเดียว ซีชิงวิ่งหอบกระทั่งมาถึงด้านหลังฉากบังลม พบว่าซือหม่าจิ้นนอนหงายอยู่บนเตียง สองตาปิดสนิท ไป๋ถานนั่งเท้าคางอยู่ด้านข้างพร้อมขอบตาที่ดำคล้ำสองวง
“เจ้ามาได้เสียที” ไป๋ถานหน้าเซื่องซึม “ท่านอ๋องบอกว่าเจ้าจะมารักษา ข้ายังนึกว่าเขาพูดไปเช่นนั้นเอง”
ซีชิงมองนางด้วยอาการเหลือเชื่อ “เจ้าไม่เป็นไรเลยหรือ ตอนที่ท่านอ๋องอาการกำเริบจะดุร้ายมาก แค่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ก็ไม่เลวแล้ว นี่ถึงกับยังนั่งสบายดี” เขาผลักฉีเฟิงทีหนึ่ง “เจ้าไปดูข้างนอกทีว่าใช่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไม่”
ฉีเฟิงยื่นมือมาตีมือของอีกฝ่ายออก “ฟ้ายังไม่สว่างเลย”
ไป๋ถานเผยมือซ้ายที่บวมเป่ง “ข้าไม่เห็นว่าเขาคิดจะทำอะไรข้า มีแต่มือนี่ที่ใกล้จะพิการอยู่รอมร่อแล้ว”
“นั่นนับว่าดีแล้ว” ซีชิงสาวเท้าไปที่ข้างเตียง ตรวจชีพจรให้ซือหม่าจิ้นอย่างละเอียด เปิดดูเปลือกตาของเขาก่อนเอ่ยถามนาง “เขานอนเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว”
“เพิ่งจะหลับไป ก่อนหน้านี้เขาไข้ขึ้นตลอด” ไป๋ถานรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง “นี่มันโรคอะไรกัน เขาอาการกำเริบเป็นประจำเลยหรือ”
ซีชิงเดินไปที่หลังโต๊ะ เขียนใบสั่งยาอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้ฉีเฟิง รอจนอีกฝ่ายออกจากประตูถึงค่อยกวักมือเรียกไป๋ถานมาใกล้ๆ “ท่านอ๋องคงบอกเจ้าแล้วกระมังว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ”
ไป๋ถานผงกศีรษะ “ข้าไม่ได้คิดจะแพร่งพรายออกไป เพียงสอบถามสาเหตุดูเท่านั้น”
“ยังจะมีสาเหตุอะไรได้อีกเล่า ก็เป็นโรคที่ติดตัวเขามาแต่กำเนิดน่ะสิ โรคนี้มีอาการแปลกพิกล หนึ่งปีจะต้องกำเริบสองถึงสามครั้ง ทุกครั้งที่กำเริบเขาจะดุร้ายกว่ายามปกติ ฆ่าคนหรือทำให้คนเลือดตกยางออกจนเป็นเรื่องธรรมดา คราวนี้เจ้าถึงกับไม่สึกหรอแม้เพียงเส้นผม ดูท่าเจ้าจะได้ ‘ราชโองการเว้นโทษตาย’ จากเขาจริงๆ”
ไป๋ถานสะท้านวูบไปทั้งร่าง เมื่อคืนที่เขาอดกลั้นอย่างทุกข์ทรมานปานนั้น ที่จริงเขากำลังอยากฆ่าคนอย่างนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ก็ชวนให้นางเข็ดขยาดแล้ว
“หรือว่าเขากลายมาเป็นคนโหดเหี้ยมชอบเข่นฆ่าก็เพราะโรคนี้?” ไป๋ถานชำเลืองมองเงาคนที่อยู่หลังฉากบังลมก่อนถามเสียงเบา
ซีชิงผงกศีรษะ “ประมาณนั้น”
“แต่ตอนลี้ภัยอยู่ที่เมืองอู๋เขาไม่มีวี่แววอาการกำเริบเลยนะ”
“โรคที่ติดตัวมาแต่กำเนิดก็ต้องมีปัจจัยกระตุ้นถึงจะกำเริบ บางทีเหตุการณ์ที่เมืองอู๋ตอนนั้นอาจกระตุ้นเขาก็เป็นได้” ซีชิงขยับศีรษะเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเบากว่านางเสียอีก “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าในราชวงศ์มีคนที่ผิดแปลกอยู่มากมาย ในอดีตเซี่ยวฮุ่ยฮ่องเต้* มีสติปัญญาโง่ทึบ ต่อมาอานฮ่องเต้** ก็โฉดเขลาผิดธรรมดา ตำราประวัติศาสตร์จารึกว่าอานฮ่องเต้กระทั่งฤดูกาลทั้งสี่ก็ยังแยกแยะได้ไม่ชัดเจน แม้แต่ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็ได้ยินว่าทรงเป็นโรคลับๆ ที่บอกต่อผู้อื่นไม่ได้ หลิงตูอ๋องอย่างน้อยสมองก็เป็นปกติ ด้านนั้นก็ไม่มีปัญหา แค่นี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
“…ดูเหมือนเจ้าจะพอใจในสภาพของเขามากเลยนะ”
“ใช่แล้ว”
ไป๋ถานค้อนใส่เขาวงหนึ่ง ขบคิดเล็กน้อยก่อนจะซักไซ้ “ฝ่าบาททรงเป็นโรคลับๆ จริงหรือ”
ซีชิงขึงตาใส่นาง “ข้าก็ได้ยินมาอีกที ไม่เช่นนั้นจนป่านนี้ไหนเลยจะไร้ทายาท ข้าก็ไม่เคยทดสอบเองเสียหน่อย!”
“เช่นนั้นเจ้าถือดีอะไรมาบอกว่าหลิงตูอ๋องไม่มีปัญหา เจ้าเคยทดสอบแล้วหรือ”
“เอ๋? จริงด้วยสิ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างไรเจ้าไปทดสอบดีหรือไม่”
ไป๋ถานเตะใส่อีกฝ่ายหนึ่งเท้า เขารีบกอดปลีน่องทำเป็นกระโดดโหยงสองที
ไป๋ถานคร้านจะคุยเรื่องไร้สาระกับเขาแล้วจึงอ้อมฉากบังลมไปดูซือหม่าจิ้น
ระหว่างที่นั่งเฝ้ามาทั้งคืน นางนึกทบทวนและตระหนักได้ว่าคราวก่อนในอารามเป้าผู่ ซีชิงบอกว่าไม่มีทางให้ซือหม่าจิ้นกินยาปลอมเด็ดขาด นางยังนึกว่าเขาพูดเล่นไปเช่นนั้นเอง ที่แท้นี่ก็เป็นเรื่องจริง
เช่นนั้นก็ไม่แปลกเลยที่นางมักได้กลิ่นยาบนร่างของเขา นางนึกว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขาบาดเจ็บเสียอีก
ไม่นานฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็เตรียมยาเสร็จ กู้เฉิงไปป้อนยาซือหม่าจิ้น ส่วนฉีเฟิงยืนอยู่ด้านข้างจ้องไป๋ถานตาเขม็ง
ไป๋ถานถูกเขาจ้องจนต้องลูบใบหน้า “เป็นอะไรไป ข้าดูเหมือนคนที่จะออกไปป่าวร้องว่าท่านอ๋องของเจ้ามีโรคประจำตัวหรอกหรือ ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ของข้า”
เช่นนี้เองฉีเฟิงถึงได้ถอนสายตากลับไปอย่างพึงพอใจ “ข้าเคยลั่นคำสาบานไว้ว่าจะพิทักษ์เกียรติของท่านอ๋องด้วยชีวิต เจ้ารู้กาลเทศะเช่นนี้เป็นดีที่สุด”
เฮอะ พูดราวกับท่านอ๋องของเจ้ามีเกียรติด้วย ไป๋ถานคิดในใจ
หลังกู้เฉิงป้อนยาจนหมด ซีชิงจึงตรวจชีพจรให้ซือหม่าจิ้นอีกครั้ง เขาค่อยสังเกตเห็นว่าบนแขนของซือหม่าจิ้นยังมีบาดแผลซึ่งพันไว้เพียงลวกๆ คาดว่าคงได้มาช่วงค่ำตอนปราบจลาจล ซีชิงจึงต้องหายารักษาบาดแผลมาทำแผลให้เขาใหม่
หลังวุ่นวายจนเสร็จ ทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ฉีเฟิงกับกู้เฉิงเปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศสลายกลิ่น กระทั่งบ่าวในจวนพวกเขาก็ไม่ยอมให้มีผู้ใดได้ล่วงรู้
เมื่อเห็นฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว กำลังพลที่ไปปราบจลาจลยังมีงานต่อเนื่องที่ต้องจัดสรร ทว่าซือหม่าจิ้นยังนอนอยู่ ฉีเฟิงกับกู้เฉิงจึงได้แต่ทำหน้าที่แทนแล้ว
เดิมทีพวกเขาคาดหวังว่าซีชิงจะอยู่ดูแลต่อที่นี่ ใครจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายเพียงกำชับสองสามประโยคก็ทิ้งยารักษาบาดแผลไว้ให้ไป๋ถานแล้วสะพายล่วมยาเตรียมจากไป
ฉีเฟิงไหนเลยจะยอมปล่อยซีชิง ขยุ้มแขนเสื้อเขาไว้ไม่ยอมให้ไป
ซีชิงสลัดมืออีกฝ่ายออกอย่างฉุนเฉียว “ข้าจะกลับไปนอนชดเชย!” จบคำเขาก็วิ่งเร็วรี่ออกไปนอกประตูทันที
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายต่างก็สาดสายตามาจับอยู่ที่ร่างไป๋ถานโดยพร้อมเพรียง
ไป๋ถานรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เมื่อก่อนตอนที่นางยังไม่รู้เรื่องนี้พวกเขามองนางอย่างไรกัน ไฉนนางเพิ่งจะรู้เรื่องกลับถูกใช้งานอย่างคล่องมือเช่นนี้เสียได้
สถานการณ์ที่จวนหลิงตูอ๋องก็เป็นเช่นนี้ ส่วนบนภูเขาตงซานนั้นก็ใกล้จะยุ่งเหยิงแล้วเช่นกัน
ภายหลังที่อู๋โก้วได้รับแจ้งจากกู้เฉิง แรกเริ่มนางยังสามารถเรียกให้เหล่าศิษย์น้องทบทวนตำราไปด้วยตนเองก่อนได้ ทว่านี่ก็ผ่านมาสองวันแล้วยังคงไม่เห็นอาจารย์กลับมาเสียที พวกเขาจึงชักข่มอารมณ์กันไม่ไหว
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลิงตูอ๋องมือสั่นพลั้งฆะ…”
“ไม่หรอกๆ น่าจะแค่กักบริเวณมากกว่า”
“หลังจากกักบริเวณล่ะ”
“ก็คงจะเริ่มทารุณ”
“แล้วต่อจากนั้นอีกล่ะ”
“อืม…เรื่องนี้…”
โจวจื่อขัดจังหวะความคิดเพ้อฝันของสหายร่วมชั้นอย่างหงุดหงิด “ข้าว่าพวกเจ้าใกล้จะแต่งเรื่องได้เรื่องหนึ่งแล้ว อาจารย์รู้เข้าต้องโกรธมากแน่”
แต่ละคนวางหน้าไม่สนิท เพียงแค่แสร้งทำเป็นอ่านตำราต่อ ทุกคนล้วนกลัวว่าวันหลังโจวจื่อจะเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ ก็ใครใช้ให้เขาสนิทกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวเล่า
ไป๋ต้งเดินผ่านหน้าประตู ชะโงกศีรษะเข้ามามองแวบหนึ่ง เมื่อไม่เห็นไป๋ถาน เขาจึงทักทายเหล่าศิษย์พอเป็นพิธีแล้ววิ่งตรงไปที่เรือนด้านหลังเพื่อหาอู๋โก้ว
อู๋โก้วกำลังซักผ้าอยู่ นางสลัดน้ำบนมือออกเมื่อเห็นเขามาเยือน
“พี่สาวข้าล่ะ เหตุใดหาจนทั่วแล้วก็ยังไม่พบนาง” ไป๋ต้งเดินตรงมาพลางเอ่ยถาม
อู๋โก้วมีสีหน้าไร้ความรู้สึก “ที่แท้คุณชายไป๋ยังไม่รู้หรอกหรือ อาจารย์ถูกหลิงตูอ๋องอุ้มไปที่จวน จนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลย”
“อะไรนะ!” ไป๋ต้งฟังจบก็พลันเดือดดาล “เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร”
“วันนั้นหลังจากไท่ฟู่จะมัดอาจารย์กลับไป หลิงตูอ๋องช่วยอาจารย์ไว้ จากนั้นก็มัดตัวนางแล้วพาไปเลย”
ไป๋ต้งกระทืบเท้าอย่างหัวเสีย “หากรู้แต่แรกข้าก็คงไม่จากไปหรอก ขอเพียงมีข้าอยู่ ต่อให้พวกเขาเหยียบศพข้าข้ามไปก็ต้องรั้งตัวพี่สาวไว้ให้ได้!”
อู๋โก้วเตือนสติเขาด้วยสีหน้าที่จริงจังยิ่ง “ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้เป็นอันขาด เรื่องเหยียบศพท่านข้ามไปหลิงตูอ๋องสามารถทำได้แน่นอน”
ไป๋ต้งถูกคำพูดของนางทำเอาเบื้อใบ้ไร้วาจา คิดในใจว่าเด็กนี่นับวันยิ่งไม่น่าเอ็นดูแล้ว เขาสะบัดหน้าเดินออกจากประตู ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องไปช่วยพี่สาวให้ได้
แม้จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงเพียงใด แต่ถึงอย่างไรชีวิตของพี่สาวก็สำคัญกว่า
ยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไป๋ถานแจ้งว่าซือหม่าจิ้นพักผ่อนอยู่ในห้องของนาง ให้สาวใช้ส่งสำรับอาหารเข้ามา ทว่ากลับเรียกสายตาชอบกลของคนได้ทั้งกลุ่มแทน
นางรู้สึกจนใจยิ่ง ทุกคนคิดมากเกินไปแล้ว นางไม่ได้พูดสักคำว่าสองคนพักผ่อนด้วยกัน นางกับเขาคือศิษย์อาจารย์ที่เปิดเผย เข้าใจกันหรือไม่!
ตอนนี้เองที่ด้านนอกคล้ายมีเสียงเอะอะดังมาแต่ไกล คาดว่าซือหม่าจิ้นที่อยู่บนเตียงคงถูกเสียงนั้นรบกวน เบื้องหลังฉากบังลมจึงแว่วเสียงเสียดสีแผ่วเบากับเสียงเขาระบายลมหายใจ
ไป๋ถานจุดไฟสว่าง พอหันกายไปก็สะดุ้งจนตัวโยน ซือหม่าจิ้นลุกจากเตียงแล้ว เขายืนเอามือข้างหนึ่งจับฉากบังลมพยุงกาย สาบเสื้อพลันแหวกเปิด ผิวกายบนหน้าอกถูกแสงไฟฉายส่องจนเป็นสีแดงเรื่อ
ไป๋ถานกระแอมแก้เก้อก่อนเบนสายตาไป “ท่านอ๋องฟื้นได้เสียที รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่” ขณะหยิบเสื้อคลุมมาคลุมให้เขา นิ้วมือของนางบังเอิญสัมผัสถูกผิวกายที่ข้างลำคอของเขาซึ่งยังคงร้อนลวกอยู่จึงเอ่ยด้วยความตระหนก “เหตุใดยังมีไข้อยู่อีก”
“ทุกครั้งอาการจะกำเริบกลับไปกลับมาเช่นนี้ อาจารย์ไม่ต้องตื่นตกใจไป” ซือหม่าจิ้นสุ้มเสียงแหบพร่า ใบหน้าเริ่มปรากฏสีแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้ง เขาพลันออกแรงกำหมัดแล้วมุ่งหน้าไปทางประตู
“ท่านอ๋องจะไปที่ใด” ไป๋ถานร้องเรียกเขา “ซีชิงกำชับไว้ว่าอาการของท่านตอนนี้จำเป็นต้องพักฟื้น”
“แล้วซีชิงได้กำชับหรือไม่ว่ายามที่อาการของข้ากำเริบจะดุร้ายผิดธรรมดา” ซือหม่าจิ้นหันหน้ามาพร้อมสายตาซึ่งต่างจากยามปกติอย่างยิ่ง “ข้าไม่ทรมานเท่าเมื่อคืนตอนกำเริบใหม่ๆ แล้ว แต่ถ้าหาความบันเทิงสักเล็กน้อยก็คงจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้”
ไป๋ถานรู้สึกว่ากระทั่งสองตาของเขาก็เริ่มแดงแล้ว หากปล่อยไปท่าจะไม่ดีเป็นแน่แท้ นางรีบก้าวตรงไปรั้งแขนเสื้อของเขาไว้ “ท่านอ๋องตั้งใจจะหาใครสักคนแล้วเอาชีวิตเขาหรืออย่างไร”
“ข้าไหนเลยจะกระทำเช่นนั้น ในจวนนี้คุมขังคนที่ชั่วช้าสามานย์ไว้กลุ่มหนึ่ง คนที่ยังไม่ถูกเล่นสนุกถึงตายก็พอมีอยู่ การได้ทรมานพวกมันทีละนิดไม่เพียงทำให้ข้าเบิกบานสำราญใจ ยังได้ผดุงคุณธรรมแทนฟ้า ไยข้าจะไม่ยินดีกระทำเล่า” พอเขาขยับเท้า แขนก็ถูกไป๋ถานคว้าจับไว้ทันที
“ในเมื่อเป็นคนที่ชั่วช้าสามานย์ก็สมควรส่งมอบให้ทางการลงโทษตามอาญาบ้านเมืองมิใช่หรือ ท่านอ๋องจะละเลยกฎหมายเข่นฆ่าทารุณคนตามอำเภอใจได้อย่างไร”
ร่างกายของซือหม่าจิ้นเริ่มสั่นสะท้านและทวีความรุนแรงจนยากจะควบคุม เขาพลันพลิกมือยึดกุมข้อมือของนางไว้
มือที่บาดเจ็บของไป๋ถานยังไม่ทันได้ทายา ทันทีที่ถูกสัมผัสอีกครั้งจึงเจ็บปวดสาหัสดุจถูกแทงหัวใจซ้ำสอง นางเซถอยหลังติดกันหลายก้าวจนชนฉากบังลมพลิกคว่ำ แผ่นหลังกระแทกพื้นล้มไม่เป็นท่า
ซือหม่าจิ้นพลอยถูกฉุดล้มมาอยู่ข้างกายไป๋ถานด้วยเช่นกัน พอพลิกร่างมาเห็นสีหน้าของนาง เขากลับเผยรอยยิ้ม “อาจารย์ ข้าไม่อยากจะทำร้ายท่านเลยจริงๆ ท่านเองก็อย่าได้เผยสีหน้าเช่นนี้ นั่นมีแต่จะทำให้ข้าอดกลั้นไม่ไหว”
ร่างครึ่งซีกถูกเขาทาบทับอยู่ ไป๋ถานกดข่มความเจ็บปวดนี้ไว้พลางปั้นสีหน้าเป็นปกติ “ท่านอ๋องผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน แค่อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะไม่อาจเอาชนะได้เชียวหรือ”
“อาการเจ็บป่วยเล็กน้อย? อาจารย์มาลิ้มลองรสชาตินี้ดูบ้างดีหรือไม่…” ซือหม่าจิ้นหายใจหอบ ขณะยันกายขึ้นบาดแผลบนแขนเขาพลันปริแยก เลือดสดๆ ไหลออกมา เขาคิดจะดึงผ้าพันแผลออกทว่ากลับถูกไป๋ถานกดไว้อย่างมือไวตาไว เลือดหลายหยดจึงไหลผ่านร่องนิ้วแล้วร่วงเผาะลงบนใบหน้าของนาง
ไป๋ถานแทบจะกัดฟันด้วยความขุ่นแค้นนิดๆ “ท่านอ๋องรับปากเองมิใช่หรือว่าจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ ตอนนี้อาจารย์สอนว่าไม่อาจเข่นฆ่าทารุณผู้อื่นได้ หรือว่าท่านอ๋องจะตระบัดสัตย์?”
ซือหม่าจิ้นไม่ได้ขานตอบ เขาพลันสิ้นแรงฟุบอยู่บนร่างนาง
ไป๋ถานถูกทับจนหายใจติดขัด เพียงรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรุนแรงกับความร้อนทั่วร่างของเขา กลิ่นยาคละเคล้ากับกลิ่นคาวเลือดวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก ใบหน้าของเขาซึ่งแนบชิดอยู่ด้านข้างถูกยกขึ้นช้าๆ เขาเพ่งมองนางด้วยสายตาอันลุ่มลึกชวนให้ผู้อื่นถลำลงไป
ไป๋ถานประหวั่นลนลานนิดๆ อย่างไรเสียคนเรายามตกอยู่ในห้วงอันทุกข์ทรมาน ไม่ว่าสิ่งใดล้วนสามารถทำได้ทั้งสิ้น
ดวงหน้าของซือหม่าจิ้นประชิดเข้ามาทุกขณะ ลมหายใจพลันหนักหน่วง นิ้วมือจับอยู่ที่ลำคอของนาง
ไป๋ถานมือเท้าเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ในใจคิดหาวิธีรับมือนับไม่ถ้วน ทว่าปากกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ทันใดนั้นใบหน้าของนางพลันร้อนวาบ ซือหม่าจิ้นใช้ลิ้นเลียหยดเลือดที่อยู่บนหน้าของนาง “ข้าน้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอนของอาจารย์” ช่างคล้ายสัตว์ดุร้ายที่กินอิ่มแล้วเอ่ยวาจาอันน่าฟังยิ่ง
แต่ไป๋ถานกลับนิ่งงันเป็นไก่ไม้*
ตอนนี้เองไป๋ต้งเพิ่งจะบุกมาถึงหน้าประตู ทว่ากลับถูกฉีเฟิงกับกู้เฉิงไล่ตามมากระหนาบซ้ายขวาแล้วหิ้วปีกลากเขาออกไปเบื้องนอก ไป๋ต้งทันเหลือบมองเข้าไปในห้องเพียงแวบเดียว แต่พริบตานั้นเขาคล้ายดั่งถูกสายฟ้าฟาด ภาพที่เขาเห็นคือซือหม่าจิ้นทาบทับอยู่บนร่างพี่สาวของตน
“พวกเจ้าปล่อยข้านะ ข้าจะไปแลกชีวิตกับซือหม่าจิ้น!”
ฉีเฟิงกับกู้เฉิงเห็นอีกฝ่ายอารมณ์พลุ่งพล่านถึงเพียงนี้จึงพร้อมใจกันหันขวับมองเข้าไปในห้อง จากนั้นต่างยืนตะลึงตาค้างไปทันที
ไป๋ถานได้ยินเสียงน้องชายแล้ว ทว่าไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ ซือหม่าจิ้นซึ่งฟุบอยู่บนร่างของนางก็ค่อยๆ หายใจสม่ำเสมอคล้ายหลับใหลไปแล้ว
เสียงฝีเท้าที่ด้านนอกเคลื่อนไกลออกไปเรื่อยๆ ครู่เดียวก็ไม่ได้ยินเสียงร้องของไป๋ต้งอีก เขาคงถูกจับโยนออกนอกประตูไปแล้วเป็นแน่
ฉีเฟิงย้อนกลับมารวดเร็วกว่าใคร เขารีบพยุงร่างซือหม่าจิ้นขึ้นไปบนเตียง เช่นนี้เองไป๋ถานถึงค่อยหายใจได้ทั่วท้อง ก่อนที่นางจะคลานขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้า
ไม่นานนักซีชิงซึ่งนอนชดเชยอิ่มแล้วก็ครวญเพลงพลางย่ำแสงสนธยามาตรวจติดตามอาการ ทันทีที่เข้าประตูมาเขาก็นิ่งงันไป
บนพื้นคือฉากบังลมซึ่งล้มเสียหาย บนฉากยังทิ้งคราบเลือดซึ่งแห้งกรังเป็นสีน้ำตาล ซือหม่าจิ้นนอนอยู่บนเตียง ไป๋ถานนั่งอยู่หลังโต๊ะ มือหนึ่งประคองเอว อีกมือหนึ่งปิดหน้า
“นี่เกิดอะไรขึ้น” เขารีบเดินมุ่งไปที่เตียง ถามพลางเลิกแขนเสื้อซือหม่าจิ้นขึ้นเตรียมตรวจชีพจร
ดวงตาทั้งคู่ของซือหม่าจิ้นเบิกขึ้นในฉับพลัน “รักษาอาจารย์ก่อนเถิด”
ซีชิงสะดุ้งโหยง “ท่านอ๋อง นี่ท่านมิใช่มีสติแจ่มใสดีหรอกหรือ เหตุใดอาละวาดรุนแรงเช่นนี้ได้”
ซือหม่าจิ้นเบือนหน้าไปมองไป๋ถานโดยไม่พูดไม่จา คาดว่าอาการกำเริบคงผ่านพ้นไปแล้วเขาจึงเยือกเย็นลงมาก
ซีชิงได้แต่ไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ไป๋ถานก่อน ยามที่เขาเลิกแขนเสื้อของนางขึ้นก็มองเห็นเรียวแขนจรดหลังมือล้วนเต็มไปด้วยรอยสีม่วงเขียวแล้ว เขาก็ไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด ถึงอย่างไรเมื่อเปรียบนางกับหลายคนที่ผ่านมาก็ล้วนดีกว่ามากนัก
นอกจากรอยแผลเหล่านั้นแล้ว ส่วนอื่นบนเรียวแขนของนางล้วนขาวผุดผาดดุจรากบัวอ่อนๆ ขณะที่ฉีเฟิงรอชมอยู่ด้านข้างอย่างคึกคักก็พลันได้ยินซือหม่าจิ้นเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ซีชิงเป็นหมอ เจ้าเป็นอะไร ชายหญิงต้องรักษาระยะห่าง แค่นี้ก็ไม่รู้หรือ ไสหัวออกไป!”
ฉีเฟิงรีบวิ่งออกจากประตูพร้อมเหงื่อเย็นที่แตกพลั่กเต็มแผ่นหลัง ท่านอ๋องของเขามีความคิดเรื่องชายหญิงต้องรักษาระยะห่างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อครู่เป็นท่านอ๋องที่ทาบทับผู้อื่นอยู่ด้วยซ้ำ เช่นนั้นไม่ต้องตบแต่งนางหรอกหรือ!
ช่างน่ากลัวเหลือเกิน เขาไม่กล้าจินตนาการผลที่จะตามมาหากไป๋ถานกลายเป็นชายาของหลิงตูอ๋องขึ้นมาจริงๆ ถึงยามนั้นเขาต้องถูกเล่นงานจนตายแน่ๆ!
ซีชิงช่วยทายาบนแขนและต้นคอของไป๋ถาน ส่วนหลังเอวเขาไม่อาจมองได้ จึงพยุงนางออกจากประตูแล้วเรียกหาสาวใช้คนหนึ่งให้ไปช่วยนาง
ไป๋ถานเอาแต่ลูบแก้มตรงที่ถูกซือหม่าจิ้นไล้เลีย ก่อนออกจากประตูนางขมวดคิ้วก่อนจะมองเขาแวบหนึ่งด้วยดวงหน้าสีแดงสดปานจะกลั่นออกมาเป็นหยดได้
ที่แท้ต้องทำอย่างไรถึงจะให้มารร้ายผู้นี้เข้าใจคำว่าเคารพเชื่อฟังอาจารย์เสียที ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของอาจารย์เกือบจะ…
ช่างเถิด พูดมากไปก็มีแต่น้ำตา
หลังส่งไป๋ถานออกไปแล้ว ซีชิงจึงย้อนกลับมาตรวจชีพจรให้ซือหม่าจิ้นก่อนเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี “ท่านอ๋อง คราวนี้ท่านถึงกับควบคุมตนเองได้แล้ว”
ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงฮึเบาๆ เสียงนั้นเจือความอ่อนล้าอย่างชัดเจน เขาเบือนหน้าไปโดยไม่พูดกล่าวสักคำ
ไป๋ถานได้สาวใช้พยุงไปที่ห้องพักแขกอีกห้อง กว่าจะทำความสะอาดและทายาเสร็จก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
นางไม่อยากอาหารจึงลากสังขารที่ปวดระบมไปถึงข้างเตียงแล้วทิ่มศีรษะล้มตัวลงไป นางถูใบหน้าด้วยความขุ่นแค้นราวกับต้องการจะถูเอาความร้อนจากปลายลิ้นนั้นออกไปให้ได้ก็ไม่ปาน
หวังว่าพรุ่งนี้อาการป่วยของเขาจะหายดี หาไม่คราวนี้คือเลีย คราวหน้าเปลี่ยนเป็นกัดจะทำอย่างไรดีเล่า
ไม่ได้ อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าจะต้องกลับภูเขาตงซาน
หนนี้ซีชิงรั้งอยู่ที่จวนอ๋อง
หลังจากนั้นอาการของซือหม่าจิ้นก็ไม่กำเริบอีก เขาเพียงนอนหลับไปสิบกว่าชั่วยามเต็มๆ รอจนตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นยามบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั้งยังกินอาหารเหลวได้เล็กน้อย สีหน้าก็ดีขึ้นแล้ว ดูท่าครั้งนี้เขาจะอดทนจนผ่านพ้นไปได้
ซีชิงรู้สึกว่าตนช่างน่าสงสารยิ่งนัก กว่าจะได้นอนชดเชยจนเต็มอิ่มมิใช่ง่ายๆ ก็ต้องมาอดหลับอดนอนทั้งคืนอีก อยากคุยเล่นกับไป๋ถานสักสองสามประโยค แต่นางกลับไม่แยแสตนเลยสักนิด ไม่รู้โกรธหรือหงุดหงิดอะไรอยู่
เขาจึงได้แต่วิ่งกลับมาเฝ้าซือหม่าจิ้นต่อ
“ท่านอ๋อง ท่านบอกข้าหน่อยเถิด ที่แท้ท่านทำอะไรไป๋ถานไปกันแน่”
ซือหม่าจิ้นนั่งอยู่ที่หัวเตียง ดื่มยาเต็มชามจนหมดแล้วยกนิ้วหัวแม่มือเช็ดมุมปาก “เลียไปหนึ่งที”
ซีชิงตกตะลึงพรึงเพริดก่อนจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ขยับเข้ามามองพิจารณาเบื้องหน้าเขา “ท่านอ๋องอาการกำเริบหนนี้ต่างจากที่ผ่านมา ทั้งยังควบคุมตนเองได้ดียิ่ง ท่านคงไม่ได้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นต่อไป๋ถานหรอกกระมัง”
นิ้วมือของซือหม่าจิ้นเสียดสีกับขอบชามเบาๆ เม้มปากไม่เอ่ยตอบ ทว่ากลับสะบัดมือขว้างชามในฉับพลัน
ซีชิงยืนตรงทันใด ก่อนก้มหน้างุดตามองแต่ปลายจมูกของตน
“เจ้าก็รู้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในใจข้าคืออะไร ต่อไปอย่าได้เอ่ยวาจาเช่นนี้อีก”
“ขอรับ” ซีชิงลอบชำเลืองมองเขาหนหนึ่ง “ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องมองไป๋ถานเป็นอาจารย์เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเด็ดขาด”
ซือหม่าจิ้นมุ่นคิ้ว หน้าตาเย็นชาไม่พูดจา
ขณะนั้นฉีเฟิงพลันพุ่งปราดเข้ามา เท้าเหยียบถูกเศษกระเบื้องเขาจึงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนรีบประสานมือรายงานโดยไม่อาจมัวพะวงเหตุการณ์ภายในห้อง “ท่านอ๋อง พระโพธิ… เอ่อ ไม่ใช่ คุณหนูไป๋วิ่งหนีกลับภูเขาตงซานไปแล้วขอรับ!”
ซือหม่าจิ้นช้อนตามองมา “พวกเจ้าก็ปล่อยให้นางวิ่งหนีไปอย่างนั้นหรือ”
ฉีเฟิงวางหน้าไม่ถูก “ข้าน้อยจะจับตัวนางไว้ แต่ฉุกคิดได้ว่าท่านอ๋องให้ชายหญิงรักษาระยะห่าง ข้าน้อยจึงไม่กล้าแตะต้องนาง นางจึงฉวยจังหวะนั้นวิ่งหนีออกจากประตูไปขอรับ”
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้ม “ข้าไม่ได้ถามเรื่องนี้ พวกเจ้ามองดูนางวิ่งหนีกลับไปแล้วไม่รู้จักเตรียมรถม้าไปส่งนางหรือ”
ฉีเฟิงตะลึงงันก่อนรีบวิ่งออกไปเรียกกู้เฉิงเตรียมรถม้าไล่ตามคนไป
ซีชิงปรายตามองซือหม่าจิ้นอีกแวบหนึ่ง นั่นแน่ ไหนพูดเสียดิบดีว่ามองอีกฝ่ายเป็นเพียงอาจารย์เท่านั้นมิใช่หรือ…
เดิมทีไป๋ถานเพียงแค่ทดลองดู แต่นึกไม่ถึงว่ายามที่ฉีเฟิงโง่งมขึ้นมานางจะรับมืออีกฝ่ายได้ง่ายดายยิ่งนัก เขาถึงกับปล่อยให้นางเผ่นหนีออกมาได้จริงๆ
ชั่วดีอย่างไรนางก็ขึ้นลงเขามานานปี มิได้เปราะบางเฉกเช่นสตรีตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ฝีเท้าของนางจึงนับว่ารวดเร็วยิ่ง ยามที่ฉีเฟิงบังคับรถม้าไล่ตามมาจนทัน นางก็ใกล้จะถึงประตูเมืองอยู่แล้ว
“คุณหนูไป๋ ขอร้องท่านล่ะ ท่านขึ้นรถเถิดนะ หากท่านไม่ขึ้นรถข้ากลับไปต้องถูกถลกหนังเป็นแน่”
ไป๋ถานยกแขนที่บาดเจ็บขึ้นกอดอกแล้วส่งยิ้มให้ “ตายจริง ตอนแรกที่เจ้ามาลักพาตัวข้าก็วางท่าจองหองนักมิใช่หรือ ตอนนี้เหตุใดจึงรู้จักขอร้องข้าเสียได้”
ฉีเฟิงใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว นางช่างใจแคบเหลือเกิน เหตุใดยังจำไม่ลืมเสียทีเล่า!
สุดท้ายไป๋ถานยังคงเดินเรื่อยมาจนถึงภูเขาตงซาน ส่วนฉีเฟิงกับกู้เฉิงซึ่งไล่ตามเพื่อโน้มน้าวนางมาตลอดทางนั้นกลับได้แต่บังคับรถที่ว่างเปล่า
หัวใจอันสิ้นหวังคือที่สุดแห่งความเศร้า ทั้งสองหน้าม่อยคอตกกลับไป เตรียมตัวเตรียมใจรอรับโทษ
พออู๋โก้วได้ยินว่าอาจารย์กลับมาก็วิ่งอย่างเร็วเพื่อออกมาต้อนรับ
เหล่าศิษย์ในห้องปีกตะวันตกที่ได้เวลาเลิกชั้นเรียนต่างกำลังเตรียมตัวกลับพอดี ทันทีที่ได้ยินข่าวทุกคนจึงกรูออกมาดุจฝูงผึ้ง
โจวจื่อเดินนำหน้าออกมาต้อนรับไป๋ถาน พอกลับเข้าห้องแล้วจึงอ้าปากถามโดยไม่รอช้า “อาจารย์ หลายวันนี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นกระมัง”
“ไม่มีอะไรๆ” ไป๋ถานลูบใบหน้าอย่างร้อนตัว
โจวจื่อระบายลมหายใจแล้วกล่าว “อาจารย์ไปเสียตั้งหลายวัน ยังดีที่สุดท้ายท่านก็กลับมาแล้ว หากยังไม่กลับมาอีกพวกศิษย์เตรียมจะรวมตัวกันไปเยี่ยมอาจารย์ที่จวนหลิงตูอ๋องแล้ว”
คนทั้งหมดพากันมองฟ้า… เปล่าสักหน่อย มีเจ้าเตรียมไปอยู่คนเดียวกระมัง!
ไป๋ถานคิดในใจว่ายังดีที่ตนหาโอกาสหลบหนีออกมาก่อน ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาไปเจอซือหม่าจิ้นตอนที่อาการกำเริบพอดี เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาอาจต้องสังเวยให้อีกฝ่ายกันทั้งหมด
เวลาเย็นย่ำมากแล้ว ทุกคนสนทนาสัพเพเหระไม่กี่ประโยคก็แยกย้ายกันกลับไป
อู๋โก้วยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ทั้งบอกไป๋ถานว่าเย็นนี้ตนจะต้องเข้าครัวทำน้ำแกงข้นด้วยตนเองเพื่อต้อนรับที่นางกลับมาอย่างปลอดภัย
ไป๋ถานมองอีกฝ่ายอย่างเจ็บปวดรวดร้าว “เจ้าจงพูดมาตามตรงเถิด ที่แท้อาจารย์ทำผิดอะไรกันแน่เจ้าถึงต้องทำน้ำแกงให้ดื่ม”
อู๋โก้วไร้เดียงสายิ่ง “อาจารย์ไม่ได้ทำผิดอันใดนี่เจ้าคะ”
แม้ว่าน้ำแกงของอู๋โก้วยากที่จะกลืนลงคอได้ แต่การได้กลับมาภูเขาตงซานก็เพียงพอจะทำให้ไป๋ถานจิตใจชื่นบานแล้ว
ทว่าเข้าสอนได้ไม่ถึงสองวันเหล่าศิษย์พลันพบเห็นรอยแผลบนมือของนาง จึงถกความเห็นกันโขมงโฉงเฉงลับหลังนางทันที ต่างรู้สึกว่านิยายที่แต่งกันก่อนหน้านี้น่าจะเป็นความจริงเสียแล้ว
“หลิงตูอ๋องเหี้ยมโหดเหลือเกิน ถึงกับทารุณอาจารย์จนเป็นเช่นนี้”
“อาจารย์เก่งกาจยิ่งนัก ยังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้”
“เขาจะมาจับอาจารย์ไปทรมานอีกหรือไม่”
ไป๋ถานอ่อนใจ ได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยินความเห็นเหล่านี้
นางกลับมาได้พอเหมาะพอเจาะยิ่ง สภาพอากาศนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน สองวันก่อนลมฤดูสารทยังพัดมาแผ่วเบา เช้านี้เพียงผลักเปิดประตูออกไปกลับเห็นในลานเริ่มมีปุยหิมะเล็กละเอียดโปรยปรายลงมาแล้ว
บนภูเขาต่างจากในเมืองหลวง ที่นี่ช่างสงบสุขอย่างยิ่ง ยามนี้เมื่อหิมะตกจึงยิ่งรู้สึกว่าฟ้าดินช่างเงียบสงัด รอยแผลภายนอกเพียงเล็กน้อยของไป๋ถานดีขึ้นมากแล้ว นางหลับตาพริ้มสูดอากาศหนาวเข้าลึกๆ รู้สึกเพียงว่าไอเย็นสดชื่นแล่นผ่านจากฝ่าเท้าพุ่งขึ้นสู่ศีรษะทำให้นางรู้สึกโล่งสบาย จึงยกชายชุดพลางเดินเข้าไปต้อนรับหิมะแรกในลานเสียเลย
บนพื้นมีหิมะสะสมชั้นอยู่บางๆ แล้ว นางเดินไปไม่กี่ก้าวก็หวุดหวิดจะลื่นล้ม ขณะที่ร่างโงนเงนหมายจะทรงตัวให้ได้นั้นกลับมีมือข้างหนึ่งประคองนางไว้อย่างมั่นคง
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นซือหม่าจิ้นห่อร่างอยู่ในเสื้อคลุมยืนอยู่เบื้องหน้านาง ภายใต้เสื้อคลุมคือชุดเข้าเฝ้าสีม่วงอมแดงอันภูมิฐาน เรือนผมบรรจงเกล้ามวยครอบด้วยเกี้ยวทรงสูง ดวงหน้าเย็นชาไม่แสดงความรู้สึก
มาจับตัวนางเร็วปานนี้เชียว แต่ก็ไม่เห็นต้องแต่งตัวเต็มยศเช่นนี้กระมัง ไป๋ถานชักแขนกลับด้วยความตระหนก “ท่านอ๋องหายดีแล้วหรือ”
“เช่นที่อาจารย์เห็น เป็นปกติเช่นกาลก่อน”
ไป๋ถานพินิจพิจารณาเขาขึ้นลงหลายรอบ อีกฝ่ายดูเปี่ยมราศี ทั้งยังดูกระปรี้กระเปร่าดังเดิมแล้วจริงๆ ราวกับอาการที่กำเริบครั้งนั้นคือภาพมายาก็ไม่ปาน
“วันนั้นอาจารย์ห่วงใยเหตุการณ์บนเขาจึงจากมาโดยมิได้ล่ำลา ขอท่านอ๋องอย่าได้ตำหนิ” นางย่อมไม่อาจพูดว่าตนวิ่งหนีกลับมาเพราะถูกเขาเลียหนึ่งที ใบหน้าถูกเลียได้ แต่ความเป็นอาจารย์ไม่อาจละทิ้ง!
ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้ามีท่านเป็นอาจารย์เพียงคนเดียว ทว่าท่านกลับมีศิษย์อยู่ที่ภูเขาตงซานมากมาย ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
ไป๋ถานเอ่ยอย่างรู้สึกขบขัน “ท่านอ๋องคาดหวังให้อาจารย์สอนท่านเพียงคนเดียวหรืออย่างไร”
“ข้าหวังให้เป็นเช่นนั้นจริง” สายตาของซือหม่าจิ้นพลันสว่างเจิดจ้า ทว่าจู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้าส่งมอบนักโทษอุกฉกรรจ์ที่คุมขังอยู่ในจวนให้ศาลลงโทษแล้ว อาจารย์วางใจได้”
คิ้วตาของไป๋ถานระบายไปด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋องทำตามวาจาของอาจารย์จริงหรือนี่”
“ข้าไม่เคยตระบัดสัตย์”
ไป๋ถานสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ “ในที่สุดท่านอ๋องก็มองข้าเป็นอาจารย์ด้วยความจริงใจ ข้าถูกท่านจับไปที่จวนอ๋องหลายวันนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว”
ซือหม่าจิ้นนึกถึงคำพูดของซีชิงในทันที ‘มองนางเป็นอาจารย์?’ เขาเม้มปากชั่วครู่พลันเอ่ยวาจา “ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อเชิญอาจารย์ตามข้าลงเขาเข้าวัง”
ไป๋ถานตกตะลึง “เข้าวังหรือ”
ซือหม่าจิ้นหยิบสารฉบับหนึ่งในแขนเสื้อยื่นส่งให้นาง “นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท”
ไป๋ถานคลี่สารออกอ่าน ถึงกับเป็นลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ซือหม่าเสวียน
ซือหม่าจิ้นส่งมอบนักโทษแก่ศาล นี่คือการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน ซือหม่าเสวียนเห็นว่าไป๋ถานอบรมเขาได้ผลจึงพิจารณาที่จะพระราชทานสิ่งของเป็นรางวัลแก่นาง
เดิมทีฝ่าบาททรงตัดสินใจจะตกรางวัลเป็นแก้วแหวนเงินทอง ทว่านางเป็นปัญญาชนผู้มีความสามารถเชิงบุ๋นโดดเด่นจึงรู้สึกว่าการมอบสิ่งเหล่านี้จะเป็นดูดาษดื่นเกินไป ประจวบเหมาะกับวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระองค์เอง ในวังจัดงานเลี้ยง ซือหม่าเสวียนจึงเรียกให้ซือหม่าจิ้นเชิญไป๋ถานเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงเสียด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้ซือหม่าจิ้นจึงมาปรากฏตัวที่นี่
ไป๋ถานถอนหายใจเบาๆ ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดโดยแท้ อันที่จริงนางมีความชมชอบที่ต่ำยิ่ง พระราชทานแก้วแหวนเงินทองก็ดีอยู่แล้ว นางไม่อยากไปกินอาหารอะไรในวังหลวงซึ่งเต็มไปด้วยกฎระเบียบหยุมหยิมนั่นเลยสักนิด!
“อาจารย์ไม่อยากไปหรือ”
ไป๋ถานยิ้มเจื่อน “ทรงมีพระบัญชาด้วยลายพระหัตถ์ลงมาแล้ว ใครเลยจะกล้าไม่ไปได้”
นางกลับห้องไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านและประทินโฉมอีกเล็กน้อย หลังบอกอู๋โก้วคำหนึ่งก็ติดตามซือหม่าจิ้นออกจากประตูลงเขาไป
กู้เฉิงกับฉีเฟิงจูงม้าและรถรอคอยอยู่ที่เชิงเขาแล้ว พอเห็นนางปรากฏตัว ทั้งสองต่างมีสีหน้าตัดพ้อชัดเจน… วันนี้คงนั่งรถของพวกเราแล้วกระมัง!
ไป๋ถานมองทั้งสองคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ขณะจะก้าวเท้าขึ้นรถ ซือหม่าจิ้นพลันเรียกนางไว้ เขาถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้บนร่างนาง จากนั้นยื่นมือประคองเพื่อส่งนางเหยียบขึ้นม้านั่งสำหรับหยั่งเท้า
อากัปกิริยาเหล่านี้เป็นไปอย่างลื่นไหลต่อเนื่องในรวดเดียว ไป๋ถานยืนอยู่ข้างรถพลางกระชับเสื้อคลุมอย่างงุนงงเล็กน้อย
เห็นทีเขาป่วยคราวนี้จะไม่เลวทีเดียว ในที่สุดนางก็ตามหาเกียรติของผู้เป็นอาจารย์กลับคืนมาได้บ้างแล้ว เอาเถิด ไม่ถือสาหาความที่วันก่อนถูกเขาเลียหนนั้นแล้วก็ได้
ตอนที่ซือหม่าจิ้นชักมือกลับ บังเอิญสัมผัสถูกปลายนิ้วของนางเข้าพอดี เขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง นิ้วมือหดนิดๆ ก่อนจะยืดออกเบาๆ
การเข้าวังต่างจากกลับเมืองหลวงคราวก่อน ชายหญิงย่อมไม่อาจโดยสารรถคันเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงจารีตได้อีก หลังจากไป๋ถานก้มศีรษะเข้าไปในรถ ซือหม่าจิ้นก็ขึ้นม้า
สายลมหอบม่านรถพัดพลิ้ว อาชาแผดเสียงออกเดินทาง
วันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท ทั่วเมืองหลวงต่างกวดขันอย่างเข้มงวด ประกอบกับหิมะตก บนถนนจึงมีผู้สัญจรไปมาเพียงน้อยนิด
ผ่านประตูเมืองทิศเหนือข้ามสะพานตงเหมิน ตัดเลียบอุทยานเล่อโหยวไปข้ามสะพานหนานอิ่น กำแพงวังก็จะอยู่ใกล้ในระยะสายตาแล้ว
ไป๋ถานเลิกม่านมองดูแวบหนึ่ง อย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าตนจะมีวันได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ อีกทั้งมาในฐานะอาจารย์ของหลิงตูอ๋องด้วย
หลังเข้าวังทางประตูตงหยาง รถม้าก็จอดนิ่ง ไป๋ถานออกจากรถลงมาเดินเท้า
ซือหม่าจิ้นปัดเกล็ดหิมะบนร่างของตนก่อนเดินนำหน้าเล็กน้อยหนึ่งก้าว ไป๋ถานลอบชำเลืองมองเขา รู้สึกว่าอีกฝ่ายสำรวมกว่ายามปกติมากโข จริงดังคาด สถานที่เช่นวังหลวงนี้เมื่อเข้ามาแล้วย่อมจะได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว
ขันทีออกมารอต้อนรับพวกเขาแต่แรกแล้ว พอเห็นซือหม่าจิ้นก็แทบอยากจะก้มเอวให้ถึงพื้นอย่างระมัดระวังสุดขีด “ท่านอ๋องค่อยๆ เดินขอรับ ระวังพื้นใต้ฝ่าเท้าด้วย”
ซือหม่าจิ้นไม่พูดแม้สักคำ ขันทีจึงยิ่งตัวสั่นงันงก ไม่กล้าบกพร่องเชื่องช้าแม้แต่น้อย
เมื่อเข้าสู่เขตวังชั้นใน เบื้องหน้าสายตาก็พลันสว่างไสว โคมชาววัง* แขวนประดับสูงเด่น เหล่าขุนนางเดินไปมากันขวักไขว่ เบื้องหน้าตำหนักใหญ่ที่อยู่ไกลตามีพื้นที่ที่ยกขึ้นสูงตระหง่านตั้งอยู่
คนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนผู้หนึ่งเดินผ่านระเบียงทางเดินไปในระยะไกล ไป๋ถานชะงักฝีเท้าหยุดมองตามสัญชาตญาณ เพียงแลเห็นเงาหลังของคนผู้นั้น เขาสวมอาภรณ์หลวมยาวสีดำ มวยผมครอบเกี้ยวทองอร่าม
นางออกอาการเหม่อลอยเล็กน้อย เพียงรู้สึกว่าภาพนี้ซ้อนทับกับเงาร่างของผู้ซึ่งขี่ม้ามาบนถนนเมื่อหลายปีก่อน เขาทั้งสุภาพอ่อนโยน ทั้งบริสุทธิ์สูงส่งน่าประทับใจ นางพึมพำออกจากปากโดยไม่รู้ตัว “อวี้จางอ๋อง?”
ซือหม่าจิ้นมองดูตามสายตาของนาง “อาจารย์ อย่าได้เรียกขานส่งเดช นั่นไม่ใช่อวี้จางอ๋องนานแล้ว พระองค์คือฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน”
ไป๋ถานพลันได้สติคืนมา นางนิ่งเงียบพลางเพ่งมองเงาหลังของฝ่าบาทเคลื่อนไกลออกไปพร้อมหัวใจที่เศร้าสร้อย
นั่นคือวัยสาวที่ล่วงเลยไป แล้วก็…เงินของนางด้วย