ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด
บทที่หก
อันที่จริงหากเป็นเมื่อสิบปีก่อน หัวข้อที่ผู้คนทั่วหล้าถกความเห็นกันเซ็งแซ่มิใช่หลิงตูอ๋องซือหม่าจิ้นอย่างแน่นอน หากแต่เป็นอวี้จางอ๋องซือหม่าเสวียน
ในฐานะหลานชายผู้มีสายเลือดใกล้ชิดกับอดีตฮ่องเต้มากที่สุดและเป็นญาติผู้พี่ของซือหม่าจิ้น ซือหม่าเสวียนไม่เพียงเฉลียวฉลาดใฝ่เรียนมาตั้งแต่เล็ก เขายังเป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ไม่น้อย วัยหนุ่มก็รูปงามเหนือใคร ทั้งถ่อมตนเปี่ยมมารยาท ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกล้วนดึงดูดให้คนเดินถนนมาล้อมชมเขากันนับไม่ถ้วน จำนวนสตรีที่นิยมชมชอบยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
ด้วยเหตุนี้ยามที่อดีตฮ่องเต้ทรงมอบราชบัลลังก์แก่เขาก่อนสิ้นพระชนม์ จึงไม่แปลกที่ตระกูลขุนนางจะพากันสนับสนุน
ไป๋ถานย่อมรู้ว่าตอนนั้นซือหม่าเสวียนขึ้นสืบราชบัลลังก์ ทว่าไม่พบกันนานปีเช่นนี้ในใจของนางกลับยังคงแยกซือหม่าเสวียนในช่วงที่เป็นอวี้จางอ๋องกับซือหม่าเสวียนภายหลังขึ้นเป็นฮ่องเต้ออกเป็นสองคนอยู่ดี
ในขณะที่นางมองฝ่าบาทเป็นคนแปลกหน้า ก็เพียงหวังว่าพระองค์จะปกครองบ้านเมืองอย่างเที่ยงธรรม มีตำหนักในที่ปรองดองกลมเกลียว ทว่ายามที่นางมองอวี้จางอ๋องเป็นสหายเก่า จวบจนทุกวันนี้ในหัวสมองยังคงจารึกท่าทางอันสุภาพอ่อนโยนและช่างจำนรรจาในยามที่อีกฝ่ายสนทนาสัพเพเหระกับผู้คนได้ไม่ลืมเลือน
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกพิกลนัก
“อาจารย์รู้จักฝ่าบาทหรือ”
ไป๋ถานถูกคำถามของซือหม่าจิ้นดึงความนึกคิดของตนกลับคืนมา นางถูนิ้วมือที่หนาวจนแข็ง “ตอนอายุยังน้อยอาจารย์ชอบคบหาสหาย ได้รู้จักกับบุตรหลานตระกูลขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์สักคนสองคนก็ไม่แปลกสักนิด” จบคำนางก็ตั้งหน้าตั้งตาเดิน
ท่าทางนี้ให้ความรู้สึกว่ายิ่งปกปิดกลับยิ่งชัดแจ้ง ซือหม่าจิ้นอดไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่ซือหม่าเสวียนจากไปอีกครั้ง
ไป๋ถานฝีเท้าเร่งรีบ ไม่ช้าก็ก้าวขึ้นขั้นบันได ทว่าพลันถูกคนผู้หนึ่งรั้งไว้ พอหันขวับมานางก็สบเข้ากับดวงตาดอกท้อของน้องชาย
“พี่สาว ท่านมาด้วยหรือนี่! ท่านไม่เป็นไรกระมัง” ไป๋ต้งกระตุกแขนของนางแล้วเขย่าแรงๆ ระลอกหนึ่ง
ไป๋ถานถูกเขย่าจนใกล้จะเวียนศีรษะแล้วจึงย้อนถามไปหนึ่งประโยค “แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ขุนนางขั้นหนึ่งพาบุตรธิดาเข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงได้” ไป๋ต้งสองตาพลันสว่างวาบ “หรือว่าท่านพ่อตั้งใจเรียกพี่สาวมา”
ไป๋ถานตีมือของเขาออก “ข้าเข้าวังมาในฐานะอาจารย์ของหลิงตูอ๋อง เกี่ยวข้องอันใดกับท่านพ่อเล่า”
ไป๋ต้งขานดังอ้ออย่างผิดหวัง จากนั้นพลันประชิดเข้ามาใกล้ เหลือบมองซือหม่าจิ้นก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ตกลงท่านเป็นอะไรหรือไม่ วันนั้นข้าเห็นเต็มสองตาว่าเขา… ‘อย่างนั้น’ ท่านอยู่”
ไป๋ถานรู้สึกว่าจุดนั้นของแก้มร้อนลวกดุจถูกไฟเผาอีกแล้ว นางรีบเฉไฉส่งเดชทันที “ไม่มีอะไร ตอนนั้นข้าหกล้ม ท่านอ๋องเพียงเข้ามาพยุงข้าเท่านั้นเอง”
“พยุงท่านจำเป็นต้องเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยด้วยหรือ”
“…” ไป๋ถานได้แต่นิ่งงันเอ่ยคำใดไม่ออก
เจ้าเด็กหน้าเหม็น รู้มากไปแล้วนะ!
ซือหม่าจิ้นเดินตรงมาเนิบๆ “หากเจ้าไม่วางใจข้า คราวหน้ายามที่เจ้ามาพำนักในจวนอ๋องสักระยะก็จะได้รู้ว่าข้าปฏิบัติต่อพี่สาวของเจ้าอย่างไร”
ไป๋ต้งพลันขนลุกซู่ นี่คือการข่มขู่สินะ นี่ต้องเป็นการข่มขู่กันแน่ๆ!
ไป๋ถานตัดบทคนทั้งสองทันที “รีบไปกันเถิด อย่าให้ผิดเวลา”
งานเลี้ยงของวังหลวงจัดขึ้นในตำหนักเหวินหวา ไป๋ถานเพิ่งจะเข้าไปก็มองเห็นซีชิง นางนึกไม่ถึงว่าวันนี้อีกฝ่ายจะแต่งกายเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้ ทั้งเขากำลังคุยจ้ออยู่ท่ามกลางบุตรหลานตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่งอยู่
ไป๋ถานไม่อาจร่วมวงจึงหันหน้ามองไปทางกลุ่มสตรี ทว่านางก็แทบไม่รู้จักใครในที่นั้นเลยสักคน
เฮ้อ ดังนั้นถึงได้บอกว่าไยต้องให้ข้าเข้าวัง มิสู้พระราชทานเงินทองมาจะจริงแท้แน่นอนกว่า!
ขันทีเดินออกมาพลางสะบัดแส้ปัด ก่อนจะยืนประกาศด้วยเสียงกังวานอยู่ด้านบนให้ขุนนางทั้งหลายนั่งประจำที่
ไป๋ถานงุนงงไปชั่วขณะ นางไม่ได้มากับไป๋หยั่งถังและไม่มียศขุนนาง เช่นนี้จะนั่งที่ใดอีกเล่า
“อาจารย์” ซือหม่าจิ้นเรียกนางแล้วชี้มือที่ข้างกายตน
ไป๋ถานลังเลอยู่บ้างแต่ก็ไม่อาจยืนเฉยจนดึงดูดสายตาผู้อื่นอยู่เช่นนี้ได้ นางจึงจำใจเดินไปนั่งลง
แม้จะรู้ว่าไม่ค่อยเหมาะสมเอาเสียเลย ทั้งนั่งตำแหน่งนี้ก็ยิ่งไม่ดูคล้ายคนเป็นอาจารย์ กลับคล้ายภรรยาเสียมากกว่า
แต่เมื่อนางอยู่ข้างกายหลิงตูอ๋องแล้วเป็นเรื่องแน่นอนว่าต่อให้ตำแหน่งที่นั่งจะไม่เหมาะสมเพียงใดก็ย่อมไม่มีใครกล้าสอดปาก
อันที่จริงคนที่นั่งใกล้ๆ ซือหม่าจิ้นก็เป็นแม่ทัพสองคนที่ล้วนพูดน้อยอยู่แล้ว อีกทั้งดูจะรู้จักมักคุ้นกับเขาอย่างดี หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงไม่กล้าเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ
บรรดาสตรีตระกูลขุนนางซึ่งนั่งหลังม่านอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามในยามนี้กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่
ที่ผ่านมาหลิงตูอ๋องมักเผยโฉมต่อหน้าผู้คนน้อยครั้งยิ่ง อีกทั้งยังไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร ที่ผ่านมาพวกนางเพียงเคยได้ยินคำเล่าลือ วันนี้เมื่อได้ยลโฉมกับตาตนเองจึงพากันอุทานด้วยความตื่นตะลึงมิรู้หาย
อาภรณ์ม่วงเกี้ยวทองคำ หล่อเหลาเปี่ยมสง่าราศี แลดูเช่นนี้คล้ายไม่ได้น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนั้นแล้ว
เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ก็เห็นเขาช้อนตาขึ้นกวาดมองมา ไอเย็นเฉียบดุจน้ำค้างแข็งปะทะใบหน้า ประหนึ่งถูกดาบเดียวเชือดลำคอ
เหล่าสตรีพลันหน้าเผือดสีไปในพริบตา ตายแล้วๆ พวกนางช่างไร้เดียงสาเสียจริง…
อันที่จริงคนที่ซือหม่าจิ้นมองมิใช่สตรีเหล่านั้น หากแต่เป็นอัครเสนาบดีหวังฟูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม รวมไปถึงหวังฮ่วนจือซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างของผู้เป็นบิดา
ทั้งที่เห็นอยู่ว่าศัตรูพบหน้าควรจะมีท่าทีโกรธแค้น ทว่าหวังฮ่วนจือกลับยังคงแย้มยิ้ม ซ้ำยังคอยชำเลืองมองไป๋ถานที่อยู่ข้างกายซือหม่าจิ้นเป็นพักๆ
เดิมทีไป๋ถานเพียงกลอกลูกตากวาดมองไปรอบๆ ยามรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองตนอยู่จึงช้อนตามองไป ก่อนจะเห็นบุรุษตระกูลขุนนางในอาภรณ์สีน้ำเงินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังส่งยิ้มมาให้ เมื่อสบเข้ากับสายตาของนางเขายังผงกศีรษะพลางหลุบตาแสดงคารวะอย่างเรียบง่ายอีกด้วย
ไป๋ถานจึงค้อมกายนิดๆ เป็นการคารวะตอบ ทว่ากลับได้ยินซือหม่าจิ้นที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา
“ท่านอ๋องเป็นอะไรไป”
“นั่นคือหวังฮ่วนจือ หรืออาจารย์ยังอยากรู้จักกับเขา?”
ไป๋ถานตะลึงงัน “ท่านอ๋องบอกว่าตีเขาพิการไปแล้วมิใช่หรือ”
“เช่นนั้นเห็นทีว่าข้าจะลงมือเบาไปกระมัง”
“…” ไฉนจึงรู้สึกว่าท่าทางของเขายังคิดจะซ้อมอีกฝ่ายอีกสักรอบเล่า
ในที่สุดซือหม่าเสวียนก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าบัลลังก์ทองที่อยู่ด้านบน ชุดประชุมขุนนางสีดำบนร่างแลดูภูมิฐานและเข้มงวด ทว่ามุมปากของเขากลับประดับรอยยิ้มอันอ่อนโยน ทันทีที่ยืนนิ่งก็มองมาทางซือหม่าจิ้น ก่อนที่สายตาจะจรดอยู่บนร่างไป๋ถาน รอยยิ้มของเขายิ่งทวีความลึกล้ำขึ้นขณะขยิบตาให้นางนิดๆ
เดิมนี่ถือเป็นอากัปกิริยาที่เล็กละเอียดถึงขีดสุด ผู้อื่นไม่อาจสังเกตเห็นได้ ทว่าไป๋ถานซึ่งจับจ้องเขาอยู่ตลอดย่อมจะมองเห็น
นางหลุบตาลง เมื่อก่อนตอนที่อายุยังน้อยเขาก็มักลอบส่งสายตาให้นางเช่นนี้ และนางก็คาดเดาความหมายของเขาออกทุกครั้ง
ขณะที่ในใจกำลังหวนระลึกถึงอดีต นางกลับเหลือบไปเห็นนิ้วมือของซือหม่าจิ้นซึ่งวางอยู่บนขอบโต๊ะเล็กกำลังเคาะเบาๆ ไปเรื่อยเปื่อย นางเบือนหน้าไปมองก็พบว่าสายตาของเขากำลังจับจ้องอยู่บนร่างซือหม่าเสวียน
ตายแล้ว สายตาเมื่อครู่นี้คงไม่ถูกเขาเห็นเข้าหรอกนะ
โชคดีที่ขันทีร้องประกาศให้ถวายบังคม คนทั้งหมดจึงลุกขึ้นแสดงความเคารพ เสียงโห่ร้องดังสะท้านแก้วหูอยู่ชั่วขณะ สั่นสะเทือนจนความนึกคิดเล็กน้อยของนางเมื่อครู่นี้พลันหายวับไปจนสิ้น
พอถวายบังคมเสร็จ ขันทีก็ประกาศเปิดงานด้วยระบำแปดแถว* อธิษฐานขอพรต่อเชื้อพระวงศ์บนสรวงสวรรค์ คนทั้งหมดจึงรวบรวมสมาธิ ปั้นหน้าเคร่งขรึมจริงจังเพื่อแสดงออกซึ่งความเคารพยกย่อง
ไป๋ถานหิวโหยมานานแล้ว ทว่าในวังก็เป็นเช่นนี้เอง กฎระเบียบมากมายจนไม่อาจรับไหว นางแค้นใจจนแทบจะกลับภูเขาตงซานไปดื่มน้ำแกงที่อู๋โก้วต้มเสียเดี๋ยวนี้!
หลังจากชมระบำจนจบยังตามมาด้วยวาจาอันไร้แก่นสารอีกหนึ่งยก สำรับอาหารถึงค่อยวางขึ้นโต๊ะได้ในที่สุด ไป๋ถานคิดในใจว่าค่ำคืนนี้ตนเองจะต้องกินให้มากหน่อย ชั่วดีอย่างไรนี่ก็คือสิ่งที่แลกเปลี่ยนมาจากรางวัลเหล่านั้น ไหนเลยจะไม่รู้คุณค่าได้
ใครจะคาดคิดว่านางเพิ่งขยับตะเกียบไปได้ไม่กี่ที การแสดงชุดใหม่ก็เริ่มต้น นางเงยหน้าด้วยความคับแค้น ก่อนจะเห็นไป๋ฮ่วนเหมยญาติผู้พี่ของตนอุ้มกู่ฉิน** นั่งลงที่เบื้องล่างถัดจากบัลลังก์ทอง
ไม่พบพานกันหลายปี บัดนี้อีกฝ่ายได้กลายเป็นสตรีออกเรือนผู้แลดูสุขุมเปี่ยมเสน่ห์ไปแล้ว คิ้วตาประดับรอยยิ้มบางเบานุ่มนวล หลังประสานสายตากับซือหม่าเสวียนเล็กน้อยนางจึงก้มหน้าบรรเลงพิณ
ไป๋กุ้ยเฟยสำแดงฝีมือ มีผู้ใดบ้างที่จะกล้าไม่ใส่ใจ แน่นอนว่าไป๋ถานยิ่งตั้งอกตั้งใจสดับฟังด้วยความปลื้มปีติเป็นพิเศษ
ไป๋ฮ่วนเหมยโตกว่านางหนึ่งปี ทว่ากลับเป็นคนหัวอ่อนจึงถูกรังแกได้ง่าย เมื่อก่อนยามที่ไป๋ถานอยู่ร่วมกับนางจึงมักรู้สึกว่าตนต่างหากที่เป็นพี่สาว ทว่าที่ญาติผู้พี่ของนางมีอุปนิสัยเช่นนี้คงเหมาะสมกับซือหม่าเสวียนที่สุดแล้วกระมัง
ไป๋ถานถอนสายตากลับมา หมุนจอกสุราในมือเบาๆ
“อาจารย์มีใจให้ฝ่าบาทหรือ”
ข้างหูแว่วเสียงถามอันแผ่วเบา ไป๋ถานสะดุ้งเฮือกก่อนมุ่นคิ้วมองไป “ท่านอ๋องอย่าได้พูดจาส่งเดช”
ซือหม่าจิ้นหรี่ตานิดๆ “ข้าพูดจาส่งเดชแน่หรือ”
ไป๋ถานเม้มปาก
ตอนนั้นนางเคยวาดฝันถึงอวี้จางอ๋องจริง แน่นอนว่าเดิมทีสตรีซึ่งเคลิ้มฝันในตัวเขาย่อมมีอยู่มิใช่น้อย
ทว่านางไม่เคยวาดฝันถึงผู้ที่เป็นถึงฝ่าบาทเลยสักนิด เพราะนางไม่มีทางใช้ชีวิตในวังหลวงอันเงียบเหงาเยี่ยงนั้นได้
ความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตของนางคือการไปใช้ชีวิตที่เมืองอู๋ ยามอารมณ์ดีก็เพียงสอนหนังสือสักหลายหน้าหน่อย อารมณ์ไม่ดีก็ออกไปล่องเรือในทะเลสาบไท่หู ความสุขสูงสุดในชีวิตของนางก็คงมีเพียงเท่านี้
แต่ถึงกระนั้นตอนแรกที่ซือหม่าเสวียนเพิ่งขึ้นครองราชย์ ตอนที่ได้ยินว่าเขาจะเลือกสตรีสกุลไป๋เข้าวัง นางก็ยังแอบนึกอยู่ลึกๆ ว่าจะเป็นตนที่ถูกเลือกหรือไม่
สรุปคนที่เขาเลือกคือไป๋ฮ่วนเหมย นางทั้งผิดหวังทั้งโล่งใจระคนกัน พูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกใด ในยามนั้นนางเพียงจับตัวไป๋ต้งน้อยซึ่งกำลังกลมดิกขาวนุ่มนิ่มมาขยำแรงๆ รอบหนึ่งจึงเป็นอันยุติ
ฉะนั้นหากจะบอกว่านางมีใจให้ฝ่าบาทจึงไม่อาจนับได้ ผู้ที่นางมีใจให้อย่างแท้จริงคืออวี้จางอ๋องที่เคยรู้จักต่างหาก เขาคือผู้ที่ในตอนนั้นสนทนากันถูกคอ คุยกันได้ทุกเรื่อง
มาถึงวันนี้ทุกสิ่งจึงนับเป็นเพียงเรื่องเก่าที่ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว
“อย่างมากอาจารย์ก็เพียงแต่สนิทกับฝ่าบาทมากกว่าผู้อื่นเพียงเล็กน้อย อย่างไรเสียก็นับเป็นสหายเก่า”
“เช่นนั้นกับข้า ไยอาจารย์จึงไม่มีความสนิทสนมเช่นนี้บ้าง หรือว่าพวกเรามิใช่สหายเก่า?”
ไป๋ถานตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะพูดประโยคนี้ออกมา
เข้าใจอะไรผิดไปกระมัง ยังคิดจะให้อาจารย์สนิทกับเจ้าอีกหรือ เท่านี้อาจารย์ก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว รู้บ้างหรือไม่!
ซือหม่าจิ้นเห็นสีหน้าของนางก็รู้แล้วว่านางหาได้ยินดีไม่ หน้าตาเขาพลันเย็นชาไม่พูดไม่จา ก่อนสะบัดหน้ามองไปทางไป๋ฮ่วนเหมยซึ่งดีดบรรเลงเพลงพิณอยู่ด้านบน
ไป๋ฮ่วนเหมยได้รับฉายานามว่ายอดคีตา ความลึกซึ้งของท่วงทำนองและอารมณ์เพลงย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง ทว่าบทเพลงที่เลือกกลับทำให้ไป๋ถานประหลาดใจ
เมื่อก่อนตอนที่ไป๋ฮ่วนเหมยยังไม่ได้เข้าวัง ยามที่ทุกคนมาร่วมบรรเลงดนตรี ไม่ว่าเมื่อไรเพลงที่นางชอบเป็นพิเศษก็ล้วนเป็นท่วงทำนองที่ให้ความรู้สึกสูงส่งกว้างไกล บทเพลง ‘ก่วงหลิงส่าน’* ที่นางบรรเลงเต็มไปด้วยความฮึกเหิมก้องกังวาน หางเสียงดังสะท้อนเนิ่นนานไม่จางหาย ทว่าวันนี้นางกลับบรรเลงท่วงทำนองที่สะท้อนความรู้สึกอันลึกซึ้งของสตรีในห้องหอ อ่อนหวานไพเราะจับใจ พัวพันไม่ขาดสาย นางช้อนตาชำเลืองมองฮ่องเต้ที่อยู่ด้านบนเป็นระยะ สายตาซึ่งถ่ายทอดตามท่วงทำนองเพลงนั้นพลันพรั่งพรูออกมาด้วยความรักอันพอเหมาะพอดี
ไป๋ถานไม่ชำนาญด้านอารมณ์เพลง แต่ก็พอรู้จักจำแนกแยกแยะได้ สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์เพลงนี้เฉกเช่นบทกวีและภาพวาด ล้วนเป็นไปตามสภาพจิตใจของผู้บรรเลง บัดนี้ความสามารถของไป๋ฮ่วนเหมยยังคงอยู่ แต่จิตใจคงแปรเปลี่ยนไปแล้วกระมัง
ทว่านี่ก็หาใช่เรื่องแปลกไม่ อีกฝ่ายอาศัยอยู่ในวังหลวงมานานเช่นนี้ ซ้ำดำรงตำแหน่งสูงเป็นถึงกุ้ยเฟย ไหนเลยจะสามารถกระทำตามใจนึกเช่นแต่ก่อนตอนที่อยู่นอกวังได้อีก
ไป๋ถานหันหน้าเพื่อค้นหาคน ในที่สุดนางก็พบเห็นซีชิง สายตาของเขาไม่ได้จับอยู่บนร่างของไป๋ฮ่วนเหมย ทว่าเขาเพียงแค่ยกจอกสุราพลางก้มหน้าจิบทีละนิด
นางไม่เคยกินอาหารหนึ่งมื้อแล้วรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้มาก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือทั้งที่เหนื่อยเช่นนี้ไป๋ถานก็ยังกินไม่อิ่ม
ยามที่งานเลี้ยงยุติลงก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว รอจนขุนนางทั้งหลายถอยออกไปจนหมด ไป๋ถานถึงลุกขึ้นเดินไปทางประตูตำหนักอย่างเชื่องช้า
เพิ่งเดินไปถึงประตู เบื้องหลังก็พลันมีคนเรียกนาง พอหันไปก็พบว่าอีกฝ่ายคือซือหม่าเสวียนซึ่งยังไม่จากไป นางจึงตะลึงงันไปเล็กน้อยก่อนจะรีบคำนับอีกฝ่าย
“ไม่มีคนนอกแล้ว ไม่ต้องมากพิธีหรอก” สุ้มเสียงของเขาอ่อนโยนดุจเดียวกับสายลมวสันต์ซึ่งโชยไล้ใบหน้านางที่นอกเมืองเจี้ยนคังในตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน
ไป๋ถานมองดูไป๋หยั่งถังกับไป๋ต้งที่ยืนอยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย หน้าประตูในตอนนี้ก็มีเพียงซือหม่าจิ้น ดูแล้วก็พอจะนับได้ว่าไม่มีคนนอกอยู่แล้วจริงๆ
ซือหม่าเสวียนยิ้มพลางเอ่ย “เรามองไม่ผิดโดยแท้ หลิงตูอ๋องได้เจ้าเป็นผู้ชี้แนะเช่นนี้ จากนี้เราก็วางใจได้เสียที” จบคำเขาจึงหันหน้าไปกล่าวกับไป๋หยั่งถัง “ไท่ฟู่อบรมบุตรีได้ดียิ่งนัก”
ไป๋ถานรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับบิดาของนางสักนิดไม่ ยามเอ่ยชมนางไยต้องโยงไปถึงวงศ์ตระกูลด้วย
ไป๋หยั่งถังมีสีหน้าอีหลักอีเหลื่อพอสมควรขณะเอ่ยวาจาถ่อมเนื้อถ่อมตัว ซือหม่าจิ้นซึ่งยืนกอดอกพิงประตูอยู่ก็พลันเอ่ยปาก “ไท่ฟู่อบรมบุตรีย่อมทำได้ดี แต่หากเป็นเขาที่มาชี้แนะข้าด้วยตนเองแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะเห็นผลอันใดไม่”
สีหน้าของไป๋หยั่งถังพลันแข็งค้าง ยิ้มตอบอย่างวางหน้าไม่สนิท “ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้วขอรับ”
ซือหม่าเสวียนเองก็อับจนปัญญากับอุปนิสัยเช่นนี้ของญาติผู้น้อง จึงทำเพียงคลี่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เอาเถิด ไม่เอ่ยวาจาให้มากความไปกว่านี้แล้ว วันหน้าหากไป๋ถานมีเวลาว่างก็หมั่นเข้ามาในวังสักหน่อยเถิด จะได้เยี่ยมเยียนญาติผู้พี่ของเจ้าบ้าง”
ไป๋ถานขานรับ ทว่านางกลับเห็นเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจแต่อย่างใด
ซือหม่าจิ้นพลันยืดกายออกเดินไปก่อน
ไป๋ถานไม่ทันสังเกต รอจนส่งซือหม่าเสวียนไปแล้ว ทว่าพอนางหันหน้ามากลับหาคนไม่พบ นางจึงได้แต่เดินออกจากวังไปเองด้วยความจนใจ
หิมะหยุดตกนานแล้ว แต่บนพื้นกลับมีหิมะสะสมพอจะกลบมิดหน้ารองเท้า
ไป๋ถานย่ำหิมะดังสวบสาบจนมาถึงประตูวัง มองเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งยองอยู่บนทางเดินซึ่งโล่งว่างไร้ผู้คน อาภรณ์สีครามแขนกว้างคลุมอยู่บนพื้นหิมะ เขานั่งโดดเดี่ยวเดียวดายดุจรูปปั้น สีหน้าปราศจากชีวิตชีวาเช่นยามปกติ ทั้งยังแลดูห่อเหี่ยวว้าเหว่ หงอยเหงาเศร้าตรมยิ่งนัก
“ซีชิง?” ไป๋ถานเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้ามองเขา “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ข้าพลันพบว่าตนเองไม่ได้รักชอบเหมยเหนียงแล้วอย่างไรเล่า”
ไป๋ถานตะลึงงัน
“วันนี้เจ้าได้ฟังเสียงพิณของเหมยเหนียงหรือไม่” เขาสูดจมูกพลางกอดอกแน่น “ข้ารู้สึกว่านางได้เปลี่ยนไปแล้ว”
ไป๋ถานเข้าใจแจ่มแจ้งจึงถอนหายใจอย่างลึกล้ำ “เจ้านึกว่าพวกเรายังเป็นเด็กน้อยเมื่อสิบกว่าปีก่อนอยู่อีกหรือ วัยแรกรุ่นผกผันดุจสุนัขสีหม่น* แท้จริงจิตใจคนได้ป้อนสุนัขไปสิ้นแล้ว!”
“กลอนดี” ซีชิงสูดจมูกอีกหนก่อนจะแหงนหน้ามองนาง “ข้าตัดสินใจแล้วว่าต่อแต่นี้ไปข้าจะชอบเจ้าก็แล้วกัน”
ไป๋ถานเหลือกตาใส่ “ความชอบของเจ้าช่างมาอย่างมักง่ายยิ่งนัก”
ซีชิงหาได้ใส่ใจนางไม่ เขากลับเอ่ยไปทางเบื้องหลังของนางแทน “ท่านอ๋อง วันหน้าหากข้ากับไป๋ถานลงเอยกัน ท่านคงไม่ถือสาที่จะเรียกข้าว่าอาจารย์พ่อกระมัง”
ไป๋ถานหันหลังขวับ พบว่าซือหม่าจิ้นกำลังเดินตรงมาที่พวกนางทีละก้าว แสงเรืองจากพื้นหิมะสะท้อนสองตาอันเยียบเย็นของเขา
“ไสหัวไป!”
เมืองเจี้ยนคังพอเข้าสู่ฤดูหนาวก็คล้ายดั่งตกลงไปในสระน้ำแข็ง ไอหนาวราวกับสามารถทะลวงเข้ามาในโพรงกระดูกได้ก็ไม่ปาน
ดูจากสีท้องฟ้าแล้วยังพบว่าเป็นเวลาเช้าอยู่ ฉีเฟิงกับกู้เฉิงถูมือขยี้เท้าพลางเบียดร่างเข้ามาอยู่ด้วยกัน พวกเขารู้สึกเลื่อมใสอย่างศิโรราบขณะชมดูท่านอ๋องของตนฝึกยุทธ์อยู่ที่ลานท้ายจวน
ซือหม่าจิ้นเหงื่อออกทั้งตัว ซ้ำยังเปลื้องอาภรณ์ท่อนบน ท่ามกลางสายลมหนาวสะท้านนี้ ท่วงท่าของเขากลับไม่มีเนิบช้าเลยแม้แต่น้อย
“นี่ๆ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าพักนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ค่อยจะดี” ฉีเฟิงใช้ข้อศอกยันกู้เฉิง
“ท่านอ๋องเคยอารมณ์ดีด้วยหรือ” กู้เฉิงย้อนถามอย่างจริงจังยิ่ง
ฉีเฟิงแทบกระอักตายเพราะอีกฝ่าย “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตั้งแต่งานเลี้ยงในวังคืนนั้นสีหน้าของท่านอ๋องก็อึมครึมมากเพียงใด”
“ท่านอ๋องก็สีหน้าอึมครึมมากมาตลอดมิใช่หรือไร”
ยามนี้ฉีเฟิงใกล้จะถูกอีกฝ่ายยั่วโมโหจนตายแล้ว หากไม่ใช่ติดว่าหนาว เขาต้องชกต่อยกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน นี่จะคุยกันดีๆ ได้หรือไม่!
ซือหม่าจิ้นหลังฝึกยุทธ์เสร็จก็สะบัดมือปักกระบี่ลงพื้นแล้วกลับเข้าห้อง ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาผูกสายรัดเสื้อนอกพลางเดินออกไปเบื้องนอก
ยามนี้กู้เฉิงไม่ทึ่มทื่ออีก รีบไปเตรียมรถอย่างรู้งาน
อากาศแม้จะหนาวเย็น ทว่าดวงตะวันกลับสดใสยิ่ง
รถม้าของซือหม่าจิ้นหยุดตรงริมแม่น้ำฉินไหว* เขาเหยียบไม้กระดานซึ่งวางพาดอยู่ก่อนจะเดินเข้าสู่ตัวเรือสำราญลำหรูที่อยู่ในแม่น้ำ
ซีชิงกำลังรับไออุ่นจากเตาเล็กซึ่งต้มน้ำชาอยู่ พอเขาเห็นอีกฝ่ายเข้ามาก็พลันคลี่ยิ้มจนดวงตาแทบจะมองไม่เห็น “ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ไสหัวไปไกลเท่าไรก็รีบกลับมาแล้ว นี่ใช่ท่านยังโกรธเคืองข้าอยู่หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นเลือกนั่งตรงริมหน้าต่างโดยไม่แยแสเขา
“เฮ้อ…อย่างน้อยท่านอ๋องยังยอมมาพบปะกันที่นี่ ก็ไม่นับว่าตัดเยื่อสิ้นใยนัก” ซีชิงถูมือสองข้างพร้อมกับพลิกไปมา “แต่จะว่าไป ท่านอ๋อง ที่แท้หัวใจของท่านหวั่นไหวต่อไป๋ถานตั้งแต่เมื่อใดกัน คงไม่ได้ห่วงหานางมาตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้วหรอกกระมัง”
ซือหม่าจิ้นถูกใบหน้าเปื้อนยิ้มของอีกฝ่ายทำเอาหงุดหงิด อ้าปากถามโดยไม่ตอบ “งานของเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”
ซีชิงเบ้ปาก นี่ก็แปลว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้สินะ “วางใจได้ ข้าทำงานของท่านอ๋องอยู่ หากเอ่ยถึงเรื่องตีสนิทตระกูลขุนนางแล้วยังจะมีผู้ใดทำงานได้สะดวกยิ่งกว่าข้าอีก”
ขณะเอ่ยวาจาก็มีคนผู้หนึ่งก้มร่างเดินเข้ามาในประทุนเรือ เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงินปกเป็นขนจิ้งจอก เรือนผมปล่อยสยาย สาบเสื้อคลายหลวมเผยผิวกายบริเวณหน้าอกสีแดงเรื่อ สว่างใสจนแทบจะเปล่งประกายออกมา บนดวงหน้าซึ่งมีคิ้วตาหมดจดนั้นเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม
ซีชิงเอ่ยทักทันทีที่เห็นอีกฝ่าย “คุณชายหวังเพิ่งกินผงห้าศิลามากระมัง”
ผู้มาก็คือหวังฮ่วนจือ สายตาของเขาจับอยู่บนร่างของซือหม่าจิ้น ซือหม่าจิ้นเพิ่งฝึกยุทธ์มาไม่นานจึงแต่งตัวตามสบาย สาบเสื้อของเขาแหวกเปิดนิดๆ เช่นกัน ทว่าผิวกายตรงหน้าอกกลับเป็นสีขาวดุจหิมะ
หวังฮ่วนจือร้องเอ๊ะด้วยความประหลาดใจ “หลิงตูอ๋องกินผงยาชนิดใดกัน บอกกล่าวให้ข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อยเถิด”
ซือหม่าจิ้นหยักยกมุมปากเล็กน้อย “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หวังฮ่วนจือหัวเราะฮ่าๆ สองทีก่อนยกแขนซ้ายที่แข็งทื่อนิดๆ ขึ้นมา “ข้าน้อยมาขอบคุณท่านอ๋องที่วันนั้นยั้งมือไว้ไมตรีให้อย่างไรเล่าขอรับ”
“ทั้งที่รู้ว่าข้ายั้งมือให้เจ้ายังจะกล้ามาที่นี่อีก ไม่กลัวพิการไปจริงๆ หรืออย่างไร”
“เหตุใดท่านอ๋องจึงพูดเช่นนี้เล่า ที่ท่านยั้งมือมิใช่เพื่อรอให้ข้าน้อยมาพบท่านเช่นนี้หรือ” หวังฮ่วนจือเลิกชายชุดแล้วนั่งคุกเข่า มองเขาพร้อมยิ้มละไม “ข้าน้อยก็เหมือนกับท่านอ๋อง ชอบกระทำสิ่งใดตามอารมณ์ไม่รักษาจารีต หากรู้เร็วกว่าคงจะคบหากันตั้งนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าน้อยก็ต่างจากบิดา ย่อมไม่มีเคยมีอคติต่อท่านอ๋องแม้แต่น้อย”
ซือหม่าจิ้นชำเลืองมองซีชิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้
เขาคือสกุลหวังแห่งหลางหยาเชียวนะ เป็นผู้ช่วยที่หาได้ยากยิ่งโดยแท้
หวังฮ่วนจือเป็นคนที่ไม่ยึดถือกฎเกณฑ์จริงดังที่ว่ามาเสียด้วย เขายกกาน้ำชาขึ้นจากเตารินแล้วให้ตนเองถ้วยหนึ่งโดยไม่สนใจซือหม่าจิ้นกับซีชิง จากนั้นจึงจิบหนึ่งคำก่อนกล่าว “สตรีที่พบในวังหลวงคืนนั้นคือยอดบุ๋นไป๋ถานกระมัง ข้าน้อยสงสัยใคร่รู้มาตลอดว่าสตรีเช่นไรที่สามารถเป็นอาจารย์ของท่านอ๋องได้ วันนั้นหลังได้พบกันก็รู้สึกว่านางก็เพียงแค่นั้นเอง น่าเสียดายแท้ นางหาได้ตรงกับความชอบของข้าน้อยไม่”
ซือหม่าจิ้นเลิกคิ้วนิดๆ “หรือเจ้ายังคาดหวังให้นางตรงกับความชอบของเจ้า?”
หวังฮ่วนจือยิ้มตอบ “ท่านอ๋องรูปงามเช่นนี้ข้าน้อยกลับมีใจใฝ่ฝันถึง เปรียบกับไป๋ถานแล้วท่านตรงกับความชอบของข้าน้อยยิ่งกว่า”
ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ ก่อนใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ “ข้าไม่ได้คิดจะฆ่าใครมาสักพักแล้ว หรือว่าเจ้าอยากจะทดลอง?”
หวังฮ่วนจือหัวเราะร่วนจนหัวคว่ำคะมำหงาย
ซีชิงลูบแก้ม นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นคนหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าตนเอง น่าละอายนักที่เขามิอาจเทียบอีกฝ่ายได้…น่าละอายใจเหลือเกิน หากเปรียบเทียบกันเช่นนี้ก็นับว่าตนยังมีความสำรวมเหลืออยู่บ้าง
หวังฮ่วนจือเอ่ยเมื่อหัวเราะจบจึงเอ่ย “จะว่าไปก็บังเอิญนัก เมื่อครู่ระหว่างทางที่ข้าน้อยมาที่นี่ก็ได้พบกับไป๋ถานเข้า ดูเหมือนนางจะถูกเกาผิงรับตัวเข้าวังไปแล้ว”
สีหน้าของซือหม่าจิ้นขรึมลงทันที
คราวก่อนเขายังรู้สึกว่าท่าทางของนางหาได้เต็มใจเข้าวังไม่ เหดุใดคราวนี้เพียงแค่ฝ่าบาทเรียกตัวนางก็ยินดีไปเช่นนี้ได้เล่า หรือนี่คือความสนิทสนมระหว่างสหายเก่าที่นางพูดถึง
ขณะนี้ไป๋ถานกำลังไปเข้าวังก็จริง ทว่านางกลับไม่ได้ยินยอมพร้อมใจเลยสักนิด
วันนี้อากาศหนาวเหลือเกิน เพิ่งเลยยามเที่ยงนางก็เลิกชั้นเรียนแล้ว นึกไม่ถึงว่าเหล่าศิษย์เพิ่งจะกลับไป ในวังก็ส่งเกาผิงมาบอกว่าญาติผู้พี่อยากพบนาง
แต่ไรมาการวางตัวเข้าวังย่อมเหน็ดเหนื่อยกว่าการวางตัวเป็นอาจารย์อย่างเทียบไม่ติด ทว่าไป๋ถานก็ไม่สะดวกใจจะทำให้ญาติผู้พี่เสียหน้าจึงจำต้องรับปากไป
ก่อนออกเดินทางไป๋ถานหักดอกเหมยกิ่งหนึ่งที่เพิ่งแย้มบานในสวนด้านหลังติดตัวไปด้วย เตรียมจะมอบให้แก่ไป๋ฮ่วนเหมย เพราะครั้งหนึ่งดอกเหมยจากต้นที่นางเคยดูแลในจวนไท่ฟู่เคยได้รับคำชมจากอีกฝ่ายมาก่อน นางจึงตั้งใจมอบดอกเหมยจากต้นที่ตนดูแลด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่งบนเขาตงซานนี้เป็นของกำนัล นี่คงไม่ทำให้นางดูยากไร้ถึงเพียงนั้นกระมัง
เอาเถิด สาเหตุหลักก็มาจากความยากจนอยู่ดี
เกาผิงพาไป๋ถานเข้าวังทางประตูด้านข้าง ตลอดทางเลือกใช้แต่เส้นทางลัด ไม่นานก็เข้าเขตวังชั้นใน เมื่อหยุดฝีเท้าเบื้องหน้าประตูตำหนักเขาจึงกล่าว “คุณหนู เชิญขอรับ”
ไป๋ถานเงยหน้ามองแผ่นป้ายเหนือประตู “นี่มิใช่ห้องทรงพระอักษรหรอกหรือ”
เกาผิงกล่าว “มิผิดขอรับ ก็คือที่นี่ คุณหนูโปรดรีบเข้าไปเถิด”
ไป๋ถานจำต้องเดินเข้าไป ภายในตำหนักว่างเปล่าไร้ผู้คน ขณะที่นางยังนึกแปลกใจก็มองเห็นดวงหน้าของซือหม่าเสวียนซึ่งเงยขึ้นมาจากเบื้องหลังหนังสือกราบทูลที่กองสูงอยู่บนโต๊ะ
“ฝ่าบาทประทับอยู่พระองค์เดียวหรือเพคะ” นางประหลาดใจเสียจนโพล่งถามจบแล้วค่อยรีบถวายบังคม
ซือหม่าเสวียนวางพู่กัน คลี่ยิ้มพลางกวักมือเรียกนาง “อะไรกัน หรือข้าอยู่คนเดียวก็ไม่อาจพบเจ้าแล้ว?”
ได้ยินอีกฝ่ายแทนตนเองว่า ‘ข้า’ ตามสบายเช่นนี้ ไป๋ถานยิ่งไม่กล้าเลินเล่อ นางเพียงเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพียงไม่กี่ก้าว รอให้ห่างจากที่ประทับของเขาอย่างน้อยหนึ่งจั้ง* แล้วก็ไม่กล้าขยับอีก
ซือหม่าเสวียนเห็นเช่นนั้นจึงเป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินมาถึงเบื้องหน้านางเสียเอง “ไม่พบกันนานถึงสิบปี คราวก่อนที่เจ้าเข้าวังก็ไม่ได้สนทนากันอย่างเต็มที่ วันนี้ยากนักที่ข้าจะมีเวลาว่าง จึงเชิญเจ้าเข้าวังมาเพื่อเอ่ยเรื่องสำคัญสักหน่อย”
ไป๋ถานชำเลืองมองโต๊ะของเขา หนังสือกราบทูลกองสูงเกือบสามเชียะเช่นนี้ยังเรียกว่ามีเวลาว่างอีกหรือ
“ฝ่าบาทเชิญตรัส ไป๋ถานน้อมรับฟังเพคะ”
ซือหม่าเสวียนถอนหายใจพลางกล่าว “เจ้าจะทำตัวเหินห่างเช่นนี้ไปไย เรียกข้าว่าซั่นซิวเหมือนเมื่อก่อนนี้ก็ได้”
ซั่นซิวคือชื่อรองของเขา เขาเกรงอกเกรงใจกับนางมากนัก แต่นางไม่กล้าเรียกเขาอย่างส่งเดชโดยเด็ดขาด หากถูกผู้อื่นได้ยินเข้านางจะทำเช่นไร อย่างไรนางก็ยังรักและถนอมชีวิตน้อยๆ ของตนยิ่ง!
ซือหม่าเสวียนเห็นนางไม่ส่งเสียงจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ช่างเถิด ข้าจะพูดอย่างชัดเจนเลยแล้วกัน วันนี้ที่เชิญเจ้ามาเพราะข้ามีราชโองการลับจะถ่ายทอดต่อเจ้า”
ไป๋ถานรีบย่อกายคุกเข่าคำนับ
สุ้มเสียงของซือหม่าเสวียนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เราบัญชาให้เจ้าอบรมหลิงตูอ๋องให้ดี ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดก็ต้องทำให้เขากลับตัวแล้วเข้าสู่วิถีทางที่ถูกต้องให้จงได้”
ไป๋ถานพลันเงยหน้าขึ้น “ไยฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับหลิงตูอ๋องถึงเพียงนี้เพคะ” นางรู้สึกแปลกใจมานานแล้ว แรกเริ่มหากมิใช่เพราะเขาใส่ใจความประพฤติของซือหม่าจิ้นเช่นนี้ นางก็คงไม่ถูกลักพาตัวไปที่จวนหลิงตูอ๋อง
ซือหม่าเสวียนกดเสียงพูดให้เบาลง “เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดข้าประทานราชทินนามแก่เขาว่าหลิงตู”
เรื่องนี้ไป๋ถานก็แปลกใจมากเช่นกัน เพราะโดยปกติอ๋องเจ้าศักดินา* ล้วนได้รับราชทินนามตามชื่อเขตปกครองของตน เช่นเดียวกับราชทินนามอวี้จางอ๋องของเขาในอดีต ทว่าหลิงตูอ๋องกลับไม่ใช่เช่นนั้น
“หรือว่าความหมายของหลิงตูคือปกครองเหนือเมืองหลวง?”**
ซือหม่าเสวียนผงกศีรษะกล่าว “ข้าได้เลือกเขาเป็นผู้สืบราชบัลลังก์มานานแล้ว”
สองตาของไป๋ถานพลันเบิกกว้าง แย่แล้ว ดูเหมือนข้าจะรับรู้ความลับที่ร้ายแรงใหญ่โตเข้าแล้ว!
ซือหม่าเสวียนคลี่ยิ้ม “เจ้าไม่ต้องตกใจไป ราชบัลลังก์นี้เดิมก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ข้าเพียงแต่ได้รับความไว้วางใจจากอดีตฮ่องเต้และตระกูลขุนนางถึงได้นั่งตำแหน่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นจนบัดนี้ข้าก็ยังไร้ทายาท จึงสมควรวางแผนไว้แต่เนิ่นๆ”
ไป๋ถานนึกได้ว่าซีชิงเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน ตอนนั้นนางยังซักไซ้อีกฝ่ายด้วยซ้ำ ทว่าอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันถึงความลับส่วนตัว นางจึงรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง “ฝ่าบาทยังทรงอยู่ในวัยฉกรรจ์ จะต้องมีทายาทเป็นแน่ ไม่จำเป็นต้องด่วนพิจารณาเรื่องผู้สืบราชบัลลังก์หรอกเพคะ”
ซือหม่าเสวียนยื่นมือพยุงนางลุกขึ้นตามมารยาท “วันหน้าต่อให้มีทายาทข้าก็ยังตัดสินใจเช่นนี้ เจ้าจงรับราชโองการเถิด”
ไป๋ถานหลุบตา “ไป๋ถานรับราชโองการเพคะ”
อันที่จริงไม่ต้องมีราชโองการลับนางก็ตั้งใจทุ่มเทเต็มที่อยู่แล้ว อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ได้รู้แล้วว่าที่ซือหม่าจิ้นดุร้ายนั้นมีสาเหตุมาจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอเพียงนางดึงเขากลับสู่วิถีทางที่ถูกต้องได้ ไม่ว่าสำหรับเขาหรือนางก็ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
นางรู้สึกนับถือซือหม่าเสวียนยิ่งนัก เขานั่งสูงอยู่บนตำแหน่งที่สามารถก้มมองสรรพชีวิตได้เช่นนี้ ทว่ากลับไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว ใช่ว่าใครก็สามารถกระทำเยี่ยงเขาได้ ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้แล้วเขาก็ยังคงเป็นอวี้จางอ๋องที่บริสุทธิ์ยุติธรรมน่าประทับใจคนเดิมผู้นั้นไม่เปลี่ยน
ซือหม่าเสวียนมิใช่คนอมทุกข์ เรื่องไร้ทายาทเยี่ยงนี้เมื่อพูดออกมาแล้วเขาก็หาได้เก็บมาเป็นอารมณ์ไม่ เพียงไม่นานเขาก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “ราชโองการลับนี้มีแต่เจ้ากับข้าที่รู้ รอให้เขากลับคืนสู่วิถีทางที่ถูกต้องแล้ว เจ้าอยากได้รางวัลใดข้าก็ล้วนรับปากทั้งสิ้น”
เพื่อไม่ให้เขาหวาดระแวง ไป๋ถานจึงคลี่ยิ้มตามอย่างสดใสเปิดเผย “ในเมื่อได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันทูลขอที่ดินพระราชทานที่เมืองอู๋สักผืนได้หรือไม่ ถึงตอนนั้นเมื่อหม่อมฉันได้อยู่ที่เมืองอู๋ก็ไม่ต้องพะวงเรื่องความเป็นอยู่แล้วเพคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าเสวียนพลันเลือนหายไปทันที “เจ้าจะไปเมืองอู๋หรือ”
“เพคะ หม่อมฉันใฝ่ฝันจะไปอยู่ที่นั่นนานยิ่งแล้ว”
“ต้องไปให้ได้เลยหรือ” เขามุ่นคิ้วพลางยื่นมือมาหานาง ทว่าสิ่งที่นิ้วมือของเขาสัมผัสกลับเป็นกิ่งไม้อันแห้งแข็งท่อนหนึ่ง
ที่แท้ยามที่ไป๋ถานเห็นเขายื่นมือมา ตัวนางก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้ว ก่อนจะพลันตระหนักได้ว่าเสียมารยาทจึงยื่นกิ่งเหมยกิ่งนั้นวางใส่มือของเขาไปตามสถานการณ์ “ฝ่าบาททรงทราบได้อย่างไรว่าหม่อมฉันจะมอบดอกไม้นี้แก่พี่สาว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่รบกวนฝ่าบาทแล้วเพคะ” พูดจบนางจึงย่อกายคำนับแล้วรีบหันหลังออกจากประตูไปอย่างเร่งร้อนจนคล้ายว่าหนีเตลิดอยู่บ้าง
เกาผิงเดินเข้ามาหลังจากนางออกไป พอเห็นดอกเหมยในมือซือหม่าเสวียนจึงประสานมือกล่าว “ฝ่าบาทจะทรงให้กระหม่อมสั่งบ่าวไพร่นำดอกไม้นี้ไปถวายที่ตำหนักกุ้ยเฟยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ซือหม่าเสวียนสั่นศีรษะ แววตายังคงเจืออาการตกตะลึงไม่หาย
ไป๋ถานวิ่งตลอดทางจนมาถึงประตูวังแล้วจึงค่อยรู้สึกได้ว่าตนค่อนข้างมุทะลุยิ่ง ซือหม่าเสวียนอาจไม่มีเจตนาอื่นใดก็เป็นได้ มิใช่นางเป็นกระต่ายที่ตื่นตูมเกินไปสักหน่อยหรือ
แม้สำหรับส่วนรวมเขาจะเป็นฮ่องเต้ แต่ส่วนตัวเขาก็ยังเป็นพี่เขย หากนางจะรักษาระยะห่างไว้บ้างก็ย่อมเป็นการสมควร
อย่างไรเสียระหว่างนางกับเขาก็ต่างถูกลิขิตให้ไม่อาจได้ลงเอยกันอยู่แล้ว…
เกาผิงให้คนมาส่งนางกลับภูเขาตงซาน เพียงย่างเท้าเข้าเรือนนางก็เห็นซือหม่าจิ้นยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน
“ท่านอ๋องมาได้จังหวะพอดี อาจารย์กำลังจะไปหาท่านอยู่เชียว” บัดนี้นางเป็นผู้สนองราชโองการลับแล้วย่อมต้องขยันขันแข็งมากกว่าแต่ก่อน
ซือหม่าจิ้นหันหน้ามองมา สีหน้าเขาอึมครึมดุจท้องฟ้าที่ไร้วี่แววของแสงตะวัน
ไป๋ถานเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็อับจนถ้อยคำ นับตั้งแต่เข้าวังคืนนั้นก็ไม่เคยเห็นเขามองตนด้วยสีหน้าที่ดีอีกเลย แปลกแท้ คนที่ล่วงเกินเขามิใช่ซีชิงหรอกหรือ ไฉนจึงดูเหมือนนางพลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปด้วยได้
นางกระแอมให้โล่งคอก่อนเดินไปหยุดยืนเบื้องหน้าเขา “ต่อไปนี้อาจารย์จะทุ่มเทเพื่อท่านอ๋องอย่างเต็มที่ วันหน้าหากท่านอ๋องยากจะข่มกลั้นความคิดสังหารต้องรีบบอกอาจารย์ทันที ห้ามปกปิดเก็บซ่อนอารมณ์โดยเด็ดขาด”
นี่มิใช่นางมีนางเจตนาดีหรอกหรือ อย่างไรเสียซือหม่าจิ้นก็ทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยแล้ว คงไม่แคล้วมียามที่ไม่อาจระงับยับยั้งได้บ้าง ขอเพียงนางมีการเตรียมพร้อมก็จะรับมือกับอาการของเขาได้ง่ายขึ้นมาก ดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ ไม่แน่อาจกำลังคิดทำเรื่องชั่วร้ายอะไรอยู่ก็เป็นได้
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้ม “ตอนนี้ข้ามีความคิดสังหารอยู่พอดี อาจารย์อยากฟังหรือไม่”
ไป๋ถานรีบเอ่ยพร้อมสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ว่ามาสิ”
ซือหม่าจิ้นถูนิ้วมือ เพลิงกองหนึ่งซึ่งสุมอยู่ในใจได้ถูกกระตุ้นจนลุกโชนโชติช่วง แผดเผาให้เขาเจ็บปวดจนยากที่จะขจัดได้ เขาคุ้นชินแต่กับการเคี่ยวกรำผู้อื่น มองดูผู้อื่นทนทุกข์ทรมาน ทว่ายามนี้ตนกลับพลัดตกเข้าสู่เงื้อมมือมารเสียเอง
เขาพลันโน้มกายมาประชิดข้างหูของไป๋ถาน พ่นลมอันน่าพรั่นพรึงก่อนแล้วเอ่ยขึ้นอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าแทบอยากฉีกอาจารย์แล้วกลืนกินท่านลงท้องไปเสียถึงจะพอใจ”
ไป๋ถานสะดุ้งจนตัวโยน นางป้องหูพร้อมถอยหลังติดกันไปหลายก้าว เพิ่งจะปั้นหน้าขรึมเตรียมแสดงความน่าเกรงขามของผู้เป็นอาจารย์ออกมา เงาร่างสีขาวสายหนึ่งก็พลันพุ่งมาถึง ก่อนกระโจนปราดเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง
“พี่สาวไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาคิดไม่ซื่อกับท่าน!” ไป๋ต้งเต้นผางหัวฟัดหัวเหวี่ยง เพิ่งจะเข้าประตูมาก็เห็นซือหม่าจิ้นกระซิบกระซาบข้างหูพี่สาวแล้ว ไหนเลยจะทนไหว เขาแค้นใจจนแทบจะเอาพี่สาวไปซ่อนไว้ถึงจะยอมเลิกรา
ซือหม่าจิ้นกลับไม่แม้แต่จะชายตาแลอีกฝ่าย เพ่งตาจับจ้องเพียงไป๋ถานอยู่ผู้เดียว “ขอเรียนถามอาจารย์ เช่นนี้ท่านจะอบรมข้าเช่นไร”
ในฐานะปัญญาชนคนหนึ่ง ก่อนอื่นไป๋ถานจำต้องวิเคราะห์ความหมายตามตัวอักษรและนัยแฝงของคำว่า ‘ฉีกกินลงท้อง’ ทว่าสุดท้ายเมื่อนำอุปนิสัยอันพิสดารและโหดร้ายของซือหม่าจิ้นมาพิจารณาประกอบร่วมแล้ว นางก็เลือกที่จะตีความตามตัวอักษร จากนั้นนางก็สั่นสะท้านไปทั้งร่างทันที
ตายแน่แล้ว หรือเรื่องที่โจษจันกันว่าเขาดื่มเลือดกินเนื้อคนในสนามรบจะเป็นความจริง!
เห็นทีตอนนี้ตนจะต้องแสดงฝีมือด้านการแสดงเสียแล้ว นางรีบสลับสีหน้าในฉับพลัน ขบริมฝีปากปั้นหน้าตรอมตรมระคนขุ่นเคือง “ช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจารย์ทำเพื่อท่านอ๋องจนต้องบาดเจ็บมาแล้วเท่าไร ได้รับความลำบากมากมายเพียงใด ไยท่านอ๋องถึงกับจะปฏิบัติต่ออาจารย์เช่นนี้…”
ช่างเป็นคำร้องทุกข์อันโศกสลดทุกถ้อยคำ ไม่ว่าเขาจะจับนางกินจริงหรือไม่ เมื่อกล่าววาจานี้ออกมาก็เพียงพอจะทำร้ายคนแล้ว!
ไป๋ต้งพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกคำรบ “พี่สาว ท่านถึงกับบาดเจ็บเพื่อเขา! พี่สาว ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่!”
ไป๋ถานแทบอยากจะยกเท้าเตะน้องชาย รู้จักดูบรรยากาศบ้างหรือไม่ พี่สาวเจ้ากำลังแสดงบทบาทมาถึงช่วงสำคัญแล้ว!
ดูเหมือนซือหม่าจิ้นจะถูกคำกล่าวอ้างของนางทำให้หวั่นไหวบ้างแล้ว เขาจึงเอ่ยพร้อมสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สิ่งที่อาจารย์อุทิศเพื่อข้า ข้าล้วนจดจำใส่ใจ วันหน้าจะขอแทนคุณเป็นเท่าทวีไม่ลืมเลือนจนชั่วชีวิตแน่นอน”
ไป๋ถานระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นท่านอ๋องยังมีความคิดสังหารอาจารย์อยู่หรือไม่”
“ความคิดสังหารของข้ามีเพียงอาจารย์ที่สามารถระงับยับยั้งได้ ฉะนั้นมีหรือไม่มีล้วนดูว่าอาจารย์จะอบรมข้าอย่างไรแล้ว” ซือหม่าจิ้นพูดจบก็เดินเข้าห้องหนังสือของนางไปตามอำเภอใจ
ไป๋ต้งไม่รอช้า ม้วนแขนเสื้อของตนขึ้นเตรียมจะไล่ตามเข้าไป “นี่เขาหมายความว่าอย่างไร เห็นที่นี่เป็นเรือนของตนเองแล้วใช่หรือไม่”
ไป๋ถานคว้าคอเสื้อของน้องชายได้ในปราดเดียว “ตกลงเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่”
สีหน้าของไป๋ต้งเปลี่ยนเป็นจืดเจื่อนในพริบตา “เอ่อ…ข้าเพียงแต่มาเยี่ยมเยือนพี่สาวเท่านั้น”
ไป๋ถานหรี่ตา “พูดมาตามตรง”
ไป๋ต้งหัวเราะแหะๆ “ท่านพ่อคิดจะเรียกท่านกลับไปอีกแล้ว”
ไป๋ถานไม่ประหลาดใจสักนิด “คราวนี้ด้วยเรื่องอะไรอีก”
“ท่านพ่อบอกว่าใกล้ครบรอบวันสิ้นบุญของแม่ใหญ่แล้ว จะให้พี่สาวกลับจวนไปร่วมพิธีอุทิศส่วนกุศล”
สิ่งที่ไป๋ถานชังที่สุดคือบิดาเอามารดาของนางมาพูดอ้าง นางเอ่ยตอบด้วยเสียงอันเย็นชา “เจ้ากลับไปบอกท่านพ่อว่าข้าระลึกถึงท่านแม่อยู่ในใจเสมอ ไม่อาจไปร่วมพิธีกรรม ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะจัดการเรื่องพิธีอุทิศส่วนกุศลนี้ด้วยตนเอง”
ไป๋ต้งหน้ายุ่ง “พี่สาว ข้าไม่เข้าใจเลย เมื่อก่อนท่านไม่เข้าเมืองหลวงก็แล้วไปเถิด แต่เดี๋ยวนี้กระทั่งในวังท่านก็เคยไปมาแล้ว เหตุใดจึงดึงดันไม่ยอมกลับจวนเสียทีเล่า”
ไป๋ถานถอนหายใจก่อนลูบศีรษะเขา “สักวันเจ้าจะเข้าใจเอง”
ไป๋ต้งถูกลูบจนความคิดล่องลอย ทว่าใจยังพะวงถึงคนที่อยู่ในห้องหนังสือ “ในเมื่อพี่สาวไม่กลับ เช่นนั้นข้าก็ไม่กลับ ข้าจะอยู่ที่นี่คอยจับตาดูมารร้ายนั่น!”
ไป๋ถานไม่รับน้ำใจ “รีบกลับไปเสีย! ขืนเจ้าไม่ไป ท่านพ่อมาเยือนซ้ำสองจะทำอย่างไรกันเล่า หรือเจ้าอยากให้ข้าถูกมัดกลับไป?”
ไป๋ต้งย่อมไม่ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น หลังวุ่นวายใจเพียงพริบตาเดียวก็ยอมแพ้ในที่สุด ถลึงตาใส่ห้องหนังสืออย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “หากมารร้ายนั่นกล้าทำอะไรท่าน ข้าไม่มีทางละเว้นเขาแน่!”
อู๋โก้วซึ่งซ่อนกายลอบดูอยู่บนระเบียงทางเดินแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ทีหนึ่ง
ไป๋ถานมองส่งน้องชายออกจากประตูเรือนจึงค่อยเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ซือหม่าจิ้นนั่งอยู่หลังโต๊ะกำลังดูหนังสือที่นางพลิกอ่านไปแล้วครึ่งเล่ม ไม่รู้ว่าเขาจะอ่านเข้าสมองไปสักกี่หน้า
นางใคร่ครวญก่อนเอ่ยปาก “อาจารย์คิดได้แล้วว่าจะอบรมท่านอ๋องอย่างไร อีกสามวันให้หลังท่านอ๋องตามอาจารย์ไปอารามเป้าผู่สักเที่ยวเถิด”
ซือหม่าจิ้นไม่พิรี้พิไร ปิดหนังสือแล้วลุกขึ้นเดินไปทางประตู “เช่นนั้นอีกสามวันข้าค่อยมาใหม่”
“ท่านอ๋อง” ไป๋ถานเอ่ยเรียกขณะที่เขาเฉียดผ่านข้างกายไป ในที่สุดนางก็ซักถามในสิ่งที่ตนฉงนมาตลอดหลายวันนี้ “พักนี้ท่านเป็นอะไรกันแน่ ใช่ท่านชิงชังรังเกียจอาจารย์หรือไม่”
ซือหม่าจิ้นชะงักเล็กน้อยก่อนเดินออกจากประตูไปโดยไม่ตอบแม้สักคำ
กระทั่งวาจายังไม่ยินดีจะพูดกับนาง ไป๋ถานอึดอัดคับข้องใจยิ่ง
เหตุที่เลือกอีกสามวันให้หลัง เพราะวันนั้นคือวันครบรอบวันตายของซีฮูหยินมารดาของนาง
แปลกพิกลแท้ นับตั้งแต่ซือหม่าจิ้นกลับไปท้องฟ้าก็แจ่มใสติดกันทุกวัน ทว่าพอถึงวันครบรอบที่เขาต้องมากลับเริ่มมีหิมะหนาทึบโปรยปรายลงมาไม่หยุด
แน่นอนว่านางต้องหยุดชั้นเรียนหนึ่งวัน ไป๋ถานตื่นแต่เช้าแล้วเลือกสวมชุดยาวสีขาวซึ่งปกปิดมิดชิด รัดเอวเข้ารูป ปล่อยเรือนผมให้ยาวสยาย ดวงหน้าหมดจดไม่ประทินโฉม ประดับเพียงปิ่นไม้ไผ่ที่โจวจื่อมอบให้อันนั้นแล้วเรียกอู๋โก้วให้นำเครื่องเซ่นไหว้มุ่งหน้าสู่อารามเป้าผู่
ตลอดทางนางภาวนาต่อดวงวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของมารดา ขอให้มารร้ายผู้นั้นกลับใจละทิ้งความชั่วแล้วหันมาทำความดีในเร็ววัน ทั้งขอให้เฉินหนิงลืมนกของเขาแล้วด้วยเถิด…
เดินมาถึงครึ่งทางจึงเห็นว่าซือหม่าจิ้นมารออยู่ก่อนแล้ว กู้เฉิงกับฉีเฟิงเดินนำหน้าเขาไปก่อน คาดว่าคงล่วงหน้าเพื่อไปเตรียมการที่อารามเป้าผู่
ไป๋ถานอ้าปากระบายลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาว “ท่านอ๋องมาเช้ายิ่งนัก”
ซือหม่าจิ้นคลุมเสื้อนอกตัวหนา มือซึ่งสอดอยู่ในแขนเสื้อประคองเตาเล็กสำหรับอุ่นมือ เขายืนหน้าตาเย็นชาอยู่บนขั้นบันไดหินของทางเดินขึ้นเขา “ไม่เช้าหรอก ข้าเพิ่งจะมาถึง”
ไป๋ถานเดินตรงเข้าไปเอ่ยหยอกเย้า “คนที่รูปกายกำยำเช่นท่านอ๋องก็ยังต้องใช้เตาอุ่นมือหรือนี่”
“ฮึ ใช่ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ของพรรค์นี้สักนิด” ซือหม่าจิ้นยัดเตาเล็กนั้นใส่มือของนางก่อนยกเท้าเดินมุ่งขึ้นเขาไป
ไป๋ถานมองเตาอุ่นใบเล็กที่อยู่ในมืออย่างตกตะลึง ท่าทางนางจะพูดผิดไปหรือไม่ คนที่กำยำแข็งแรงเพียงใดก็กลัวหนาวได้เช่นกัน ทว่าเตานี่ช่างอบอุ่นดีจริงเชียว คงหักใจคืนให้เขาไม่ได้เสียแล้ว
นางไล่ตามเขาไป ก่อนจะสังเกตว่าฝีเท้าของซือหม่าจิ้นค่อยๆ ผ่อนช้าลงแล้ว เพียงไม่นานนางก็เดินนำหน้าเขาหนึ่งก้าว
เดินไปได้สักพักนางจึงปรายตามองไปด้านหลังแวบหนึ่ง กลับเห็นซือหม่าจิ้นแทบจะแนบร่างกว่าครึ่งของเขามาค่อนชิดแผ่นหลังของนาง เสื้อนอกตัวหนาอ้าออกนิดๆ เพียงพอจะบังลมและหิมะเหนือหัวไหล่ของนางขึ้นมาได้พอดี
ไป๋ถานรู้สึกเหนือความคาดหมายไม่น้อย “นี่ท่านอ๋องกำลังบังหิมะให้อาจารย์อยู่หรือ”
ซือหม่าจิ้นหัวคิ้วขมวดมุ่น ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าไป “อาจารย์คิดมากไปหรือไม่”
“…” จริงด้วย เรื่องเคารพเชื่อฟังอาจารย์เขาย่อมไม่มีทางทำแน่
เหล่านักพรตในอารามเป้าผู่กำลังกวาดหิมะที่สะสมอยู่บนขั้นบันไดหิน ทันทีที่เห็นฉีเฟิงกับกู้เฉิงทั้งหมดก็หน้าพลันถอดสี ต่างกลัวว่าตนจะรั้งท้ายรีบแย่งกันวิ่งไปหาศิษย์พี่ใหญ่เฉินหนิงทันที
ยามที่ไป๋ถานเดินเข้าสู่โถงใหญ่ก็มองเห็นสีหน้าตัดพ้อของเฉินหนิงในปราดเดียว
“ขอเรียนถามว่าคุณหนูไป๋ให้เกียรติมาเยือนอารามแห่งนี้ด้วยเรื่องอันใด”
“สหายเก่ากันแท้ๆ เหตุใดเจ้ายังตำหนิข้าอยู่อีกเล่า”
“ไม่ตำหนิเจ้าแล้วให้อาตมาตำหนิใคร” เฉินหนิงชำเลืองมองซือหม่าจิ้นที่อยู่ข้างกายนางพลางคิดในใจว่า…อาตมาจะกล้าตำหนิมารร้ายผู้นั้นหรือ!
ไป๋ถานเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว แสดงท่าทีให้เขาไปสนทนากันที่มุมห้อง
เฉินหนิงแม้ไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจนัก แต่ยังคงเดินตามนางไป
ทั้งสองกระซิบกระซาบกันพักใหญ่ ไป๋ถานชักแม่น้ำทั้งห้าจนริมฝีปากใกล้จะเปื่อยอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะต้องการให้อีกฝ่ายช่วยประกอบพิธีกรรมให้กับมารดาของนาง
“เอาเถิด” เฉินหนิงพาดแส้ปัดกับวงแขน “เรื่องมาถึงขั้นนี้ พูดอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ หลังทำพิธีเสร็จเจ้าก็ให้ค่าเหนื่อยมาสักหน่อยเป็นพอ”
ไป๋ถานผงกศีรษะเป็นพัลวัน “นั่นย่อมแน่นอน”
เฉินหนิงถอนหายใจก่อนขยับปากขมุบขมิบสองสามประโยคสวดส่งดวงวิญญาณให้แก่นกน้อยที่ตายอย่างอนาถของเขาเหล่านั้น จากนั้นจึงค่อยสั่งการให้เหล่าศิษย์ตั้งโต๊ะบูชาเพื่อตระเตรียมเครื่องใช้สำหรับประกอบพิธีกรรม
รอจนจัดวางกระถางธูปเชิงเทียนบนโต๊ะครบถ้วนแล้ว เฉินหนิงจึงนำศิษย์หลายคนมานั่งขัดสมาธิบนเบาะกลมแล้วเริ่มสวดมนต์ภาวนาโดยพร้อมเพรียง
ซือหม่าจิ้นถามไป๋ถาน “นี่กำลังทำพิธีอุทิศส่วนกุศลให้ใครหรือ”
ไป๋ถานตอบเสียงเบา “มารดาผู้ล่วงลับ”
“ที่แท้คือซีฮูหยิน เช่นนั้นข้าย่อมต้องเซ่นไหว้สักหน่อย” ซือหม่าจิ้นสั่งให้ฉีเฟิงหยิบธูปมาสามดอก เขาลงมือจุดแล้วปักบนกระถางธูปด้วยตนเอง
ปฏิกิริยาของเขาอยู่ในความคาดหมายของไป๋ถาน แต่นางก็ยังจงใจเอ่ยถามหนึ่งประโยค “เหตุใดท่านอ๋องพอได้ยินว่าเป็นมารดาของอาจารย์แล้วจึงเซ่นไหว้เล่า”
ซือหม่าจิ้นกล่าว “วัยเด็กข้าเคยได้ยินเสด็จแม่รับสั่งว่านางสามารถรู้จักกับเสด็จพ่อได้เป็นเพราะมีซีฮูหยินเป็นผู้แนะนำ”
ไป๋ถานย่อมรู้เรื่องนี้แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ “อาจารย์เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก วัยเด็กเพียงได้ยินมาตลอดว่าอดีตฮ่องเต้กับอดีตฮองเฮาทรงเป็นคู่ที่รักใคร่ผูกพันกันลึกซึ้งยิ่ง ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเกี่ยวข้องกับมารดาของอาจารย์ด้วย”
ซือหม่าจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “เสด็จพ่อทรงปฏิบัติต่อชนชั้นปกครองอย่างเฉียบขาดรุนแรงจนเป็นเหตุให้ชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยก่อกบฏ คนรุ่นหลังจึงประณามกล่าวโทษเขาเป็นส่วนใหญ่ ทว่ากลับมีเพียงตำหนักในที่ร่มเย็น นับเป็นข้อดีของเสด็จพ่อ”
มีบุตรชายที่ใดวิจารณ์บิดาตนเองเช่นนี้บ้าง ไป๋ถานพลันรู้สึกผิดหวัง เดิมทีนางคาดหวังจะอาศัยพิธีกรรมของมารดาสะกิดให้เขาหวนระลึกถึงบุพการีของตนเอง อย่างไรเสียต่อให้เขาเป็นคนที่เลือดเย็นเพียงใดก็ต้องมีความรู้สึกรักและเคารพต่อบุพการีไม่มากก็น้อย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการปรับปรุงความประพฤติของเขาได้อย่างแน่นอน แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่าคำประเมินจากปากของเขาที่มีต่ออดีตฮ่องเต้จะเป็นเช่นนี้
ไป๋ถานเอ่ยต่อด้วยหัวข้อสนทนาของเขาโดยไม่คิดถอดใจ “ได้ยินว่าตอนนั้นทัพกบฏข้ามแม่น้ำบุกเข้าเมืองเจี้ยนคังได้ก็ตรงไปคุกคามที่กำแพงวังทันที อดีตฮองเฮาทรงเผชิญวิกฤติในยามนั้นโดยไม่ครั่นคร้าม ตวาดประณามทัพกบฏเสียงกร้าว ทรงห้าวหาญเฉียบขาดเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่อดีตฮ่องเต้จะทรงโปรดปรานยิ่งกว่าผู้ใด”
ซือหม่าจิ้นเอียงหน้าไปมองนาง “อาจารย์อยากบอกว่ามีมารดาเช่นนี้ไยจึงมีทายาทเยี่ยงข้าได้ใช่หรือไม่”
ทั้งที่ถูกเขาพูดเปิดโปงความในใจของนางออกมา ทว่าไป๋ถานก็ยังมีสีหน้าซื่อตรงดุจเดิม “เชียนหลิงเอ๋ย อาจารย์จิตใจดีงามยิ่ง ไม่เคยกระทบกระเทียบศิษย์ของตนในใจมาก่อน เจ้าพูดถึงอาจารย์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ซือหม่าจิ้นไม่แสดงท่าทีใดๆ เพียงหันหน้าไปเหลียวมองรอบด้าน “นี่ก็คือการอบรมที่อาจารย์เอ่ยถึงหรือ”
ไป๋ถานรู้สึกอับจนปัญญาอยู่บ้าง นางยกชายชุดแล้วนั่งคุกเข่าบนเบาะกลม ผินหน้ามามองเขา “ในเมื่อท่านอ๋องให้ความเคารพต่อมารดาของข้า เช่นนั้นต่อหน้าดวงวิญญาณบนสรวงสวรรค์ของนางก็ควรจะยิ่งซาบซึ้งถึงหลักเหตุผลที่ว่า ‘ผู้ตายล่วงลับไม่กลับคืน ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่พึงเคารพ’ ต่อไปก็สมควรระงับยับยั้งความคิดสังหารของตนให้ได้”
สำคัญที่สุดคือต้องระงับยับยั้งความคิดที่จะแตะต้องอาจารย์!
ซือหม่าจิ้นไม่พูดไม่จา แม้ท่าทางไร้ความสนใจ แต่กลับไม่เห็นอาการหงุดหงิดเอือมระอา
เฉินหนิงท่องบทสวดจบก็ประกอบพิธีในช่วงท้ายต่ออีกครู่หนึ่ง รอจนเสร็จสิ้นแล้วจึงสะบัดแส้ปัดเดินมาถึงเบื้องหน้าไป๋ถาน “อีกไม่กี่วันราชสำนักจะจัดงานล่าสัตว์ฤดูหนาว เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่”
ไป๋ถานชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่ได้อยู่ในราชสำนักจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
เฉินหนิงกล่าวต่อ “วันนั้นอาตมาจะตามเสด็จไปที่อุทยานเล่อโหยว ถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องมาด้วย”
ไป๋ถานรู้สึกขบขัน “ข้าล่าสัตว์ไม่เป็นสักนิด เจ้าเรียกข้าไปทำอะไร”
เฉินหนิงแสดงท่าทีให้นางลุกขึ้น จากนั้นชี้แจงสาเหตุต่อนางอย่างละเอียดชัดแจ้ง
เจตนาของเขาคือให้ไป๋ถานไปไถ่ชีวิตเหยื่อที่ถูกล่ามาได้ ก่อนหน้านี้ซือหม่าจิ้นฟันนกของเขาไปกี่ตัว วันนั้นนางก็ต้องไถ่ชีวิตสัตว์ตามจำนวนนกที่ตายไป นี่เรียกว่าหนึ่งชีวิตชดเชยหนึ่งชีวิต นับเป็นการสร้างกุศลเช่นกัน
ไป๋ถานรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เช่นนี้ข้าไม่ต้องไปหัดล่าสัตว์ก่อนหรืออย่างไร”
เฉินหนิงเชิดคาง “เจ้าล่าสัตว์ไม่เป็น แต่ศิษย์ที่เจ้าสอนล่าเป็นนี่ สรุปว่านี่คือค่าเหนื่อยของพิธีกรรมวันนี้ เจ้าคิดดูเองก็แล้วกัน” สายตาของเขาล่องลอยไปทางซือหม่าจิ้นอย่างไม่ค่อยเด่นชัด
ไป๋ถานเลื่อมใสในสมองของเฉินหนิงยิ่งนัก อยากสั่งสอนซือหม่าจิ้นก็พูดมาตรงๆ เถิดไยต้องเอานางมาอ้างด้วย!
ทว่ามองอีกมุมหนึ่ง นี่ก็เป็นโอกาสที่จะให้ซือหม่าจิ้นได้กล่อมเกลาจิตใจ สุดท้ายนางจึงผงกศีรษะรับปากอยู่ดี
ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้มไม่พูดไม่จา เขาไหนเลยจะไม่รู้ถึงจุดมุ่งหมายของเฉินหนิง
เฉินหนิงเดินจากไปอย่างพออกพอใจ ไป๋ถานไหว้คารวะไปทางโต๊ะวางกระถางธูปอีกครั้งก่อนยืดกายเดินจากมา เพิ่งจะออกจากซุ้มประตูทางขึ้นอารามก็ปะทะเข้ากับไป๋หยั่งถังและไป๋ต้ง
พวกเขานำคนกลุ่มหนึ่งพร้อมธูปเทียนเครื่องเซ่นไหว้กำลังจะขึ้นไปบนอาราม
เดิมสีหน้าของไป๋หยั่งถังก็ไม่นับว่าดี พอมองเห็นนางจึงไม่ชวนมองยิ่งขึ้นอีกส่วน “กระทั่งวันครบรอบวันตายของมารดาตนเองก็ยังไม่กลับไป ครอบครัวใดมีบุตรสาวเยี่ยงเจ้าบ้าง” เนื่องจากพะวงว่ายังมีคนนอกอยู่ด้วย เขาจึงกดเสียงพูดให้เบาลงเล็กน้อย
ใบหน้าของไป๋ถานพลันขรึมลง นางยกเท้ามุ่งไปเบื้องหน้า “ท่านพ่ออย่าได้เอ่ยถึงท่านแม่จะเป็นการดีที่สุด หาไม่ท่านและข้า กระทั่งบิดากับบุตรสาวก็อาจเป็นไม่ได้”
ไป๋หยั่งถังถูกนางยั่วโทสะจนแค่นหัวเราะเย็นชาติดกันหลายหน “ไม่เสียทีที่ได้เป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋อง เดี๋ยวนี้ไม่เห็นบิดาอยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว”
ไป๋ถานชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับไป “ใช่แล้ว ตอนนั้นท่านพ่อคงคาดหวังเหลือเกินที่จะได้เห็นข้าใช้ชีวิตตกระกำลำบากอยู่ข้างนอกแล้วซมซานกลับไปขอร้องท่านกระมัง ทว่าน่าเสียดาย ยิ่งทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจสมดังที่ท่านปรารถนา ท่านคงผิดหวังมากใช่หรือไม่”
ไป๋หยั่งถังกลับไม่มีโทสะเช่นนั้นแล้ว เขาเอามือไพล่หลังพลางพูดประโยคเดียวอย่างเย็นชา “ใช่ ผิดหวังถึงขีดสุด”
ประโยคซึ่งสุ้มเสียงไม่หนักไม่เบานี้กลับเป็นเช่นใบมีดอันคมกริบสุดแสนที่กรีดปากแผลซึ่งตกสะเก็ดมานับสิบปีให้เปิดออกอีกครั้ง ไป๋ถานเม้มปากสนิท นางกำเตาอุ่นที่อยู่ในมือไว้แน่น แต่ก็ยังรู้สึกว่านิ้วมือของตนยังเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง
ตลอดหลายปีที่ไม่พึ่งพิงผู้อื่น ชีวิตบนเส้นทางอันยากแค้นแสนลำบากนี้ ในสายตาของเขากลับเป็นเพียงการนั่งชมเรื่องสนุกเท่านั้น เขาเพียงเฝ้ารอดูพริบตาที่นางจะพ่ายแพ้ทั้งกระดาน นางไม่ได้สลดหดหู่ เพียงแต่ก้นบึ้งของหัวใจกลับกระจ่างทะลุปรุโปร่งแล้วเท่านั้น
“ผิดหวังที่ใดกัน ข้ารู้สึกว่าพี่สาวเก่งกาจมากต่างหาก” ไป๋ต้งทนไม่ไหวนานแล้ว เพิ่งตั้งท่าจะวิ่งไปปลอบโยนไป๋ถานสักสองสามประโยค กลับเห็นซือหม่าจิ้นเดินออกมาจากด้านในของซุ้มประตูเสียก่อน ไป๋ต้งพลันเบิกตาจนกลมโตในทันที “เหตุใดเขาถึงอยู่ที่นี่ด้วย!”
ซือหม่าจิ้นเพียงกวาดตามองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว เขาไม่แยแสการคารวะของไป๋หยั่งถัง เพียงเดินลงเขามาอย่างไม่รีบร้อนทว่าก็ไม่ชักช้า “ข้ามาเซ่นไหว้มารดาของอาจารย์โดยเฉพาะ มีอันใดไม่เหมาะสมหรือ”
ไป๋ต้งร่างเซวูบ หวุดหวิดจะนั่งแปะลงบนพื้นหิมะ เขามองอู๋โก้วที่ยืนอยู่อีกด้านโดยไร้สุ้มเสียง อีกฝ่ายสีหน้าไร้ความรู้สึกขณะพยักหน้าให้เขา ยืนยันว่าประโยคนี้เป็นความจริง
ไม่นะไม่ ตนไม่อาจยอมรับได้ ไม่ใช่คนในครอบครัวสักหน่อยเขาจะมาเซ่นไหว้อะไร เหตุใดพี่สาวจึงพาเขามาด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาใกล้ชิดถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
เด็กรับใช้นามซวงเฉวียนวิ่งมาพยุงผู้เป็นนายแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณชายเก็บน้ำตาไว้ก่อนเถิด ยังไม่ถึงเวลาเซ่นไหว้เลยนะ”
ไป๋ต้งหลั่งน้ำตาสองสายอย่างอับจนถ้อยคำ