ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด – หน้า 7 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด

บทที่เจ็ด

 สภาพอากาศแย่ลงทุกที ถึงขั้นมีเค้าว่าเส้นทางบนภูเขาจะถูกหิมะปิดผนึก เหล่าศิษย์บนภูเขาตงซานล้วนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางขึ้นลงเขาทุกวัน ทว่าบรรดาบ่าวรับใช้ที่คอยรับส่งกลับยากลำบากยิ่งกว่า

แม้ที่ผ่านมาไป๋ถานจะวางตัวเคร่งขรึมเข้มงวดต่อหน้าเหล่าศิษย์อยู่เสมอ ทว่าส่วนลึกในใจยังคงรักและถนอมพวกเขาเป็นอย่างมาก หากเป็นเมื่อก่อนนางคงหยุดชั้นเรียนไม่ให้พวกเขาตรากตรำเดินทางนานแล้ว ทว่าปีนี้นางกลับไม่มีความคิดจะหยุดชั้นเรียนแต่อย่างใด

เมื่อดูศิษย์เหล่านี้เติบใหญ่จนกระทั่งกลายเป็นหนุ่มน้อยที่สง่างามกันแล้ว บางทีพวกเขาอาจต้องลาจากข้างกายนางในอีกไม่ช้า นางจึงรู้สึกอาวรณ์อยู่บ้าง สามารถสอนเพิ่มได้เท่าไรย่อมจะสอนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ผลจากทุกวันที่นางห่วงแต่เข้าสอน ทำให้ลืมเลือนนัดหมายกับเฉินหนิงไปเสียสนิท จวบจนมีศิษย์หลายคนมาขอลาหยุดกับนาง

โจวจื่อเป็นหัวหน้ายกน้ำชาหนึ่งถ้วยมาให้นางถึงบนโต๊ะเล็ก จากนั้นเอ่ยชี้แจงสาเหตุ “ราชสำนักกำลังจะจัดงานล่าสัตว์ฤดูหนาว ปีนี้พวกศิษย์อายุถึงเกณฑ์แล้ว ต้องติดตามผู้ใหญ่ไปเรียนรู้ที่อุทยานเล่อโหยว หวังว่าอาจารย์จะอนุญาตให้ลาหยุดขอรับ”

ไป๋ถานเพิ่งจะนึกถึงเรื่องยุ่งยากนี้ขึ้นได้จึงรีบเอ่ยถาม “ล่าสัตว์ฤดูหนาวกำหนดไว้วันใดหรือ”

โจวจื่อตอบ “พรุ่งนี้แล้วขอรับ”

ไป๋ถานลูบหน้าผาก สั่งการให้อู๋โก้วรีบไปเตรียมตัวทันที

จริงดังคาด วันรุ่งขึ้นเฉินหนิงพานักพรตน้อยรูปหนึ่งมาถึงตั้งแต่เช้า เขายืนอยู่ข้างประตูสะบัดแส้ปัดขับไล่ไอหนาวพลางร้องเร่งนางให้รีบออกเดินทางโดยไม่ขาดปาก

อย่างไรเสียงานนี้จะมีตระกูลขุนนางใหญ่ปรากฏตัวจำนวนมาก ไป๋ถานไม่อาจดูซอมซ่อได้ นางเลือกหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีแดงสดตัวเดียวที่มีอยู่ออกมา ดวงหน้ายังแต้มชาดและแป้งผัดหน้าอีกเล็กน้อย พิถีพิถันยิ่งกว่าไปงานเลี้ยงในวังคืนนั้นเสียอีก

เดิมทีนางตัดสินใจจะไปเองคนเดียว ต่อมาคิดว่าไม่สะดวกจึงยังคงพาอู๋โก้วไปด้วยจะดีกว่า

อารามหลวงย่อมได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง เฉินหนิงเดินทางไปคราวนี้มีคนมารับส่งเขาโดยเฉพาะ ทั้งรถม้าก็ช่างกว้างขวางจนชวนให้ผู้อื่นอิจฉาตาร้อนยิ่ง

ขณะไป๋ถานนั่งอยู่บนรถม้าในใจยังนึกกังขาไม่หาย ผู้อื่นออกไปล่าสัตว์ ผู้บำเพ็ญพรตเช่นเขาจะโผล่ไปผสมโรงด้วยเหตุอันใด เหยื่อที่ล่าได้ยามถูกฆ่าตัวหนึ่งก็ให้สวดส่งดวงวิญญาณทีหนึ่งหรืออย่างไร

บนท้องฟ้าฉายแสงตะวันอันอบอุ่น กระนั้นหิมะที่ทับถมอยู่บนพื้นกลับยังไม่ละลายหมดสิ้น

หลังเข้าเมืองทางประตูทิศเหนือ ข้ามสะพานตงเหมินก็มาถึงหน้าประตูอุทยานเล่อโหยว ไป๋ถานผูกเชือกเสื้อคลุมเสร็จจึงเดินลงจากรถ เพิ่งเข้าสู่ด้านในของอุทยานก็เห็นไป๋ต้งขี่ม้ารวมกลุ่มมากับบุตรหลานตระกูลขุนนาง

ไป๋ถานกังวลใจว่าบิดาจะมาด้วยจึงจงใจเรียกอู๋โก้วให้เดินช้าลงเพื่อหลบเลี่ยงพวกเขา

ตำหนักประทับในอุทยานได้รับการปัดกวาดจนทั่วแล้วรอบหนึ่ง นอกจากเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่าน บริเวณอื่นยังคงมีหิมะสะสม บนก้อนหินสีเทาและต้นสนสีเขียวล้วนปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนจนกลายเป็นทัศนียภาพในอีกรูปแบบหนึ่ง

ช่วงเวลานี้ฮ่องเต้ย่อมไม่ประทับในโถงตำหนัก หากทรงตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขา เพราะผืนป่าด้านบนก็คือลานล่าสัตว์

เฉินหนิงฝีเท้ารวดเร็ว พอเดินไปถึงหน้ากระโจมก็กวักมือเรียกไป๋ถานอยู่ไกลๆ

ไป๋ถานรู้ว่าเขาจะไปถวายการรับใช้ข้างกายฮ่องเต้จึงจงใจอ้อยอิ่งอยู่บนทางเดินพลางหาโอกาสปลีกตัว นึกไม่ถึงว่าซือหม่าเสวียนจะเพิ่งมาจากข้างนอก เกี้ยวเคลื่อนมาถึงตรงหน้าจึงพบกันเข้าพอดี

นางตั้งสติถวายบังคม

ซือหม่าเสวียนได้ยินเฉินหนิงถวายรายงานแต่แรกว่าจะพานางมาจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด เขาไม่ได้ลงจากเกี้ยว เพียงเอียงกายเล็กน้อยมาพิงบนที่เท้าแขนแล้วเอ่ยเสียงเบา “วันนั้นเราบุ่มบ่ามเกินไป เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย”

ไป๋ถานเอ่ยอย่างวางหน้าไม่สนิท “ฝ่าบาทตรัสหนักไปแล้วเพคะ หม่อมฉันลืมไปหมดแล้ว”

ซือหม่าเสวียนอมยิ้ม ริมฝีปากที่หุบปิดเผยอขึ้นทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ก่อนโบกมือเป็นความหมายให้ออกเดินทางต่อ

ไป๋ถานมองส่งอีกฝ่ายเข้าสู่กระโจมฮ่องเต้ เดิมนางยังรู้สึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง พอเห็นเฉินหนิงอยู่หน้าประตูกระโจมลอบจับจ้องเหยี่ยวที่เลี้ยงจนเชื่องในมือขององครักษ์ไม่วางตาแล้ว อารมณ์ของนางก็พลันสลายวับในพริบตา

รายนั้นคงไม่คิดจะเลี้ยงเหยี่ยวหรอกกระมัง ถอดใจเสียเถิด เหยี่ยวก็ต่อกรกับมารร้ายไม่ไหวอยู่ดี!

ทุกปีช่วงเวลาที่เหมาะแก่การล่าสัตว์อย่างแท้จริงคือยามวสันต์และฤดูสารท ที่จริงแล้วจุดประสงค์หลักของการล่าสัตว์ในฤดูหนาวก็เพื่อให้บุตรหลานตระกูลขุนนางได้ยืดเส้นยืดสายสำแดงฝีมือเชิงบู๊กันบ้าง

ภายในป่าเขาสุมไปด้วยใบไม้ปนหิมะ เพื่อต้อนรับการล่าสัตว์ฤดูหนาว ระยะนี้จึงหยุดให้อาหารสัตว์ป่าเป็นการเฉพาะ สองสามวันนี้จึงเป็นช่วงที่สัตว์ป่ากำลังดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง

พอซือหม่าเสวียนเข้าไปในกระโจม บุตรหลานตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ก็รีบเรียกพวกพ้องจับกลุ่มเพื่อจะเข้าไปถวายบังคม แต่ละคนสวมชุดชาวหูกับรองเท้าหุ้มข้อทรงสูง แขนคล้องคันศรยาว ภายในกลุ่มนี้มีโจวจื่อกับหลิวทงศิษย์ของไป๋ถานรวมอยู่ด้วย

ซือหม่าจิ้นสวมชุดชาวหูสีดำสนิทตลอดร่าง นั่งคร่อมอยู่บนหลังอาชามองดูพวกเขาอยู่ไกลๆ ดวงหน้าถูกสีดำขับเน้นให้ผิวพรรณยิ่งแลดูขาวกระจ่าง ริมฝีปากก็แดงเปล่งปลั่ง ทว่าข้างเอวกลับพกกระบี่ แผ่นหลังสะพายคันศร ต่อให้รูปโฉมหล่อเหลาเพียงใดก็ถูกองค์ประกอบเหล่านี้ขับให้เขาดูเย็นชาไร้ไมตรีขึ้นหลายส่วน

หวังฮ่วนจือขี่ม้ามาอย่างเนิบช้า บนร่างกลับอยู่ในอาภรณ์หลวมยาวแขนกว้าง ผู้ที่ไม่รู้อาจนึกไปว่าเขามาเที่ยวชมธรรมชาติมากกว่ามาล่าสัตว์ “จุ๊ๆ เปรียบกับที่ผ่านมา วันนี้ท่านอ๋องกลับมีรูปงามขึ้นอีกส่วนแล้ว ไม่ไหวๆ ต่อไปข้าน้อยคงไม่กล้าจับจ้องท่านอ๋องตรงๆ เป็นแน่”

ซือหม่าจิ้นคร้านจะแยแสปากไม่มีหูรูดของอีกฝ่ายแล้ว เขาเพียงยกแส้ม้าที่อยู่ในมือชี้ไปยังบุตรหลานตระกูลขุนนางกลุ่มนั้น “เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่”

หวังฮ่วนจือหรี่ตามองไป “หน้าตาไม่เลว ทว่าห่างชั้นกับท่านอ๋องลิบลับ” เขามีนิสัยรักชอบสิ่งสวยงาม ปราดแรกจึงมองแต่รูปโฉมภายนอกไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นชายหรือหญิง

ซือหม่าจิ้นกล่าว “เขาชื่อโจวจื่อ ดูจากอายุอีกไม่นานก็จะได้เวลาเข้าสู่วงราชการ เจ้าจำไว้แล้วคอยสังเกตเขาด้วย”

ขณะนี้หวังฮ่วนจือทำงานอยู่ในกรมปกครอง วาจานี้ย่อมแปลว่าให้เขาดูแลเส้นทางราชการของอีกฝ่ายให้ราบรื่น ซึ่งหมายถึงซือหม่าจิ้นต้องรู้สึกว่าคนผู้นั้นใช้การได้ เขาตั้งใจมองโจวจื่ออีกสองสามหนก่อนที่สายตาจะพลันเหลือบไปยังบริเวณที่ไกลออกไป ผู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นล้วนเป็นเหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งครอบเกี้ยวทองบนมวยผมและห้อยแถบผ้าไหมคล้องเครื่องประดับยศที่ข้างเอว ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่จะเข้ามาทักทายซือหม่าจิ้น

“ยามนี้อ๋องเจ้าศักดินาที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมีไม่ต่ำกว่าห้าหกคน ไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของท่านอ๋องที่แท้แล้วคือผู้ใดในหมู่พวกเขา”

ซือหม่าจิ้นชำเลืองมองผ่านๆ แล้วถอนสายตากลับมา “หากเป็นคู่ต่อสู้ เขาก็จะเผยโฉมออกมาเอง”

หวังฮ่วนจือคลี่ยิ้มพลางผงกศีรษะ “ได้ยินว่าในเมืองหลวงมีคนน่าสงสัยปะปนเข้ามาจำนวนหนึ่ง อย่างไรท่านอ๋องต้องระวังตัวด้วย” จบคำเขาก็ปั้นหน้าบูดบึ้งแล้วขี่ม้าหันกลับไปอีกทาง ท่าทางคล้ายเพิ่งจะมีปากเสียงกับซือหม่าจิ้นมา อย่างไรเสียในสายตาของผู้อื่นพวกเขาก็เหมือนเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว ไม่มีทางคาดคิดแน่ว่าเมื่อครู่บรรยากาศการสนทนาของพวกเขาจะสนิทสนมกลมเกลียวเช่นนี้

ซือหม่าจิ้นกระตุ้นม้าเตรียมมุ่งหน้าเข้าสู่ผืนป่า ม้าเหยาะย่างไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็เหลือบเห็นเงาร่างสีแดงสดสอดมืออยู่ในแขนเสื้อกำลังก้าวเดินไปช้าๆ สีขาวของหิมะที่อยู่เบื้องหลังช่วยขับเน้นสีแดงของเสื้อคลุมให้โดดเด่นขึ้น สีที่เข้าคู่กันนี้ดุจเดียวกับของว่างที่เขาได้ลิ้มรสเมื่อวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน เพียงมองนางก็นึกอยากกัดชิมดูสักคำ

เขาไล้เลียริมฝีปากเบาๆ ทว่าชั่วอึดใจต่อมากลับพบว่าทิศทางที่นางเดินไปคือกระโจมของฮ่องเต้ ใบหน้าของเขาพลันบึ้งตึงในพริบตา มือหวดแส้ม้าดังขวับก่อนควบทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงไป๋ถานไม่ได้จะไปที่กระโจมของฮ่องเต้ ทว่านางจะไปที่กระโจมของกุ้ยเฟยซึ่งตั้งอยู่หลังจากนั้น

เมื่อครู่ขันทีผู้หนึ่งมาแจ้งว่าไป๋กุ้ยเฟยให้เชิญนางไปพบ นางถึงได้รู้ว่าไป๋ฮ่วนเหมยก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน

ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกคนก็ไปล่าสัตว์กันหมด ยังไม่มีเหยื่อให้นางได้ไถ่ชีวิต ตอนนี้ไปพบปะญาติผู้พี่ก่อนก็ดีเหมือนกัน

นางกำนัลสองคนเลิกม่านกระโจมขึ้น ไป๋ถานแสดงท่าทีให้อู๋โก้วรออยู่ด้านนอกก่อนก้มกายเข้าไป ชั่วพริบตานั้นนางก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนที่โชยเข้ามาปะทะใบหน้า ภายในกระโจมจุดกำยาน ถ่านไฟลุกไหม้โชติช่วง

ไป๋ฮ่วนเหมยสวมชุดชาววังสีม่วงอ่อน ดวงหน้าแต่งแต้มประทินโฉมอย่างประณีตบรรจง พออีกฝ่ายเห็นไป๋ถานเข้ามาแล้วก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับทันที “อาถาน ข้าไม่ได้พบเจ้าตั้งหลายปี” นางประคองไป๋ถานซึ่งตั้งท่าจะย่อกายคำนับไว้ จากนั้นแสดงท่าทีให้บ่าวไพร่ที่อยู่รอบข้างถอยออกไปแล้วจูงญาติผู้น้องนั่งลง “หลายปีมานี้เจ้าอยู่บนภูเขาตงซานตัวคนเดียวสุขสบายดีหรือไม่”

ไป๋ถานอมยิ้มพลางผงกศีรษะ “ข้านั้นสุขสบายดียิ่ง แสนจะอิสรเสรี”

“เจ้า…” ไป๋ฮ่วนเหมยพลันอึกอัก “ ทีแรกเป็นเพราะฝ่าบาททรงเลือกข้าเข้าวัง เจ้าถึงได้ออกจากจวนไปใช่หรือไม่”

ไป๋ถานมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ “ไยพี่สาวจึงพูดเช่นนี้เล่า ที่ข้าออกจากจวนเป็นเพราะไม่ลงรอยกับท่านพ่อ ท่านไม่ใช่ไม่รู้นี่”

ไป๋ฮ่วนเหมยกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าสนิทกับฝ่าบาท ยังนึกว่าเจ้ามีใจให้พระองค์มาตลอด”

ไป๋ถานกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ “พี่สาวก็รู้ว่าตอนนั้นข้ายังเด็กนัก ใครบ้างตอนอายุยังน้อยจะไม่มีภาพเคลิ้มฝัน หากข้ามีใจเช่นนั้นจริง วันนี้ไหนเลยจะมีหน้ามาพบท่านได้ ยามนี้ข้าเพียงแต่เลื่อมใสในความเป็นสุภาพบุรุษของฝ่าบาทเท่านั้น ไม่มีอื่นใดอีก พี่สาวอย่าได้คิดมากเป็นอันขาด”

นี่คือวาจาจริง นางไม่ใช่คนที่จะกระบิดกระบวนกับเรื่องของความรู้สึก กระทั่งสายใยครอบครัวนางยังละทิ้งได้ ความคิดคำนึงเพียงเล็กน้อยเท่านี้นางย่อมปล่อยวางไปนานแล้ว

ไป๋ฮ่วนเหมยถอนหายใจ “เจ้าอย่าได้นึกว่าข้าถือสาถึงได้ถามเช่นนี้ อันที่จริงข้าไม่ถือสักนิด เดิมเรื่องของฝ่าบาทข้าก็ไม่ค่อยยุ่มย่ามอยู่แล้ว ข้ายังคิดว่าขอเพียงเจ้ามีใจต่อฝ่าบาทจริง เช่นนั้นเข้าวังมาข้าก็จะได้มีเพื่อน”

ไป๋ถานตกตะลึง “ข้าเห็นงานเลี้ยงในวังคืนนั้นพี่สาวบรรเลงเพลงถ่ายทอดอารมณ์ลึกซึ้ง เห็นชัดว่ารักใคร่ผูกพันกับฝ่าบาทดียิ่ง ไยจึงกล่าววาจาเช่นนี้เล่า”

ไป๋ฮ่วนเหมยหลุบตาลง “ในวังหลวงพูดถึงรักแท้อันใดกันเล่า คืนนั้นข้าเพียงแต่แสดงให้ทุกคนดู หาได้ใส่ใจฝ่าบาทถึงเพียงนั้นไม่ ฝ่าบาทก็ทรงปฏิบัติต่อข้าตามหน้าที่ของสามี ต่างฝ่ายต่างให้เกียรติซึ่งกันและกันเท่านั้นเอง”

นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของไป๋ถานโดยแท้ นางนึกว่าญาติผู้พี่ถูกวังหลวงพันธนาการความสามารถไปแล้วเสียอีก กลับนึกไม่ถึงเลยว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่อีกฝ่ายจงใจแสดงออกมา

“ในเมื่อฝ่าบาททรงเลือกพี่สาวเข้าวังก็ย่อมต้องมีความรัก เพียงแต่อุปนิสัยของพระองค์อาจเรียบเฉยเก็บอารมณ์ไปบ้าง ดังนั้นพี่สาวถึงได้รู้สึกเช่นนี้กระมัง”

ไป๋ฮ่วนเหมยสั่นศีรษะ “ข้ารู้แจ้งแก่ใจดี ทีแรกที่ทรงเลือกข้าล้วนเป็นเพราะฐานะของข้าเท่านั้น”

“เพราะท่านคือยอดคีตาหรือ” ไป๋ถานขบคิด…เมื่อก่อนก็ไม่เห็นซือหม่าเสวียนชมชอบเสียงเพลงสักเท่าไรนักนี่

ไป๋ฮ่วนเหมยเพียงกุมมือของนางแน่นโดยไม่เอ่ยตอบ “ข้าอิจฉาความกล้าหาญของเจ้ามาโดยตลอด ไม่เหมือนกับข้า ได้แต่ยอมเข้าวังมาเป็นสนมตามการจัดการ”

ที่ผ่านมาไป๋ฮ่วนเหมยเป็นคนที่นุ่มนวลกว่าใคร ตอนแรกที่จะให้เข้าวังก็ไม่เห็นนางต่อต้านเลยสักนิด ไป๋ถานจึงนึกมาตลอดว่านางเต็มใจ

“พี่สาว วาจานี้ผิดแล้ว หากข้าออกจากบ้านเป็นความกล้าหาญ ท่านเข้าวังเพื่อวงศ์ตระกูลไยมิใช่เป็นความกล้าหาญในอีกรูปแบบหนึ่งเล่า”

ไป๋ฮ่วนเหมยฟังจบก็ตะลึงงัน นางพลันยกมือขึ้นปิดหน้า หยาดน้ำตาหยดใหญ่พรั่งพรูลงมาตามร่องนิ้วแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

หลายปีที่อยู่ในวังหลวง คนในตระกูลมีแต่ย้ำเตือนให้นางเอาพระทัยฝ่าบาทอย่างไร รักษาฐานะไว้อย่างไร ทว่าไม่เคยมีใครเอ่ยวาจาเข้าอกเข้าใจนางเช่นนี้มาก่อน

จวบจนบัดนี้ฝ่าบาทยังทรงไร้ทายาท สกุลใหญ่เช่นหวังกับเซี่ยย่อมจะส่งสตรีเข้าวังมาในไม่ช้านี้แล้ว ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังเว้นว่างอยู่ สกุลไป๋แห่งไท่หยวนเพิ่งรุ่งเรืองขึ้นไม่กี่ปีนี้เท่านั้น จะต่อสู้กับสองตระกูลใหญ่นั้นได้อย่างไรไหว ภาระบนบ่าของนางหนักหนาขึ้นทุกวัน ไหนเลยจะไม่รู้สึกคับแค้นบ้าง

ชั่วขณะนั้นอารมณ์ทั้งหลายประดังเข้ามาในใจของไป๋ถาน นางเอ่ยพลางลูบหลังอีกฝ่าย “ฝ่าบาททรงพระปรีชา บุคลิกราศีดุจพญาหงส์มังกร ไยมิใช่คู่ครองที่ดีเล่า ขอเพียงพี่สาวเปิดใจให้พระองค์ วันหน้าท่านต้องได้รับผลที่ดีแน่”

ไป๋ฮ่วนเหมยถือผ้าเช็ดหน้าบรรจงซับหางตาก่อนประดับรอยยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง “อย่าพูดเรื่องข้าอีกเลย พูดถึงเจ้าบ้างดีกว่า ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้ว คนผู้นี้รับมือยากมากใช่หรือไม่”

ไป๋ถานบีบนวดหว่างคิ้ว “พักนี้รับมือยากอยู่บ้างจริงๆ…”

ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่กันแน่!

พูดมาถึงตรงนี้นอกกระโจมพลันเกิดเสียงดังสับสนอลหม่าน จากนั้นขันทีผู้หนึ่งก็วิ่งปราดเข้ากระโจมมารายงานอย่างรีบร้อน “ทูลกุ้ยเฟย! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ มีเสือตัวหนึ่งบุกออกจากป่า ใกล้จะมุ่งหน้ามาทางนี้แล้ว”

ไป๋ฮ่วนเหมยผุดลุกขึ้นด้วยความตระหนก ดวงหน้าซีดขาวลงหลายส่วน

ไป๋ถานเดินไปสังเกตการณ์ที่ข้างประตูกระโจม ก่อนจะมองเห็นซือหม่าเสวียนซึ่งเปลี่ยนมาสวมชุดชาวหูขี่ม้าตรงมาพร้อมเปล่งเสียงตะโกนแต่ไกล “อารักขากุ้ยเฟย!”

เกาผิงนำองครักษ์รุดมาอย่างรวดเร็ว หมายคุ้มกันกุ้ยเฟยเพื่อจะพาจากไป

ไป๋ฮ่วนเหมยชะงักเพียงชั่วอึดใจ ยามออกเดินท่าทางของนางก็กลับมาภูมิฐานสง่างามดังเดิมแล้ว “ถวายอารักขาฝ่าบาทเป็นสำคัญ ข้าจะรุกและถอยไปพร้อมกับฝ่าบาท” พูดประโยคนี้จบนางถึงติดตามองครักษ์ออกจากประตูไป

ไป๋ถานเดินตามออกไปนอกกระโจมจึงเห็นซือหม่าเสวียนจับมือไป๋ฮ่วนเหมยมุ่งหน้าจากไปด้วยกัน

นี่สิจึงเป็นทิศทางที่มือของเขาควรจะยื่นไป วันนั้นที่มือเขายื่นมาหานาง บางทีอาจเกิดจากความรู้สึกดี หรือบางทีอาจเกิดจากมิตรภาพที่มีมาช้านานเท่านั้น แต่ไม่ว่าความรู้สึกใดก็ล้วนต้องอยู่ในขอบเขตของจารีต หากเขาไม่ควบคุมแม้แต่น้อยก็เท่ากับอาศัยพระราชอำนาจกระทำการตามอำเภอใจ แต่เห็นชัดว่าเขามิใช่คนเช่นนั้น เขายังรู้จักคำนึงถึงผู้อื่น และรู้จักหน้าที่ของตนเอง

ซือหม่าเสวียนที่เป็นเช่นนี้เปรียบกับอวี้จางอ๋องในอดีตยิ่งคู่ควรที่นางจะเคารพนับถือ

ลมหนาวกระโชกแรงจนดังอื้ออึงอยู่บ้าง เสียงตัดพ้อของอู๋โก้วพลันดังตามมา “อาจารย์ไม่รู้สึกหรือว่าท่านลืมอะไรไป”

ไป๋ถานได้สติกระทืบเท้าทันใด “จริงด้วย ใครจะมาคุ้มกันข้าเล่า”

อู๋โก้วชักเท้าออกวิ่งโดยไม่รอช้า “รีบหนีกันเถิดเจ้าค่ะ”

ไป๋ถานเพิ่งจะย่างเท้าออกไปก็พลันได้ยินเสียงกีบม้าถี่กระชั้นดังขึ้นที่เบื้องหลัง นางยังไม่ทันได้หันไปมองก็รู้สึกว่าช่วงเอวตึงวูบ ร่างถูกหอบขึ้นไปทั้งตัว นางยื่นมือคว้าจับตามสัญชาตญาณ สิ่งที่คว้าได้คือแถบผ้าไหมประดับหยก ทันทีที่เงยหน้าก็สบเข้ากับดวงตาทั้งคู่ของซือหม่าจิ้น

“อาจารย์อย่าห่วงแต่จะมองฝ่าบาทจนไม่เหลียวแลกระทั่งชีวิตของตนเอง”

ไป๋ถานไม่มีเวลาถือสาหาความกับคำพูดนี้ของเขา นางเพียงหันหน้าเพื่อจะไปมองอู๋โก้ว ทว่ากลับมีธนูลับดอกหนึ่งเฉียดผ่านจอนผมไป ทำเอานางผวาจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย

“ท่านอ๋องระวัง! มีคนจะลอบสังหาร!”

ซือหม่าจิ้นกดร่างนางเข้าสู่อ้อมกอด หมอบกายลงต่ำพร้อมหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณอาจารย์ที่ห่วงใย แต่คนที่พวกมันคิดจะฆ่าน่าจะเป็นท่านมากกว่า”

ไป๋ถานใช้คุณธรรมชั่วชีวิตเป็นประกันว่าไม่เคยล่วงเกินใคร ดังนั้นนางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะมีใครมาลอบสังหารนางเพราะเหตุใด

ทว่าต่อให้ในใจฉงนสงสัยมากเพียงใด ตอนนี้ก็หาใช่เวลาสนทนาไม่

ซือหม่าจิ้นพานางควบม้าห้อตะบึงไปตลอดทาง ทว่าทั้งสองไม่ได้มุ่งหน้าออกจากอุทยานเล่อโหยว ตรงกันข้ามกลับมุ่งขึ้นเขาเข้าไปในป่า

ระหว่างทางพวกเขาเห็นเหล่าองครักษ์วิ่งไปมาขวักไขว่ แต่ทั้งหมดล้วนวุ่นวายอยู่กับการจับเสือและถวายการอารักขา ดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นธนูลับดอกนั้นสักนิด

ในป่าหิมะสุมหนายิ่ง เขาจำต้องรั้งบังเหียนเพื่อหยุดม้า ซือหม่าจิ้นอุ้มไป๋ถานลงมาแล้วกุมมือนางเดินมุ่งหน้าต่อ

ชั่วขณะนั้นไป๋ถานได้ยินเสียงย่ำหิมะดังสวบสาบ นางนึกห่วงพะวงอู๋โก้วจึงเหลียวหลังกลับไปมอง เท้าไม่ทันระวังจึงพลิกวูบหวุดหวิดจะหกล้ม ทันใดนั้นธนูลับอีกดอกก็ยิงมาอย่างพอดิบพอดี ก่อนถากแผ่นหลังของนางไปฉิวเฉียด สะกิดเสื้อคลุมขาดไปรูหนึ่ง

นางหวาดผวาหนัก ไม่กระมัง พุ่งเป้ามาที่ข้าจริงหรือนี่!

ซือหม่าจิ้นดึงร่างนางกระชับแน่น จังหวะก้าวเร่งยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น สองฟากพลันมีเสียงฝีเท้าประชิดเข้ามาอย่างเร่งร้อน คมดาบหนาวยะเยือกแทงกระหนาบเข้ามาทั้งซ้ายขวา

ขณะที่นางได้แต่เบิกตามองโดยไร้หนทางจะหลบเลี่ยง ซือหม่าจิ้นกลับว่องไวยิ่งกว่าสองคนนั้น เขาชักกระบี่เชือดคอคนผู้หนึ่งไปในปราดเดียว ทั้งคุ้มกันไป๋ถานให้อยู่เบื้องหลังแล้วเปลี่ยนมือปาดออกไปอีกหนึ่งกระบี่ สองคนนั้นจึงถูกปลิดชีพในพริบตา ร่างทรุดลงบนพื้นโดยไม่ทันได้เปล่งเสียงใดๆ

ไป๋ถานปิดปากตนเองอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ปีนั้นตอนที่ลี้ภัยอยู่เมืองอู๋นางเคยพบเห็นเหตุการณ์ทัพกบฏฆ่าสังหารผู้คนมาแล้ว ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นในระยะใกล้ปานนี้ กระทั่งนางถูกฉุดวิ่งไปไกลแล้วก็ยังมีอาการมึนงงอยู่ไม่หาย

ไม่นานนักเบื้องหน้าก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมา เป็นฉีเฟิงกับกู้เฉิงนำกำลังพลรุดมาถึง

“ท่านอ๋องขอรับ บนเขาพบความผิดปกติ” ฉีเฟิงประสานมือคำนับก่อนหรี่ตาอันลุ่มลึก

ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงฮึกล่าวอย่างเย็นชา “กว่าจะรอพวกเจ้ารู้สึกตัว ข้าก็คงจบชีวิตไปนานแล้ว”

ตอนนี้เองฉีเฟิงถึงจะสังเกตเห็นคราบเลือดบนปลายกระบี่ของผู้เป็นนาย ใบหน้าของเขาเหยเกในพริบตา ยังนึกว่าจะได้รับคำชมว่าตนหลักแหลมเสียอีก ที่แท้ตนก็บกพร่องในหน้าที่ไปแล้ว

“ไปโยกย้ายกำลังพลส่วนหนึ่งมาตรวจค้นภูเขา” ซือหม่าจิ้นสั่งกู้เฉิงพลางจูงไป๋ถานเดินไปถึงไหล่เขาโดยไม่หยุดชะงักฝีเท้า

ตรงนั้นซือหม่าจิ้นตั้งกระโจมไว้ชั่วคราวสำหรับพักระหว่างล่าสัตว์ มีองครักษ์หน่วยเล็กเพียงหนึ่งหน่วยคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก

ถึงกระนั้นไป๋ถานก็ยังใจชื้นขึ้นมาบ้าง นางรีบเอ่ยกับซือหม่าจิ้นทันทีที่เข้ามาในกระโจม “สถานการณ์คับขันยิ่ง ทว่าพวกเราก็ไม่อาจพะวงมัวแต่หลบซ่อนเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือท่านอ๋องควรรีบทูลแจ้งฝ่าบาท หากมีอันตรายไปถึงฝ่าบาทและกุ้ยเฟยจะทำประการใด”

ซือหม่าจิ้นพลันคลายมือออกจากมือนาง “ต่อให้อีกฝ่ายโง่งมเพียงใดก็ไม่ลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาทในอุทยานเล่อโหยวกระมัง อาจารย์เพียงห่วงตนเองให้ดีเป็นพอ”

จวบจนตอนนี้ไป๋ถานถึงรู้ตัวว่าถูกเขาจูงมือมาตลอดทาง นางหดนิ้วมือกลับเข้าไปในแขนเสื้ออย่างขัดเขิน “เช่นนั้นเหตุใดพวกเขาต้องลอบสังหารข้าเล่า”

ซือหม่าจิ้นกำลังจะออกจากกระโจม ได้ยินเช่นนี้จึงชะงักฝีเท้าหันหน้ากลับมา “อาจารย์ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตนคืออัญมณีเม็ดหนึ่ง”

“อะไรนะ!”

เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ในมือของอาจารย์กุมราชสำนักในอนาคตครึ่งหนึ่งอยู่”

ไป๋ถานตะลึงงันก่อนจะพลันรู้สึกขบขัน “ในมือของข้าสอนบุตรหลานตระกูลขุนนางอยู่กลุ่มหนึ่งก็จริง ทว่าวันหน้าพวกเขามีแต่จะรับใช้วงศ์ตระกูลของตน ต่อให้เคารพเชื่อฟังอาจารย์เพียงใด วาจาของข้าไหนเลยจะไปเทียบกับผลประโยชน์วงศ์ตระกูลของพวกเขาได้”

ซือหม่าจิ้นเอ่ย “วาจานี้อาจารย์กล่าวกับข้าย่อมไม่มีประโยชน์ ทว่าในสายตาของผู้อื่น ท่านคือบุตรีของไท่ฟู่ เป็นญาติผู้น้องของกุ้ยเฟย ในมือมีสายสัมพันธ์กับตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งท่านยังกลายมาเป็นอาจารย์ของข้า ย่อมจะมีคนรู้สึกว่าท่านคือสิ่งกีดขวางของพวกเขาเป็นแน่”

ไป๋ถานเข้าใจแล้ว “ฟังท่านอ๋องพูดเช่นนี้ ที่สุดแล้วเป้าหมายของนักฆ่าก็ยังคงเป็นท่านอ๋อง”

“กว่าพวกมันจะหาโอกาสลงมือได้ไม่ใช่ง่ายๆ ข้าเองก็รอคอยมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้สบช่องกระชากตัวพวกมันออกมาพอดี”

มิน่าถึงพาข้ามุ่งขึ้นเขาเข้ามาในป่า!

ไป๋ถานโกรธเคืองอยู่บ้าง “นี่ท่านอ๋องจะใช้อาจารย์เป็นเหยื่อล่อหรืออย่างไร”

“อาจารย์วางใจได้ ตราบที่ข้ามีลมหายใจอยู่ อาจารย์จะไม่เป็นอะไรเด็ดขาด” ซือหม่าจิ้นพูดจบก็ถือกระบี่ออกจากประตูไป

ไป๋ถานรู้สึกปวดศีรษะ จริงอยู่นางคือบุตรีของไท่ฟู่และญาติผู้น้องของกุ้ยเฟย ทว่านางก็แยกตัวออกจากสกุลไป๋มาเนิ่นนานแล้ว ฐานะเหล่านี้จึงเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น จริงอีกเช่นกันที่นางมีศิษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง ทว่าเหล่าศิษย์ก็ไม่แน่ว่าจะมีหน้ามีตาอยู่ในราชสำนักได้ทุกคน ต่อให้มีหน้ามีตาขึ้นมาจริงก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นวันเดือนปีใด!

นักฆ่าพวกนี้ก่อนปฏิบัติการลอบสังหารจะสืบสถานะของนางสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ

หลังจากกู้เฉิงโยกย้ายกำลังพลมาถึงแล้ว ซือหม่าจิ้นก็นำทหารออกไปลาดตระเวนในป่าด้วยตนเองอยู่หลายรอบ บุตรหลานตระกูลขุนนางจำนวนมากยังคงล่าสัตว์อยู่เช่นเดิมโดยไม่ทันได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้บางคนพอจะรู้หรือระแคะระคายบ้างก็เพียงแต่นึกว่าเพราะเสืออาละวาดจึงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด

สถานการณ์เช่นนี้ยากยิ่งที่จะเสาะหาและจับกุมคนร้าย

ไป๋ถานรอคอยอยู่ในกระโจม ใกล้จะถึงยามเที่ยงแล้ว จวบจนบัดนี้แม้อาหารและน้ำยังไม่ตกถึงท้อง กระนั้นนางก็เป็นห่วงอู๋โก้วจนไม่รู้สึกหิวสักนิด

นางนั่งลงข้างโต๊ะ ยื่นมือไปอังใกล้ๆ กระถางไฟ จู่ๆ พลันได้ยินเสียงตวาดก้องขององครักษ์ที่อยู่เบื้องนอก จากนั้นฉีเฟิงกับกู้เฉิงที่เฝ้าประตูอยู่ก็พุ่งปราดออกไปในพริบตา

ไป๋ถานกังวลว่าหากเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำย่อมไม่อาจรั้งอยู่ตามลำพัง นางจึงรีบวิ่งตามพวกเขาออกไปโดยไม่รอช้า

ผลคือยังไล่ตามไปไม่ทันก็เห็นคนทั้งหมดย้อนกลับมาพร้อมสีหน้าที่คว้าน้ำเหลวแล้ว

“เกิดอะไรขึ้น”

กู้เฉิงตอบ “เห็นชัดๆ ว่ามีคนผลุบๆ โผล่ๆ แต่กลับไล่ไม่ทัน ขาดอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”

ฉีเฟิงตำหนิอีกฝ่าย “หากไม่ใช่เพราะเจ้ายืดยาดข้าก็จับมันได้แล้ว ไม่เห็นหรือพวกเรามีกันเป็นโขยง!” เขายืนแสดงท่าทางประกอบอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่ง “เมื่อครู่มันนั่งยองอยู่ตรงนี้ ข้าเห็นเองกับตา โอกาสงามออกปานนั้น!”

ไป๋ถานปรายตามองตามมือของเขาไปยังต้นไม้ต้นนั้น นางตระหนกวูบรีบสาวเท้าเดินตรงไป

บนต้นไม้มีอักษรตัวหนึ่งสลักอยู่ นางยื่นมือลูบดูพบว่ายังมีความชื้นจากลำต้น เห็นชัดว่าเพิ่งสลักไว้ไม่นานนัก

ฉีเฟิงเห็นนางมองจดจ่อจึงกระเถิบมาดูบ้าง “นี่คืออะไร”

ไป๋ถานชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ตัวอักษรอย่างไรเล่า นี่เจ้าดูไม่ออกเลยหรือ”

ฉีเฟิงถูกน้ำเสียงของนางที่บอกชัดว่าเขาสมควรจะดูออกทิ่มแทงใจยิ่งนัก เขาเป็นทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ตัวอักษรที่รู้จักนั้นใช้มือข้างเดียวก็นับได้ถ้วนแล้ว ไหนเลยจะเทียบกับนางได้! ทว่าเขาก็ไม่ยอมแพ้ รีบกวักมือเรียกกู้เฉิง “เจ้ามาดูซิว่ารู้จักหรือไม่”

กู้เฉิงขยับเข้ามาดูอย่างละเอียด ก่อนเกาแกรกๆ บนศีรษะซึ่งเต็มไปด้วยผมแห้งกรอบพลางส่ายหน้า

“ฮึ!” ฉีเฟิงค่อยรู้สึกเท่าเทียมขึ้นมา เขาแค่นเสียงฮึหนักๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจ

ไป๋ถานตีหน้าผากตนเองทีหนึ่ง “ข้าลืมไปเสียสนิท นี่คืออักษรจิน* สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก พวกเจ้าดูไม่ออกก็ไม่แปลก” นางพลันนึกแผนการขึ้นได้จึงเอ่ยกับกู้เฉิง “รีบไปเชิญท่านอ๋องของเจ้ากลับมา บอกว่าข้ามีวิธีจับนักฆ่านั่นแล้ว”

กู้เฉิงลงเขาไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไป๋ถานกวักมือเรียกฉีเฟิง “ไป พวกเราไปตั้งกระโจมที่อื่นกัน”

ฉีเฟิงกอดอกไม่ขยับเขยื้อน

ไป๋ถานเลิกคิ้ว “ข้าคืออาจารย์ของท่านอ๋องเจ้านะ ขอเพียงข้ายินดี ต่อให้สั่งเจ้ากลิ้งจากบนเขาตรงนี้ไปกลับรอบหนึ่งก็ยังทำได้ เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า”

“…” ฉีเฟิงขบริมฝีปากแน่น เชื่อหมดใจเชียวล่ะ!

ซือหม่าจิ้นไม่ได้กลับมาตามลำพัง เขายังพาซีชิงกับองครักษ์หนึ่งหน่วยในอุทยานเล่อโหยวมาด้วย

หลังจากค้นหารอบหนึ่งจึงพบกับไป๋ถาน ส่วนฉีเฟิงนำคนไปตั้งกระโจมตามบัญชาของนางเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังยืนหน้าบูดบึ้งหัวเสียอยู่

ซีชิงสอดมืออยู่ในแขนเสื้อพลางเดินมาหยอกเย้าใกล้ๆ “ถานจ๋า แม้เจ้าจะหวาดกลัว แต่ก็ไม่เห็นต้องสร้างรังให้ตนมากเช่นนี้เลย”

ไป๋ถานขึงตาใส่เขาก่อนเอ่ยกับซือหม่าจิ้น “นักฆ่าได้ส่งคนมาสอดแนมบริเวณที่พักของพวกเราและทิ้งอักษรตัวหนึ่งไว้เป็นสัญลักษณ์ คาดว่ากำลังรอรวมพลแล้วค่อยลงมือ แต่เป็นเพราะท่านอ๋องตรวจค้นป่าทั้งภูเขาจึงบีบให้พวกเขาจำต้องกระจายตัว ดังนั้นอาจารย์จึงมาตั้งกระโจมอีกแห่งอยู่ที่นี่ ท่านอ๋องสามารถนำคนไปดักซุ่มอยู่ละแวกกระโจมเดิมได้ บางทีอาจรวบอีกฝ่ายเข้าสู่ตาข่ายได้หมดในคราวเดียว”

ซีชิงอดไม่ได้ที่จะขบขัน “ถึงกับกล้าทิ้งตัวอักษรไว้? ใต้หล้าไหนเลยจะมีนักฆ่าที่โง่งมปานนั้น”

ไป๋ถานปรายตามองเขา “ถ้าหากตัวอักษรที่ทิ้งไว้คืออักษรจินสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกเล่า”

ซีชิงอับจนถ้อยคำไปทันที เอาเถิด เช่นนั้นก็ไม่แปลกแล้ว คนส่วนใหญ่เห็นเข้าคงนึกว่าเป็นยันต์กันผี** คงมีแต่นางที่จะรู้จัก

เบาะแสนี้สะกิดความทรงจำของซือหม่าจิ้น ชั่วขณะจึงไม่ทันได้ขยับตัว

ไป๋ถานนึกว่าเขาคลางแคลงในคำพูดของตนจึงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ยามที่อาจารย์หัดเดินได้ก็เริ่มจดจำตัวอักษรจินแล้ว ไม่มีทางจำผิดเป็นอันขาด ท่านอ๋องถึงกับไม่เชื่อถืออาจารย์เชียวหรือ”

ซือหม่าจิ้นโพล่งขึ้น “อาจารย์ยังจำเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนได้หรือไม่ ตอนที่ทัพกบฏส่งคนแฝงตัวเข้ามาค้นหาข้าในเมืองอู๋ก็เคยสลักอักษรทิ้งสัญลักษณ์ไว้เช่นเดียวกับตอนนี้”

ไป๋ถานชะงักกึก ใบหน้าว่างเปล่างุนงง

ซือหม่าจิ้นเอ่ยเสียงขรึม “ช่างเถิด ถึงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่เคยเก็บเรื่องในตอนนั้นมาใส่ใจแม้เพียงน้อยนิด”

ไป๋ถานมองเขาหมุนกายจากไปอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นางสอบถามซีชิง “ความจำของข้าดีสู้เขาไม่ได้ก็ผิดด้วยหรือ”

ซีชิงมองฟ้า “สรุปไม่ใช่ความผิดของข้าก็แล้วกัน”

 

ซือหม่าจิ้นนำกำลังพลเต็มอัตรารุดไปดักซุ่มอยู่บริเวณกระโจมเดิม ซีชิงรู้สึกว่าตนไม่ใช่เป้าหมายจึงลงเขาไปตรวจสอบสถานการณ์อย่างสบายอารมณ์

ไป๋ถานได้แต่รอคอยอยู่ในกระโจมที่เพิ่งตั้งใหม่ คาดว่าเป็นเพราะตื่นเต้นผิดธรรมดา นางจึงยังกระชุ่มกระชวยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งไม่รู้สึกอ่อนเพลียหรือหิวโหยเลยแม้แต่น้อย

จวบจนยามฟ้าใกล้มืด ในที่สุดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่เบื้องนอก

ลมหนาวหอบม่านกระโจมจนปลิวสะบัด ไป๋ถานรีบลุกพรวด ปลายจมูกได้กลิ่นคาวเลือดที่ฉุนแรงลอยมาทันที

ซือหม่าจิ้นมือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือลากคนที่ร่อแร่ปางตายผู้หนึ่งเข้ามาแล้วโยนส่งๆ ลงกับพื้น บริเวณที่ร่างนั้นถูกลากผ่านล้วนทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวสายหนึ่ง

ไป๋ถานหวุดหวิดจะอาเจียนออกมา สองมือของคนผู้นั้นถูกกุดขาดสะบั้น ทว่ายังไม่ถึงแก่ชีวิต ร่างเขาบิดเกร็งเป็นก้อนอยู่บนพื้น ไป๋ถานขมวดคิ้วแล้วเบนสายตาไป

“ท่านอ๋องตั้งใจจะทำอะไร”

“สอบสวนมัน”

ตอนที่เพิ่งจับอีกฝ่ายได้นั้นซือหม่าจิ้นก็ใช้กำลังกะเทาะเอายาพิษที่ซุกซ่อนอยู่หลังซี่ฟันของคนร้ายออกมาก่อนแล้ว บัดนี้อีกฝ่ายอยู่อย่างทุกข์ทรมานซ้ำยังถูกตัดหนทางตายของตนเองไปแล้ว สภาพจิตใจเสมือนอยู่บนขอบเหวที่ใกล้จะพังครืนลงมาเต็มที

ซือหม่าจิ้นฉวยมีดสั้นเล่มบางออกมาจากรองเท้าหุ้มข้อ ก่อนย่ำหนึ่งเท้าใส่ข้อมืออีกฝ่ายตรงรอยขาด “ผู้บงการหลังม่านเป็นใคร บอกออกมาแล้วข้าจะให้เจ้าไปสบาย”

คนผู้นั้นพลันแผดเสียงร้องโหยหวน

ไป๋ถานอุดหูอย่างทนไม่ไหว “ท่านอ๋อง!”

ซือหม่าจิ้นหันมามองนางอย่างเยือกเย็น “อาจารย์ก็เห็นแล้วมิใช่หรือว่าเขาอยู่ได้อีกไม่นาน ข้าไม่ฉวยจังหวะเค้นสอบเขาตอนนี้ หรือยังสามารถยื้อจนส่งตัวให้ศาลได้?”

ไป๋ถานย่อมเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี และไม่มีทางที่นางจะบังเกิดจิตเมตตากับนักฆ่า ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ต้องเค้นสอบให้ได้คำตอบโดยไม่สนวิธีการใด ทว่าระยะนี้กว่าที่เขาจะสงบเสงี่ยมขึ้นบ้างไม่ใช่ง่ายๆ เมื่อใดที่นางปล่อยปละ ซือหม่าจิ้นก็อาจเข่นฆ่าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นกาลก่อนอีก นางจึงจำต้องเตือนสติเขา

“อาจารย์เพียงหวังว่าท่านอ๋องอย่าได้ตามใจตนจนเกินขอบเขต ทำตามหลักเกณฑ์เป็นพอ”

“ข้าจดจำไว้แล้ว ทว่าฉากต่อจากนี้อาจารย์อย่าดูจะเป็นการดีที่สุด” ซือหม่าจิ้นคลายแถบรัดมวยผมออก ก่อนจะเดินพร้อมเรือนผมที่ยาวสยายมาถึงเบื้องหน้าไป๋ถาน เขาใช้แถบผ้านั้นผูกปิดสองตาของนางก่อนกดไหล่เบาๆ ให้นางนั่งลง

ไป๋ถานหันหลังไป ไตร่ตรองเพียงเล็กน้อยก็ยกมืออุดหู

แต่กระนั้นเสียงร้องแหลมสูงโหยหวนก็ยังคงแทรกเข้าหูมาเป็นระยะ

ไป๋ถานอกสั่นขวัญผวา ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดในที่สุดจึงไม่ได้ยินเสียงอีก หัวใจนางเหนื่อยล้ายิ่ง จึงเอนร่างไปด้านหลังเพื่อพิงกับขอบโต๊ะ

ซือหม่าจิ้นเค้นสอบเสร็จก็ลากตัวคนออกไป จึงพบกับซีชิงที่ขึ้นเขามาพอดี

เขาลงไปสืบข่าวจึงพบว่าซือหม่าเสวียนไม่ได้ไปจากอุทยาน เสือก็ถูกจับได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายหรือไม่ ซือหม่าเสวียนนั่งบัญชาการอยู่ในโถงตำหนัก รอจนเบิกตัวคนทั้งหมดมาพบเพื่อตรวจนับจำนวน แล้วถึงค่อยพบว่าซือหม่าจิ้นกับไป๋ถานหายไป

“ฝ่าบาททรงส่งเกาผิงมาสนับสนุนแล้ว ยามนี้ท่านอ๋องลงเขาได้แล้วขอรับ” ซีชิงกล่าวพลางชำเลืองมองซือหม่าจิ้น เรือนผมของอีกฝ่ายปล่อยสยาย บนร่างของเขาเปรอะด้วยโลหิต แลดูน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดโดยแท้

ซือหม่าจิ้นเหยียดยิ้ม “เขามาสนับสนุนข้าหรือมารับไป๋ถานกันแน่”

ซีชิงตะลึงงัน “ย่อมต้องมาสนับสนุนท่านอ๋องอยู่แล้ว”

เสียงของซือหม่าจิ้นเบาลงหลายส่วน “หรือเจ้าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนนี้ไป๋ถานกับฝ่าบาทมีไมตรีคบหากัน?”

ซีชิงขบคิดเล็กน้อยก็พลันตระหนักได้ “ตอนอายุยังน้อยไป๋ถานมีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับอวี้จางอ๋องจริง แต่หลายปีมานี้ไม่เห็นนางจะเคยเอ่ยถึง” เขาเหลือบมองซือหม่าจิ้นก่อนทุบกำปั้นอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงทำเช่นนี้ สามยอดอัจฉริยะแห่งใต้หล้าพระองค์ตั้งใจจะยึดครองไปสองคนเลยหรืออย่างไร หากไป๋ถานเข้าวัง เช่นนั้นวันหน้าข้ามิต้องเข้าวังไปด้วยหรือ”

ซือหม่าจิ้นเอ่ยเสียงเย็นชา “หากจะเข้าวังไปเป็นขันที ข้าพร้อมส่งเสริมเจ้าทุกเมื่อ”

ซีชิงยิ้มเจื่อน เผ่นหนีไว้ก่อนเป็นยอดดี

ซือหม่าจิ้นหมุนกายเดินกลับเข้ากระโจม เห็นไป๋ถานยังพิงร่างกับขอบโต๊ะ ก้มหน้านิดๆ ดูคล้ายอ่อนเพลียอยู่บ้าง

“ท่านอ๋องสอบสวนเสร็จแล้วหรือ”

ซือหม่าจิ้นไม่ตอบ กลับเดินไปนั่งยองเบื้องหน้านาง สองตาของนางยังถูกปิดด้วยแถบผ้า จอนผมหลายเส้นกระจายปรกข้างแก้ม เห็นนางหดคอคล้ายรู้สึกหนาว

เข้าวังหรือ ฮึ!

เขาจับปลายคางของนางแล้วแนบริมฝีปากลงไปทันที

ไป๋ถานพลันตระหนกวูบ ริมฝีปากถูกกดประทับหนักหน่วง ลมหายใจร้อนผ่าวไล้ใบหน้าขณะที่สายตากลับมีแต่ความมืดมิด ทันทีที่เผยอริมฝีปากหมายจะร้องอุทานกลับทำให้อีกฝ่ายสบช่องรุกล้ำเข้ามา มือข้างหนึ่งของเขารวบอยู่ที่เอวของนาง นางปรารถนาจะดิ้นให้หลุด ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับเป็นพันธนาการที่ดุดันยิ่งขึ้น

ในที่สุดนางก็นึกขึ้นได้ว่ามือของนางยังเป็นอิสระ จึงยื่นมือเลิกแถบผ้าบนดวงตาออกก็พลันสบเข้ากับสองตาอันเยียบเย็นของซือหม่าจิ้น

อีกฝ่ายปล่อยผมสยายคลุมไหล่ ทั้งสาบเสื้อก็เปื้อนเลือด เขาค่อยๆ ผละห่างออกไปอย่างเนิบช้า ไล้เลียริมฝีปากคล้ายยังอารมณ์ค้างไม่จุใจ

ทว่าปฏิกิริยาแรกของไป๋ถานกลับเป็นการลูบริมฝีปากพลางสอบถาม “บนปากของอาจารย์มีเลือดหรือ”

ประกายตาของซือหม่าจิ้นหม่นลง “ไม่มี”

ไป๋ถานตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง สีหน้าขรึมลงในฉับพลัน “ท่านอ๋อง ท่านคงมิได้หมายตาอาจารย์กระมัง”

ใต้หล้านี้ไม่มีศิษย์คนใดกล้าจุมพิตอาจารย์ของตนส่งเดชหรอก ยามที่ไป๋ถานถามประโยคนี้ออกไป ส่วนลึกในใจก็เริ่มว้าวุ่น เพราะไม่ว่าคำตอบใดนางล้วนรู้สึกว่าไม่เหมาะสมยิ่ง

หากตอบว่าใช่ การกระทำนี้ก็ขัดต่อจารีตระหว่างศิษย์อาจารย์ แต่หากตอบว่าไม่ใช่…ถ้าไม่ใช่แล้วเจ้าจุมพิตข้าด้วยเหตุใดเล่า!

ทว่านางนึกไม่ถึงสักนิดว่าซือหม่าจิ้นจะไม่ตอบใดๆ มาสักคำ เขาทำเพียงคลี่ยิ้มแฝงนัยลุ่มลึกก่อนลุกขึ้นเดินออกจากกระโจมไป

ถัดจากนั้นฉีเฟิงกับกู้เฉิงก็เข้ามาเชิญนางลงเขา

ตลอดทางตั้งแต่ออกจากกระโจมจวบจนเดินลงเขามาแล้ว ไป๋ถานก็ยังคงครุ่นคิดตีความรอยยิ้มนั้น จนกระทั่งซีชิงเอ่ยเรียกนางถึงได้สติ

เขายืนอยู่ที่เชิงเขาชูคบไฟเดินตรงมาพินิจสีหน้าของนางโดยละเอียด “เจ้าเป็นอะไรไป”

ไป๋ถานมองดูเงาหลังของซือหม่าจิ้นที่ขี่ม้าจากไปไกลก่อนหรี่ตาเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้าว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่หลิงตูอ๋องจะชอบพอข้า”

คิ้วตาของซีชิงสั่นไหวนิดๆ “เขาเผยความรู้สึกกับเจ้าแล้วหรือ”

“เปล่า”

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงพูดประโยคนี้”

“หากการกระทำของเขาชัดแจ้ง ทว่าเก็บงำถ้อยคำเล่า”

ซีชิงยิ้มเฝื่อน เขามองซือหม่าจิ้นอีกครั้งด้วยความตื่นตะลึง

ยอดฝีมือชัดๆ กระบวนท่ายั่วเย้านี้ไม่เพียงทำให้ไป๋ถานยากจะตอบโต้ ยังทำให้หัวใจทั้งดวงของนางผูกโยงอยู่ที่ตัวเขาอีกด้วย ไยเมื่อก่อนตนจึงไม่เคยพบว่าท่านอ๋องเฉียบแหลมถึงขั้นนี้นะ

 

ราตรีดึกสงัด ทว่าซือหม่าเสวียนยังคงไม่เข้านอน

ไป๋ฮ่วนเหมยนั่งอยู่ด้านข้าง หัวคิ้วขมวดแน่น นางกล่าวตำหนิตนเองไปแล้วนับพันครั้ง

หากมิใช่ยามนั้นเป็นเพราะตนไม่ได้คิดถึงไป๋ถานเลย ยามนี้คงไม่ถึงกับไม่รู้แม้แต่น้อยว่านางไปอยู่หนใด หลิงตูอ๋องอยู่กับนางด้วยหรือไม่ก็สุดที่จะรู้ได้ ทั้งสองคนจะมีอันตรายอันใดหรือไม่…

ซือหม่าเสวียนมองออกว่าอีกฝ่ายกลัดกลุ้มทุกข์ใจจึงเอ่ยปลอบไปหลายประโยค พอหันหน้ากลับมาอีกครั้งก็เห็นเกาผิงเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาแล้ว

“ทูลฝ่าบาท หาคนพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ยังมีอ๋องเจ้าศักดินา ขุนนางสำคัญกับบุตรหลานในตระกูลอีกไม่น้อยที่รอคอยเป็นเพื่อนฮ่องเต้ ยามนี้ล้วนพักผ่อนเบียดเสียดอยู่ในโถงด้านข้าง

ซือหม่าจิ้นขี่ม้ามาถึงก่อน เขาปลดกระบี่ก้าวขึ้นบันไดเตรียมจะไปเข้าเฝ้าในโถงใหญ่ ขณะนั้นสายตาของเขาพลันกวาดไปยังทิศทางของโถงด้านข้าง อ๋องเจ้าศักดินาหลายคนที่ชะโงกศีรษะออกมามองต่างถอนสายตากลับไปอย่างวางหน้าไม่สนิท ทว่าก็ยังมีบางคนที่ไม่ถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจล่าถอย

ไป๋ต้งเกาะวงกบประตูปลุกปลอบกำลังขวัญพลางเอ่ยถาม “พี่…พี่สาวของข้าเล่า”

ซือหม่าจิ้นปรายตามองไปเบื้องหลังก่อนยกเท้าเข้าสู่โถงใหญ่

เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ก่อนหน้านี้ซือหม่าเสวียนจึงมีบัญชาห้ามทุกคนไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ ทว่ายามนี้ไป๋ต้งไม่สนใจแล้ว เขาลอบย่องออกจากประตูตำหนักแล้ววิ่งซอยเท้าไปตลอดทาง ไม่ช้าก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งชูคบไฟเดินมาจากทิศทางของผืนป่า

ระหว่างทางไป๋ถานยังคงว้าวุ่นใจ เพิ่งจะเดินมาถึงบริเวณใกล้ตำหนัก เงาร่างสีขาวร่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาที่เบื้องหน้าสายตา ไป๋ต้งได้โถมร่างมาอยู่ต่อหน้านางแล้ว

“พี่สาว ท่านหายไปที่ใดมา ข้าเป็นห่วงท่านแทบตาย!”

ไป๋ถานไหนเลยจะมีแก่ใจตอบ นางเพียงเหลียวมองก่อนเอ่ยถาม “อู๋โก้วเล่า”

ไป๋ต้งร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว “นางกลับไปกับนักพรตเฉินตั้งแต่ตอนที่เสืออาละวาดแล้ว นี่พี่สาว ตกลงท่านหายไปที่ใดมากันแน่ รีบบอกข้ามาเร็ว!”

ตอนนี้เองก็มีขันทีผู้หนึ่งมาเชิญไป๋ถาน นางจึงถือโอกาสนี้ชี้มือไปทางซีชิง “ถามเขาแล้วกัน” จบคำนางก็ติดตามขันทีมุ่งหน้าไปยังบันไดตำหนัก

เพิ่งมาถึงหน้าประตูตำหนักก็ปะทะกับซือหม่าจิ้น เขายืนตระหง่านท้าลม พอประสานสายตากับนางก็หยักยกมุมปากนิดๆ

รอยยิ้มเช่นนี้อีกแล้ว!

ได้ แสร้งทำลุ่มลึกกับอาจารย์ใช่หรือไม่!

ไป๋ถานหน้าคว่ำก่อนจะก้มศีรษะเดินไป

ไป๋ฮ่วนเหมยเป็นคนเรียกพบไป๋ถานเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นนางวางใจไม่ได้จริงๆ

ก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้รบกวนการสนทนาระหว่างซือหม่าเสวียนกับซือหม่าจิ้น นางจึงไปรออยู่ที่โถงด้านข้าง ตอนนี้ยืนคอยท่าอยู่ตรงประตู พอแลเห็นไป๋ถานเดินมาแต่ไกลจึงรีบออกจากประตูมาต้อนรับ

“ได้ยินว่าเกิดเรื่อง ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นางกุมมือของไป๋ถาน “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง รีบร้อนจากไปจนถึงกับไม่ได้ดูแลเจ้า”

ไป๋ถานเอ่ยปลอบโยนอีกฝ่ายติดกันหลายคำก่อนเลือกเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญบนเขาให้นางฟัง

“ยังดีที่มีหลิงตูอ๋องอยู่ด้วย นึกไม่ถึงว่าในอุทยานเล่อโหยวยังมีคนที่ช่างบังอาจเช่นนี้”

ไป๋ถานเพียงได้ยินชื่อเรียกนั้นก็ปวดศีรษะตุบๆ

ใช่แล้ว ดีเหลือเกินที่มีเขาอยู่ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางจึงถูกทำลายจนไม่เหลือดีแล้ว…

ไป๋ฮ่วนเหมยเห็นนางเหม่อลอยจึงนึกว่านางยังเสียขวัญ เดิมทีตั้งใจจะรั้งนางเพื่อค้างแรมที่นี่ ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ฝ่าบาทคงไม่คิดประทับอยู่นาน จะต้องเสด็จกลับวังเป็นแน่ ไป๋ฮ่วนเหมยจึงได้แต่เลิกล้มความคิดนั้นไป

ขณะสั่งการให้ขันทีจัดเตรียมคนไปส่งไป๋ถาน นางมองออกไปเบื้องนอก ก่อนจะมองเห็นซีชิงที่ยืนรออยู่ใต้แสงจันทร์เข้าพอดีจึงเอ่ยยิ้มๆ “ซีชิงใส่ใจเจ้าเสมอมา จนป่านนี้ก็ยังคอยเจ้าอยู่ เกิดเรื่องคราวนี้เขาต้องวิตกมากแน่ ข้ายังจำได้เขามักพูดเย้าว่าชอบเจ้า หากเจ้าลงเอยกับเขาได้เมื่อใดก็ย่อมเป็นเรื่องดีเช่นกัน”

ไป๋ถานคลี่ยิ้มอีหลักอีเหลื่อ “พี่สาวผิดแล้ว หากชมชอบคนผู้หนึ่งจริงไหนเลยจะหักใจเอามาพูดล้อเล่นจนติดปากได้เล่า” …คนที่เขาชมชอบด้วยใจจริงคือท่านต่างหาก เขาจึงซุกซ่อนท่านไว้ที่ก้นบึ้งหัวใจไม่กล้าไปแตะต้องง่ายๆ กระทั่งความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพียงนิดเดียวของท่านก็ยังทำให้เขาเศร้าใจจนต้องนั่งยองอยู่บนพื้นหิมะเป็นนานสองนาน

ทว่าเรื่องเหล่านี้ล้วนไม่อาจบอกต่อไป๋ฮ่วนเหมย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นกุ้ยเฟยไปแล้ว

ไป๋ถานกล่าวลาก่อนหันหน้ามุ่งออกจากประตูตำหนัก

ทางด้านไป๋ต้งหลังเพิ่งฟังซีชิงเล่าเหตุการณ์จนจบ ขณะที่เขายังตื่นตระหนกไม่หายก็เห็นไป๋ถานได้องครักษ์หลายนายคุ้มกันมุ่งไปทางประตูใหญ่ของอุทยานแล้ว

ได้ยินว่าเป็นซือหม่าจิ้นที่ยื่นมือช่วยชีวิตพี่สาวของตนไว้ ไป๋ต้งแม้ไม่เต็มใจแต่ก็ยังยกมือคารวะทันทีที่พบอีกฝ่าย “เรื่องครั้งนี้ข้าขอบคุณท่านอ๋องยิ่งนัก”

ซือหม่าจิ้นหัวเราะเบาๆ ตอนนี้ยังกล่าวขอบคุณเขาได้ หากรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำอะไรกับพี่สาวของตนไปบ้างเกรงว่าคงต้องเต้นผางหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกเป็นแน่

เขาส่งสายตาให้ฉีเฟิง ฉีเฟิงคอตกอย่างรู้หน้าที่ก่อนจะรีบลากกู้เฉิงไล่ตามไป๋ถานไปทันที

ระหว่างทางกลับไป๋ถานเป็นห่วงอู๋โก้วอยู่ตลอด ไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง ตนไม่อยู่ข้างกายเช่นนั้น ยามนี้คงเสียขวัญแย่แน่กระมัง

ทว่าทันทีที่นางย่างเท้าหนึ่งข้างเข้าสู่เรือนพักก็แลเห็นอู๋โก้วยกน้ำแกงร้อนกรุ่นชามหนึ่งเดินมุ่งหน้าเข้าห้องของตน พอเหลือบเห็นนางยังเอ่ยทักด้วยความประหลาดใจยิ่ง “เอ๊ะ อาจารย์เพิ่งกลับมาหรือเจ้าคะ ข้าหิวยิ่งจึงไปต้มน้ำแกงรอบดึก ท่านจะรับสักหน่อยหรือไม่”

“…” ไป๋ถานไร้เสียง ยึดจับวงกบประตูไว้เพื่อทรงกาย ไยนางถึงมีศิษย์ที่ไร้หัวจิตหัวใจได้ถึงเพียงนี้ สิ้นเปลืองความห่วงใยเสียเปล่าโดยแท้

ทว่านางก็หิวโซมากแล้วจริงๆ ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไรเลย

“เช่นนั้นก็รับสักหน่อยแล้วกัน”

คนของไป๋ฮ่วนเหมยส่งไป๋ถานเสร็จก็กลับไป ทว่าคนที่ฉีเฟิงกับกู้เฉิงนำมายังคงอยู่เฝ้ารอบเรือนพักอย่างแน่นหนา

ฉีเฟิงรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เขายืนเคี้ยวขนมเปี๊ยะกรอบท่ามกลางลมหนาวที่พัดหวีดหวิวพลางเอ่ยกับกู้เฉิง “ตอนที่ข้าลักพาตัวนางไปทีแรก ทั้งยังตีนางให้สลบ ข้าก็นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่ต้องมาคุ้มครองนาง!”

กู้เฉิงตบบ่าฉีเฟิงเป็นการปลอบใจก่อนฉวยโอกาสบิขนมเปี๊ยะในมืออีกฝ่ายไปครึ่งแผ่น

 

เรื่องตามจับนักฆ่าที่ลอบสังหารอาจารย์ของหลิงตูอ๋องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมากย่อมไม่อาจปิดข่าวได้ วันรุ่งขึ้นในราชสำนักจึงโจษจันอย่างเซ็งแซ่

โจวจื่อกับศิษย์หลายคนล้วนออกจากอุทยานเล่อโหยวในช่วงชุลมุนที่สุดขณะเกิดเหตุเสืออาละวาด พอได้ยินข่าวนี้ถึงรู้ว่าอาจารย์เกิดเรื่องขึ้น

คนทั้งคณะจึงตั้งใจรุดมาที่ภูเขาตงซานโดยเฉพาะ เดิมทีเมื่อเห็นฉีเฟิงกับกู้เฉิงเฝ้าอยู่ยังรู้สึกว่าเรื่องราวร้ายแรงยิ่ง ทว่าเมื่อได้เห็นอาจารย์กลับพบว่านางปลอดภัยไม่ระคายแม้เพียงเส้นผม

อย่างน้อยไป๋ถานก็รู้สึกว่าตนได้รับความตื่นตระหนกจึงตั้งใจจะหยุดพักชั้นเรียนสักสองสามวัน ดังนั้นเมื่อได้พบหน้าเหล่าศิษย์จึงเอ่ยสั่งเพียงไม่กี่ประโยคก็ให้พวกเขากลับไป

ทว่ารอจนเหล่าศิษย์จากไปหมดสิ้นแล้วนางกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาอีก ยามนี้ในเรือนพักอันกว้างใหญ่จึงได้แต่สนทนากับอู๋โก้วเพียงผู้เดียว ประเด็นสำคัญคือบอกอีกฝ่ายว่าตนถูกลอบสังหาร แต่อู๋โก้วกลับทำท่าคล้ายไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“อาจารย์ ท่านมีสิ่งใดคุ้มค่าพอที่จะให้นักฆ่าลงมือหรือเจ้าคะ”

ไม่รู้เพราะเหตุใดไป๋ถานจึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าประโยคนี้ของอีกฝ่ายฟังแล้วชวนให้รู้สึกว่าน่าหงุดหงิด

สุดท้ายความเงียบเหงานี้ก็มิได้ดำรงอยู่นาน เช้าวันนี้เพียงนางเปิดประตูเรือนก็มีคนสามคนพร้อมใจกันเบียดร่างเข้ามา พวกเขาคือเฉินหนิง ไป๋ต้ง และซีชิง

เฉินหนิงได้ยินเรื่องที่นางถูกลอบสังหารจึงรู้สึกเป็นห่วงยิ่ง ทั้งยังนำพานักพรตน้อยมาถามไถ่ปลอบขวัญโดยเฉพาะ

ด้านนอกอากาศหนาวยะเยือก ไป๋ถานยิ้มตาหยี ทว่ากลับกันเฉินหนิงให้ยืนอยู่นอกห้อง “เรื่องที่เจ้าพาข้าไปอุทยานเล่อโหยวได้บอกกับใครบ้าง”

เฉินหนิงซื่อตรงยิ่ง ตอบพลางถูมือกับแส้ปัด “อาตมาบอกกับผู้คนมากหน้าหลายตาทีเดียว ใครที่แวะเวียนมาจุดธูปอาตมาล้วนคุยจ้อด้วยหลายประโยค ว่าแต่มีอะไรหรือ”

ไป๋ถานอับจนถ้อยคำ

ยังมีหน้าถามว่ามีอะไรอีก เรื่องที่นางไปอุทยานเล่อโหยวมีไม่กี่คนที่รู้ หากไม่ใช่เขาพูดพล่าม ไหนเลยจะรู้ไปถึงนักฆ่านั่นได้

คาดว่าเฉินหนิงคงเพิ่งตระหนักได้ถึงความผิดของตน เขาจึงร้องครวญครางเบาๆ ก่อนเอ่ย “เรื่องนกจบไปก็แล้วกัน วันหน้าอาตมาจะไม่เอ่ยถึงอีก”

ไป๋ถานทอดถอนใจ “ชีวิตน้อยๆ ของข้าเกือบต้องสังเวยไปด้วยเจ้าถึงจะยอมลืม ข้าซาบซึ้งเจ้าจนน้ำตาไหลทีเดียว”

ไป๋ต้งที่อยู่ด้านข้างกระตุกแขนเสื้อไป๋ถานไม่หยุด “พี่สาว กลับไปกับข้าเถิดนะ ข้าคุยกับท่านพ่อแล้ว คราวนี้เกิดเรื่องถึงเพียงนี้เขาเองก็หวังว่าท่านจะกลับไป”

ไป๋ถานตีมือเขาออก “ท่านพ่อเห็นด้วยก็เพราะเจ้าลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้นอีกแล้วกระมัง”

ไป๋ต้งถูกนางพูดเปิดโปงจึงอารมณ์เสียพลางปรายตามองฉีเฟิงกับกู้เฉิงที่อยู่ด้านนอก “พวกเขามีหรือจะปกป้องท่านได้ ข้าไม่เห็นว่าพวกเขาจะใส่ใจสักเท่าไร!”

ซีชิงชี้มือไปที่ประตูเรือน “ดูนั่น ท่านผู้นี้ใส่ใจเจ้าแน่นอน”

ผู้ที่มาคือซือหม่าจิ้น ทว่าคราวนี้เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังพาบ่าวรับใช้มาด้วยอีกหลายคน แต่ละคนล้วนยกหีบมาด้วยหนึ่งใบ

พอมองเห็นเขา สีหน้าของไป๋ถานก็ไม่ชวนมองแล้ว

ฮึ ยังมีหน้าโผล่มาอีก!

“นี่ท่านอ๋องจะย้ายบ้านหรืออย่างไร” นางออกมายืนที่ระเบียงทางเดินด้วยท่าทางไม่ยินดีต้อนรับเขาอย่างยิ่ง

ซือหม่าจิ้นเดินมาถึงเบื้องหน้านาง คนอื่นที่อยู่ด้านข้างล้วนรีบพาร่างหลีกห่างสามเซ่อ* ในทันที

“อาจารย์เกือบเกิดเรื่องขึ้นก็ล้วนเป็นความรับผิดชอบของข้า หากจะเชิญอาจารย์ไปพักที่จวนอ๋องย่อมเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียที่นี่ก็ยังมีเหล่าศิษย์น้องที่อาจารย์ต้องคอยอบรมสั่งสอนอยู่ ดังนั้นข้าจึงได้แต่ลดฐานะตนเองมาทำหน้าที่คุ้มครองอาจารย์ที่นี่แล้ว”

ไป๋ถานหนังตาเต้นตุบๆ “ไม่ดีกระมัง ถึงอย่างไรท่านอ๋องกับอาจารย์ต่างก็รุ่นราวคราวเดียวกัน พำนักร่วมชายคาเดียวกันเช่นนี้คงไม่แคล้วถูกผู้อื่นครหาเอาได้”

ซือหม่าจิ้นหาสะทกสะท้านไม่ “อาจารย์คาดหวังให้ข้าเคารพเชื่อฟังท่านมาตลอดมิใช่หรือ เหตุใดพอข้าจะเคารพเชื่อฟังท่านจริงๆ ไยอาจารย์กลับไม่ยินยอมเสียแล้ว”

เขาว่าอะไรนะ เขายังมีหน้าพูดว่าเคารพเชื่อฟังอาจารย์อีกหรือ!

ไป๋ถานถูกเขายั่วโมโหจนเกือบกระอักเลือด ได้แต่เบิกตามองเขาเดินเข้าสู่เรือนด้านหลังโดยพูดไม่ออกแม้สักคำ

นางไม่เคยพบเคยเจอใครที่หน้าหนาไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!

ไป๋ต้งข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว แค่ขอบคุณเขาคำเดียวเท่านั้น เขาถึงกับได้คืบจะเอาศอก!

ขณะที่ไป๋ต้งม้วนแขนเสื้อเตรียมจะไล่ตามซือหม่าจิ้นไป ซีชิงก็พลันคว้าแขนดึงอีกฝ่ายเอาไว้ได้ทัน “เจ้าอย่าได้ไปตอแยท่านอ๋องผู้นั้นจะดีกว่า เคยถูกเขาเล่นงานมาแล้วยังไม่รู้จักเข็ดหลาบอีกหรือ แต่จะว่าไป เจ้ารู้สึกว่าข้าย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยเป็นอย่างไร เจ้าก็เห็นว่าข้ากับพี่สาวเจ้ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ข้ามาเป็นพี่เขยเจ้าดีหรือไม่ มาๆ น้องชาย เรียกพี่เขยให้ฟังสักคำเถิด”

ไป๋ต้งโกรธจนผลักเขาออก “ใครเป็นน้องชายท่าน ไปห่างๆ ข้าเลย ท่านไหนเลยจะคู่ควรกับพี่สาวของข้า!”

“ข้าไม่คู่ควรที่ใดเล่า”

“สรุปคือใครก็ล้วนไม่คู่ควรกับพี่สาวของข้า!”

“ชิ!” ซีชิงหันหน้าขยับไปใกล้ไป๋ถาน กระตุกแขนเสื้อนางพลางแย้มยิ้มจนดวงตาหรี่เป็นเส้น “ถานจ๋า ข้าเชื่อมั่นในคุณธรรมประจำใจเจ้าจริงๆ ต่อให้เจ้าอยู่ร่วมชายคาเดียวกับท่านอ๋องแล้วอย่างไร ก็เป็นเพียงความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์ ข้าเชื่อเจ้ายิ่งนัก!”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.1-2.3

    By

    บทที่ 2-1 สามีภรรยาปลอม   1   เมื่อลู่หย่วนเดินมาถึงหน้าประตูก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ผลักประตูเปิดออก สิ่งที่ทำให้เขาสติหลุดล...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

    By

    บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญู เบื้องหน้าท้องพระโ...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com