ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด – หน้า 8 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน อาจารย์หญิง บทที่หนึ่ง – บทที่แปด

8 of 8หน้าถัดไป

บทที่แปด

 ไป๋ถานกลัดกลุ้ม แต่ก็หามีผู้ใดล่วงรู้ความทุกข์ใจของนางไม่

นางถูกศิษย์ขโมยจุมพิต มิหนำซ้ำยังไม่อาจพูดออกไป แม้ซีชิงจะบอกว่าเชื่อนางเพียงใด แต่ก็ไม่สามารถช่วยยับยั้งมารร้ายผู้นี้ไม่ให้เข้าพักอาศัยอยู่ในเรือนได้ ท้ายที่สุดนางจึงทำได้เพียงอดกลั้นเท่านั้น

กลับเป็นสภาพจิตใจของอู๋โก้วต่างหากที่พังทลายยิ่งกว่าใคร เมื่อก่อนนางยังออกมาเดินยืดเส้นยืดสายที่เรือนด้านหน้าได้ ทว่าตั้งแต่ซือหม่าจิ้นปรากฏตัวนางก็ได้แต่อาศัยอยู่ที่เรือนด้านหลัง คราวนี้ช่างดีงามแท้ พื้นที่ซึ่งนางสามารถเคลื่อนไหวได้จึงเหลืออยู่แต่ในห้องครัวแล้ว

แม่ครัวทำอาหารไปพลางเนื้อตัวสั่นระริกไปพลาง “เจ้าว่าหลิงตูอ๋องชอบรสชาติอาหารเช่นไร หากข้าทำเค็มไปหรือจืดไปจะถึงตายหรือไม่”

อู๋โก้วไร้ถ้อยคำจะเอ่ย มิสู้ให้ตนไปหาเฉินหนิงแล้วขอออกบวชอยู่ที่อารามเป้าผู่เสียเลยจะดีกว่า

สุดท้ายความวิตกกังวลของแม่ครัวผู้นั้นก็ได้รับการคลี่คลายในไม่ช้า เพราะซือหม่าจิ้นเรียกคนครัวในจวนอ๋องมาที่นี่จนงานส่วนใหญ่ของนางแทบจะไม่ต้องทำอะไรแล้ว

แม้ไป๋ถานจะต่อต้านพฤติกรรมการย้ายเข้ามาอยู่อย่างเปิดเผยของซือหม่าจิ้นเพียงไร ทว่ากลับไม่อาจต่อต้านอาหารเลิศรสที่เขาจัดหามาให้ได้แม้แต่น้อย ผ่านไปไม่กี่มื้อ ท่าทีคัดค้านสุดตัวของไป๋ถานก็แปรเปลี่ยนเป็นเพิกเฉยก่อนจะมองข้ามเขาไปในที่สุด

ยังดีที่เวลาส่วนใหญ่ของซือหม่าจิ้นล้วนอยู่ในห้องเพื่อสะสางราชการทหารตามลำพัง เมื่อตาไม่เห็น ใจก็ย่อมไม่ขุ่นมัว

ผ่านไปไม่กี่วันชั้นเรียนก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ เหล่าศิษย์ล้วนกลับมาเข้าเรียนกันแล้ว

ความกระตือรือร้นของทุกคนต่อเรื่องนักฆ่ายังคงพลุ่งพล่านอยู่ ระหว่างพักจึงถกความเห็นกันอย่างออกรส

“ใครกันที่จะทำร้ายอาจารย์”

“ต้องเป็นคนที่หลิงตูอ๋องล่วงเกินไว้แน่ เขาฆ่าคนมากออกปานนั้น จะมีศัตรูก็ไม่เหนือความคาดหมาย”

“เฮ้อ ไยอาจารย์จึงต้องรับคนเยี่ยงนี้มาเป็นศิษย์ด้วย”

“ดีที่อาจารย์ไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ต้องโทษหลิงตูอ๋องคนเดียวแล้ว!”

โจวจื่อถอนสายตาคืนจากนอกหน้าต่าง เอ่ยเตือนสหายร่วมชั้นด้วยเจตนาดี “พวกเจ้าจงดูข้างนอกก่อนว่านั่นเป็นใคร”

คนทั้งหมดหันขวับไปโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะมองเห็นซือหม่าจิ้นเดินผ่านลานมุ่งหน้าออกจากประตูเรือนไปพอดี

“…เมื่อครู่พวกเราถกความเห็นกันถึงกลอนบทไหนแล้วนะ”

“ใช่ๆ กลอนบทไหนนะ”

ศิษย์ทั้งหลายพากันก้มหน้าก้มตาพลิกตำราอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

แม้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทว่าเหล่าอ๋องเจ้าศักดินากลับยังรั้งอยู่ในเมืองหลวง เนื่องจากคดีนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงส่วนรวม ซือหม่าเสวียนจึงออกคำสั่งห้ามทุกคนที่ปรากฏตัวในอุทยานเล่อโหยวออกจากเมืองหลวงโดยพลการเด็ดขาด

แน่นอนว่าเว้นเพียงซือหม่าจิ้น เนื่องจากเรื่องที่เขาพำนักอยู่บนภูเขาตงซานได้ถูกเหล่าศิษย์แพร่กระจายออกไปแล้ว

พอไป๋ถานได้ข่าวก็สำนึกเสียใจจนแทบจะเอาศีรษะโขกกำแพง

เหตุใดนางจึงนึกไม่ถึงเล่าว่าต้องเตือนเหล่าศิษย์ไว้ไม่ให้แพร่งพรายต่อคนนอก

สำนึกได้เมื่อสายแท้ๆ

ทันทีที่เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปย่อมมีผลกระทบที่ละเอียดอ่อนยิ่ง

ระหว่างทางกลับจวนในยามอาทิตย์อัสดง ซีชิงพบเจอไป๋หยั่งถังโดยไม่คาดฝัน ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนตั้งใจมาเพื่อดักรอพบเขา

ทั้งสองสนทนากันสักพักซีชิงก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายจึงเร่งรุดมาเยือนภูเขาตงซานเป็นการเฉพาะ

เหล่าศิษย์เพิ่งเลิกชั้นเรียนกลับไป ซือหม่าจิ้นหายหน้าไปยังไม่พบเห็นร่องรอย ยามนี้ไป๋ถานจึงอยู่ว่างกำลังเดินหมากกับตนเองภายในห้อง

พอซีชิงเดินเข้ามาก็อ้าปากพูดทันที “นี่ วันนี้ท่านพ่อเจ้าถึงกับมาหาข้าเพื่อขอร้องให้เกลี้ยกล่อมเจ้ากลับไปเชียวนะ”

ไป๋ถานเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เจ้ารู้สึกว่าข้าจะตอบรับหรือ”

ซีชิงสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อก่อนนั่งลงตรงข้ามนาง “ท่าทางของท่านพ่อเจ้าดูมีความจริงใจมากทีเดียว ประการแรกย่อมเป็นเพราะเหตุลอบสังหารครั้งนี้บานปลายใหญ่โต ฝ่าบาทเองก็ทรงให้ความสำคัญยิ่ง เขาในฐานะบิดาหากไม่แสดงท่าทีก็ไม่ถูกต้องแล้ว ประการที่สองเป็นเพราะคำนึงถึงชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเจ้า อย่างไรเสียหลิงตูอ๋องก็ต่างจากศิษย์คนอื่นๆ ทั้งเจ้ากับเขาก็อายุไล่เลี่ยกันเกินไป บุรุษยังไม่สมรส สตรียังไม่ออกเรือน ดูไม่เหมาะไม่ควรจริงๆ”

ไป๋ถานมองไปทางอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาเป็นตัวแทนเพื่อเจรจาจริงหรือนี่”

ซีชิงสั่นศีรษะพร้อมยิ้มละไม “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าแค่รับปากมาถ่ายทอดคำพูดให้เขาอย่างเดียว เนื้อความก็มีเพียงเท่านี้ ถ่ายทอดจบแล้วเจ้าก็คิดดูเอาเองเถิด”

ไป๋ถานตอบอย่างรวบรัดหมดจด “ไม่กลับ”

ซีชิงพลันรู้สึกสงสัยใคร่รู้ “ที่ผ่านมาข้ายังไม่รู้เลยว่าทีแรกเหตุใดเจ้าจึงออกจากบ้าน ที่แท้ระหว่างเจ้ากับบิดาเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ไป๋ถานวางเม็ดหมากในมือลงไปหนึ่งเม็ด “ไม่มีอะไร เพียงอุดมการณ์แตกต่างไม่อาจร่วมทางก็เท่านั้น”

วัยเด็กยามที่บิดาสอนนางเล่าเรียนเขียนอ่านมักเน้นเสมอว่าความรู้มีไว้ยกระดับจิตใจคน ทว่าต่อมาตัวเขาเองกลับทำเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลจนเดินห่างไกลจากคำกล่าวนี้ออกไปทุกที

สิ่งที่เขาต้องการคือผู้ที่สามารถรับราชการเป็นผู้ช่วยของวงศ์ตระกูลได้ ทว่านางกลับเป็นสตรี ต่อให้มีชื่อเสียงทางเชิงบุ๋นเลื่องลือยิ่งกว่านี้จะไปมีประโยชน์อันใด ดังนั้นต่อให้ใช้บุตรสาวคนนี้เป็นเครื่องมือเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ก็ยังดีกว่าปล่อยไว้บนหิ้งให้ผู้คนยกย่องในความสามารถเพียงอย่างเดียว

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นางกลับรู้สึกว่ายอมให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องย่อยยับไปเสียยังจะดีกว่า จะได้ตัดความคิดพรรค์นั้นของบิดาทิ้งไปเสียที

ซีชิงเอามือข้างหนึ่งหนุนแก้ม จ้องใบหน้าของนางตาเขม็ง “เพียงแค่นี้เองหรือ”

ไป๋ถานไม่แม้แต่จะช้อนตาขึ้นมอง “อืม แค่นี้เอง”

“ข้ายังนึกว่าเกี่ยวข้องกับซีฮูหยินเสียอีก”

มือของไป๋ถานชะงักกึกก่อนจะวางเม็ดหมากลงไปอีกเม็ดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซีชิงหยิบเม็ดหมากดำจากโถขึ้นมาคลึงในมือแล้วเอ่ยปาก “ถึงอย่างไรสตรีตระกูลขุนนางก็ยังต้องหาที่พึ่งพิงซึ่งมีอำนาจและอิทธิพลไว้จึงจะถูก ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นเช่นเดียวกับซีฮูหยินสักนิด”

“เอ๊ะ?” ไป๋ถานเงยหน้าขึ้นมองเขา

ซีชิงกลับทำเหมือนไม่เคยพูดอะไร วางหมากเม็ดนั้นลงบนกระดานดังแปะแล้วเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยี “มาๆ ข้าจะเดินหมากกระดานนี้จนจบเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

 

วันนี้ซือหม่าจิ้นตั้งใจไปเยือนศาลโดยเฉพาะ

อุปนิสัยของเขาเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา ย่อมไม่มีทางได้รับผิดชอบคดีนี้ เปลือกนอกคดีนี้ศาลรับหน้าที่ไต่สวน แต่แท้จริงสมุหกลาโหมเซี่ยกลับเป็นผู้ควบคุมดำเนินการ ซือหม่าจิ้นมาที่นี่เพียงเพื่อสอบถามความคืบหน้าและถือโอกาสแย้มพรายเบาะแสที่มีเขามีเพียงเล็กน้อย

วันนั้นเขาเตรียมการไว้แต่แรก การกระชากตัวผู้บงการหลังม่านครั้งนี้เป็นสิ่งที่เขาหมายมั่นปั้นมือ ยามเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้วจึงเริ่มเห็นเค้าชัดเจนขึ้นได้ตามลำดับ

หลังออกจากศาล เขาไปที่ริมแม่น้ำฉินไหว พบว่าผิวน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง เรือสำราญหรูหราที่จอดอยู่ริมฝั่งลำนั้นจึงกลายเป็นดุจหอที่นิ่งสนิทอยู่หลังหนึ่ง

วันนี้หวังฮ่วนจือที่อยู่ในประทุนเรือประแป้งประทินโฉมอย่างพิถีพิถันไม่น้อย เขานั่งอยู่หลังโต๊ะรินน้ำชาให้ซือหม่าจิ้นถ้วยหนึ่งก่อนกล่าว “เรื่องที่ท่านอ๋องให้ข้าไปสืบนั้นได้ความแล้ว ในราชสำนักมีอ๋องเจ้าศักดินาที่โปรดปรานศึกษาตัวอักษรโบราณอยู่จริงๆ”

ซือหม่าจิ้นยื่นนิ้วมือออกจากเสื้อนอกตัวหนาไปรับถ้วยชา “ใคร”

“ตงไห่อ๋อง”

“เป็นมันดังคาด” ซือหม่าจิ้นแค่นเสียงเย็นชา

ตงไห่อ๋องซือหม่าเหว่ยนับตามลำดับอาวุโสแล้วก็มีศักดิ์เป็นอาของเขา ทว่าแต่ไรมาเชื้อพระวงศ์ก็ไม่เคยมีความผูกพันฉันญาติที่สนิทสนมอันใดอยู่แล้ว กลับห่างเหินกันเสียยิ่งกว่าคนแปลกหน้าด้วยซ้ำ

หวังฮ่วนจือกล่าว “ได้ยินว่าเหตุกบฏชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยในครั้งนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน ทว่าหลายปีที่ผ่านมากลับลอยนวลเหนือกฎหมายอยู่ได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”

“แน่นอนว่าเป็นความจริง ข้ารอจัดการมันมาสิบเอ็ดปีแล้ว”

ซือหม่าจิ้นวางถ้วยชาลง พอลุกขึ้นหมายจากไปก็ถูกหวังฮ่วนจือเรียกไว้

“ได้ยินว่าตอนนี้ท่านอ๋องพำนักอยู่ที่เรือนพักสกุลไป๋บนภูเขาตงซาน ก่อให้เกิดเสียงลือเซ็งแซ่หนาหู เหตุใดท่านไม่คำนึงถึงตนเอง หรือว่าไม่คำนึงถึงชื่อเสียงอันดีงามไม่ด่างพร้อยของอาจารย์ท่านบ้าง?”

“ไยต้องคำนึงถึง ในเมื่อช้าหรือเร็วนางก็ต้องเป็นคนของข้า”

ซือหม่าจิ้นยกเท้าก้าวออกจากเรือสำราญไปแล้ว ทว่าหวังฮ่วนจือกลับยังไม่คืนสติจากห้วงแห่งความตกตะลึงเมื่อครู่นี้

ฉะนั้นเมื่อครู่ความหมายของอีกฝ่ายใช่คิดจะแตะต้องอาจารย์ของตนเองหรือไม่

หวังฮ่วนจือยกมือตบฉาดลงบนโต๊ะเล็กก่อนหัวเราะจนหัวคว่ำคะมำหงาย “วิเศษ! วิเศษแท้ เลือกคนไม่ผิดจริงๆ นิสัยเช่นนี้ช่างตรงกับความชอบของข้ายิ่ง เกิดเป็นคนทั้งทีก็อย่าได้ผูกมัดตนเองมากนัก ขนบจารีตอันใดช่างมันปะไร!”

 

ยามที่ซือหม่าจิ้นกลับถึงภูเขาตงซาน ซีชิงยังคงไม่จากไป หมากกระดานนั้นยังไม่ยุติ

พอเห็นอีกฝ่ายเข้าประตูมา ซีชิงก็คลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นคารวะ “สองสามวันนี้ท่านอ๋องงานล้นมือ ใช่รู้ฐานะของผู้บงการหลังม่านแล้วหรือไม่”

ซือหม่าจิ้นนั่งลงบนเบาะที่นั่งแล้วอังมือใกล้กระถางไฟ “คืนนั้นตอนที่ข้าสอบสวนนักฆ่านั่น จวบจนสิ้นใจมันก็ไม่ยอมปริปากบอกว่าใคร บอกแต่เพียงว่าอ๋องคนหนึ่งเป็นผู้บงการ ซึ่งผู้ที่สามารถส่งสารด้วยอักษรจินสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกได้ย่อมต้องแตกฉานในด้านนี้ ข้าสั่งคนไปสืบมาแล้ว นอกจากตงไห่อ๋องซือหม่าเหว่ยก็ไม่มีใครอื่นอีก”

ซีชิงพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง เขามองดูไป๋ถานและพบว่านางไม่ได้ช้อนตาขึ้นแม้สักครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะผลักนางเบาๆ ทีหนึ่ง “ไยเจ้าไม่มีท่าทีอยากรู้เลยแม้แต่นิดเดียว”

ไป๋ถานตอบ “เจ้ากับท่านอ๋องเปลี่ยนไปสนทนาที่อื่นจะเป็นการดีที่สุด ข้าไม่สนสักนิดว่าเป็นฝีมือของอ๋องคนใด ข้าสนแต่เพียงว่าเมื่อไรจึงจะปิดคดีนี้ได้ เมื่อนั้นข้าจะได้สอนหนังสือต่ออย่างสบายใจเสียที”

อย่างไรเสียนางก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องแก่งแย่งชิงดีไร้สาระในราชสำนักเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

ซือหม่าจิ้นกล่าว “ข้าเข้าใจความหมายของอาจารย์ เหตุที่เอ่ยต่อหน้าท่านเป็นเพราะในอดีตตงไห่อ๋องเคยสนับสนุนชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยก่อกบฏ ดังนั้นทีแรกที่ทัพกบฏมาค้นหาตัวข้าในเมืองอู๋สามารถส่งสารด้วยการสลักอักษรได้จึงไม่น่าแปลกใจแล้ว”

ได้ยินดังนี้ไป๋ถานถึงได้เงยหน้าขึ้น นางขบคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก “ที่ตงไห่อ๋องมุ่งร้ายต่อท่านอ๋องในทีแรกแล้วใช้วิธีการนี้ยังพอฟังขึ้น ทว่าครั้งนี้เป้าหมายที่จะทำร้ายคือข้า หรือเขาไม่คิดบ้างว่าข้าจะรู้จักตัวอักษรนั่น? ในเมื่อเขาสามารถสนับสนุนทัพกบฏแล้วลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ก็ต้องไม่ใช่พวกกระจิบกระจอกเป็นแน่ มีหรือจะทิ้งหลักฐานที่ข้ารู้จักไว้เพื่อเปิดโปงตนเอง”

ซีชิงผงกศีรษะเห็นพ้อง “นี่อาจเป็นการป้ายความผิด”

ซือหม่าจิ้นกล่าว “เป็นการป้ายความผิดก็ยิ่งดี ข้าจะได้จัดการสองคนนั้นในคราวเดียว ประหยัดแรงไปไม่น้อย เพียงหวังว่าคราวนี้ฝ่าบาทจะทรงรู้จักแข็งกร้าวขึ้นบ้าง ตัดสินพระทัยลงโทษพวกมันได้เสียที”

ไป๋ถานทำปากยื่น “ต่อให้ฝ่าบาทไม่ทรงแตะต้องพวกเขาก็น่าจะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว พระองค์จะต้องมีเหตุผล มิใช่เต็มพระทัยปกป้องให้ท้ายอย่างแน่นอน”

ซือหม่าจิ้นแค่นหัวเราะเย็นชา “จริงดังคาด ในสายตาของอาจารย์ ฝ่าบาททรงดีไปเสียทุกอย่าง”

ไป๋ถานมุ่นคิ้วมองอีกฝ่าย แต่ไรมาแม้อารมณ์ของเขาจะแปรปรวนยากคาดเดา ทว่าก็ไม่เหมือนกับตอนนี้ เขาชักเอาใหญ่แล้ว ถึงกับไม่ให้ความเคารพต่อฝ่าบาท ช่วงที่ผ่านมานางอุตส่าห์ทุ่มเทอบรมจนเริ่มเห็นผลแล้วแท้ๆ เหตุใดเขากลับพูดจาบจ้วงเบื้องสูงขึ้นมาได้

ซีชิงดึงสายตาของนางกลับมาด้วยเสียงกระแอมแห้งๆ ก่อนจะลุกขึ้นขอตัวกลับ

ตอนที่เขาจากไปฟ้ามืดสนิทแล้ว ไม่ช้าบ่าวรับใช้ก็นำสำรับอาหารมาส่ง เดิมทีไป๋ถานนึกว่าตนจะกินอาหารมื้อนี้ตามลำพัง ไม่คิดว่าซือหม่าจิ้นกลับรั้งอยู่ที่นี่นั่งตรงข้ามกับนางแล้วกินอาหารกันคนละโต๊ะ

ทั้งสองกินอาหารอย่างเงียบเชียบไม่พูดจาแม้สักคำ ไป๋ถานเงยหน้าขึ้นมาบ้างในบางที ทว่าเกือบทุกครั้งจะชำเลืองเห็นสายตาของซือหม่าจิ้นซึ่งทอดมองมาอย่างจงใจ แต่ก็คล้ายเป็นเพียงความบังเอิญเสมอ

ในใจนางรู้สึกว่าเรื่องนี้ชอบกลยิ่ง เดิมทีเรื่องก่อนหน้านั้นนางก็เก็บงำไว้ในใจมาหลายวันแล้ว ยามนี้ยากนักจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังจึงเริ่มอดกลั้นไว้ไม่อยู่

หลังกินอาหารเสร็จซือหม่าจิ้นยังนั่งดื่มชาอยู่หลังโต๊ะโดยไม่มีท่าทีจะจากไป

ในห้องไม่มีใครอื่น ไป๋ถานจึงกระแอมให้โล่งคอก่อนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เชียนหลิง มีบางคำพูดที่อาจารย์จะต้องพูดกับเจ้าให้ชัดเจน…เจ้าไม่อาจชอบพออาจารย์”

ซือหม่าจิ้นช้อนตามองมา รอยยิ้มอาบไปทั่วดวงตาทีละน้อย “อาจารย์รู้สึกว่าข้าชอบพอท่านหรือ”

“…” ไป๋ถานรู้สึกว่าพวงแก้มร้อนวูบวาบ นางพูดออกไปเช่นนี้ไม่คล้ายหลงตนเองอยู่บ้างหรอกหรือ พอถูกเขาย้อนถามก็ยิ่งบ่งชัดว่านางกำลังทึกทักเข้าข้างตนเองไปฝ่ายเดียวแล้ว

ไป๋ถานกระแอมแก้เก้อ “อาจารย์เพียงบอกให้ชัดแจ้งไว้ก่อน ไม่ว่าการกระทำบนเขาในวันนั้นของท่านอ๋องเกิดจากเจตนาใด สรุปคือท่านอ๋องไม่อาจชอบพออาจารย์”

“เพราะเหตุใด”

“ยังต้องถามอีกหรือ” ไป๋ถานรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเหลวไหลสิ้นดี “พวกเราเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างไรเล่า!”

ราชโองการลับที่ซือหม่าเสวียนบัญชาต่อนางไม่ต่างจากภูเขาที่ยังกดทับอยู่บนศีรษะ นางไหนเลยจะกล้าฝ่าฝืนตามอำเภอใจ และในเมื่อเป็นราชโองการลับก็ย่อมไม่อาจป่าวประกาศตามใจนึก เพียงรู้แน่แก่ใจตนเป็นพอ

พฤติกรรมแหวกขนบฉีกจารีตไม่อาจยอมรับได้สำหรับผู้สืบราชบัลลังก์ ซึ่งนางกำลังสนองราชโองการอบรมให้เขากลายเป็นผู้สืบราชบัลลังก์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เดิมความประพฤติของเขาก็เหลวแหลกมากพออยู่แล้ว หากยังเพิ่มข้อหาผิดจารีตระหว่างศิษย์อาจารย์เข้าไปอีกเรื่อง คาดว่าชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตาอีก

ไป๋ถานตอกย้ำอีกประโยคอย่างเฉียบขาด “สรุปคืออาจารย์หวังดีต่อท่านอ๋อง”

ซือหม่าจิ้นลูบถ้วยชาที่อยู่ในมือ น้ำเสียงคล้ายเปรยไปเช่นนั้นเอง “อาจารย์มีความสนิทสนมทางกายกับข้าแล้ว เมื่อใดที่เรื่องนี้แพร่ออกไปท่านจะไม่สามารถออกเรือนกับผู้ใดได้อีก หรือท่านไม่กังวลใจเลยสักนิด?”

ไป๋ถานไม่กังวลแต่อย่างใด “ข้าอายุถึงวัยนี้ไม่มีความคิดจะออกเรือนนานแล้ว หากท่านอ๋องหยอกเย้าเพราะนึกสนุก อาจารย์ย่อมไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากเหตุนี้ ทว่าหากเกิดจากการชอบพอ…เช่นนั้นก็ขอยืนยันประโยคเดิม ท่านอ๋องไม่อาจชอบพออาจารย์!”

“อาจารย์บังคับจิตใจผู้อื่นเกินไปหน่อยแล้ว อบรมขัดเกลาความประพฤติก็ช่างเถิด นี่กระทั่งข้าจะชอบพอใครก็ยังจะสอนอีกหรือ”

ไป๋ถานมีสีหน้าเจ็บปวด “คำพูดนี้นับเป็นความหมายใด กำกวมคลุมเครือยิ่ง หรือว่าท่านอ๋องยอมรับแล้ว?”

“ข้ายอมรับหรือไม่ล้วนอยู่ที่อาจารย์คิดอย่างไร”

“…” นี่จะกวนโทสะข้าให้ตายใช่หรือไม่!

คาดว่าซือหม่าจิ้นคงอ่อนใจจึงพานทิ้งคำตอบอันคลุมเครือไว้ก่อนวางถ้วยชาแล้วเดินออกจากประตู

สายตาของไป๋ถานหยุดอยู่ตรงประตูที่เงาหลังของเขาเพิ่งลับตา จิตใจของนางทั้งฉุนเฉียวยากสงบทั้งอับจนปัญญาระคนกัน นางลูบสัมผัสริมฝีปากคล้ายดั่งความรู้สึกเมื่อตอนนั้นยังคงอยู่ ทั้งที่เป็นคนที่เลือดเย็นออกปานนั้น ทว่ากลีบปากทั้งคู่กลับอุ่นซ่านเสียได้

กระแสความคิดพลันชะงักกึก นางเคาะจานฝนหมึกที่อยู่ข้างมือทีหนึ่งอย่างหัวเสีย มัวคิดฟุ้งซ่านเหลวไหลอะไรอยู่! หวนระลึกถึงรสสัมผัสนั้นอีกแล้วสินะ!

 

วันสิ้นปีใกล้จะมาถึงแล้ว ทว่าในราชสำนักกลับถูกกำหนดให้ไม่อาจเฉลิมฉลองกันได้อย่างเป็นปกติสุข

เหล่าอ๋องเจ้าศักดินาล้วนรั้งอยู่ในเมืองหลวง ยังดีที่ช่วงปลายปีของทุกปีอ๋องจากทุกพื้นที่ต้องเข้าเมืองหลวงมาถวายของกำนัลอยู่แล้ว การพำนักอยู่ของพวกเขาจึงมิใช่เรื่องแปลกพิสดารอันใด

ทว่าคดีนั้นก็ไม่อาจให้ยืดเยื้อต่อไปได้ หาไม่เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเมื่อไรก็จะไม่มีเหตุผลพอที่จะกักตัวพวกเขาไว้อีก

ช่วงนี้หวังฮ่วนจืออาศัยอยู่ในเรือนพักสกุลหวังที่เชิงเขาตงซานฝั่งตะวันตก วันนี้เขาครึ้มอกครึ้มใจจนถึงกับดั้นด้นมาถึงเขตเรือนพักสกุลไป๋

ไป๋ถานเริ่มหยุดชั้นเรียนตั้งแต่วันนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าศิษย์ที่ภูมิลำเนาอยู่ไกลได้ออกจากเมืองหลวงกลับไปฉลองปีใหม่กับครอบครัว ขณะที่นางกำลังรับการคารวะอำลาจากเหล่าศิษย์อยู่ในห้องปีกตะวันตก เมื่อนางหันหน้าไปก็เห็นบุรุษในอาภรณ์หลวมยาวแขนกว้างผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงประตู

ไป๋ถานชะงักไปชั่วครู่กว่าจะระลึกได้ว่าคนผู้นี้คือหวังฮ่วนจือซึ่งเคยพบกันที่งานเลี้ยงในวัง

“เหตุใดคุณชายหวังจึงให้เกียรติมาเยือนเรือนอันซอมซ่อแห่งนี้ได้”

“ระยะนี้ข้าน้อยพำนักอยู่ที่ภูเขาตงซานมาตลอด ดังนั้นจึงแวะมาเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงสักหน่อย” พอหวังฮ่วนจือกวักมือเรียก เด็กรับใช้ที่อยู่เบื้องหลังก็นำเทียบคารวะกับของกำนัลแรกพบมามอบให้อย่างเป็นทางการทันที

บนกระดาษที่มีลวดลายงามวิจิตรนั้นเขียนอักษรอันทรงพลังพลิกพลิ้วประดุจหงส์ร่อนมังกรทะยาน ทว่านางยังไม่เคยพบเห็นใครมาเยือนถึงที่แล้วค่อยยื่นเทียบคารวะเช่นนี้มาก่อน นี่มิใช่ประหารก่อนกราบทูลทีหลัง* หรอกหรือ

ไป๋ถานแม้รู้สึกจนใจแต่ก็จำต้องลุกขึ้นมาเพื่อต้อนรับขับสู้ นึกไม่ถึงว่าหวังฮ่วนจือจะตั้งมือเอ่ยยับยั้ง “คุณหนูมิต้องมากพิธี ข้าน้อยยังมีแผลเก่าติดตัว ตั้งใจมาหาซีชิงเพื่อขอรับการรักษาเท่านั้น” จบคำเขาก็มุ่งไปทางเรือนด้านหลังด้วยตนเอง

ซีชิงมาถึงเรือนพักสกุลไป๋ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ยามนี้อยู่ที่เรือนด้านหลังกำลังชมซือหม่าจิ้นฝึกกระบี่

ก่อนหน้านี้ไป๋ถานเพียงชะโงกศีรษะมองดูเขาแวบหนึ่ง แล้วก็พบว่าร่างท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าของซือหม่าจิ้นนั้นช่างงามจับตาเหลือเกินจริงๆ นางต้านทานไม่ไหวจึงได้แต่หลบลี้หนีห่างออกมา

หวังฮ่วนจือผู้นี้ก็พิลึกคนโดยแท้ เขาไม่ขยาดกลัวเลยหรือว่าซือหม่าจิ้นจะซ้อมเขาอีกยกหนึ่ง ทว่าแต่ไรมาคนในราชสำนักเหล่านี้ล้วนไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวร ทุกประการเพียงขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เท่านั้น ไป๋ถานจึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้จะแปลกพิสดารอะไร

ซือหม่าจิ้นฝึกกระบี่เสร็จแล้วก็คลุมเสื้อตัวนอกพลางนั่งเช็ดกระบี่ยาวอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน

พอเห็นหวังฮ่วนจือเดินมาแต่ไกล ซีชิงพลันนึกถึงเรื่องซุบซิบที่ตนเคยถกความเห็นกับไป๋ถาน จึงลองหยั่งเชิงซือหม่าจิ้น “ที่ผ่านมาท่านอ๋องไม่ยอมรับความรู้สึกที่มีต่อไป๋ถาน ไม่ว่าข้าจะกระตุ้นยั่วเย้าอย่างไรท่านอ๋องก็ปิดปากไม่เอ่ยถึง พักนี้จู่ๆ นางก็ดูฟุ้งซ่านว้าวุ่นใจขึ้นมา หรือว่าท่านอ๋องจะเผยความในใจต่อนางแล้ว”

ซือหม่าจิ้นยังคงเช็ดกระบี่อย่างเยือกเย็นดุจเดิม “ข้าจะมีความในใจอันใดได้ เพียงไม่อยากให้นางเข้าวังกลายไปเป็นผู้ช่วยมือดีของซือหม่าเสวียนก็เท่านั้น”

ซีชิงสอดมือไว้ในแขนเสื้อ หลุบคิ้วตาลงต่ำ ประดับยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า “ข้าก็พอคาดเดาได้ว่านี่เป็นความจงใจของท่านอ๋อง ท่านอ๋องทำเช่นนี้นับว่าถูกต้องแล้ว ทุกเรื่องผลประโยชน์ต้องมาเป็นอันดับแรก เช่นนี้ถึงจะเป็นผู้กระทำการใหญ่”

ซือหม่าจิ้นพลันยกกระบี่ขึ้นขวาง คมกระบี่ใต้ประกายแดดเรืองแสงปลาบสะท้อนดวงหน้าอันเยียบเย็นของเขา ทำเอาซีชิงหุบปากไม่เอ่ยถึงไป๋ถานอีกเลย

หวังฮ่วนจือเดินมาถึงเบื้องหน้าแล้วทอดถอนใจ “ท่านอ๋อง คราวนี้คงจะจัดการได้ยากแล้ว ตงไห่อ๋องมีทหารกุมพื้นที่อยู่แถบหนึ่ง ซ้ำยังค้าเกลือเถื่อนในราคาสูงจนมั่งคั่งไม่แพ้คลังหลวง พยานที่ท่านอ๋องจับตัวได้มาก็ล้วนตายหมดสิ้นแล้ว หลักฐานไม่เพียงพอยากจะสั่นคลอนอีกฝ่ายได้”

ซือหม่าจิ้นกล่าว “ไม่มีหลักฐานก็ให้คนสร้างหลักฐานขึ้นมาเสีย หากยังติดว่าความผิดเบาไปก็ยัดข้อหาอื่นให้มันอีกสักสองสามข้อหา”

พอดีศิษย์คนหนึ่งในห้องปีกตะวันตกของเรือนด้านหน้ากำลังสอบถามไป๋ถาน เสียงนั้นก้องกังวานดังมาแต่ไกล “อาจารย์ขอรับ ‘ระบำแปดแถวถวายโอรสสวรรค์ ทว่าหกแถวสำหรับเจ้าผู้ครองแคว้น’ ขนบพิธีเช่นนี้ปัจจุบันยังมีอยู่หรือไม่”

ขณะที่ไป๋ถานชี้แจงคำตอบ ซือหม่าจิ้นเหลือบมองหวังฮ่วนจือแวบหนึ่ง “ระบำแปดแถวถวายโอรสสวรรค์เท่านั้น ดูเอาเถิด นี่มิใช่ความผิดที่สมบูรณ์อยู่แล้วหรอกหรือ”

หวังฮ่วนจืออับจนหนทางกับพฤติกรรมเอาแต่ใจตนของอีกฝ่าย แต่ก็ยังต้องผงกศีรษะชื่นชม “ท่านอ๋องปรีชายิ่งนัก”

ซือหม่าจิ้นพลันถือกระบี่กลับห้อง “จำไว้ว่าเก็บมันไว้ให้ข้า”

ซีชิงมองไปทางห้องปีกตะวันตก เรื่องนี้นับว่าไป๋ถานช่วยเหลืออีกแรงเช่นกัน

คาดว่าตงไห่อ๋องซือหม่าเหว่ยอาจรู้สึกได้ว่าตนถูกคนหมายหัว หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกว่าฤดูหนาวอันแสนยาวนานนี้ตนอยู่ว่างจนหงุดหงิด เขาจึงบังเกิดความคิดพิสดารเชื้อเชิญคนกลุ่มหนึ่งมากินเลี้ยงที่เรือนพักของตนเพื่อแสดงออกว่าตนหาสะทกสะท้านไม่ ทั้งไร้ซึ่งความประหวั่นลนลานแม้แต่น้อย ได้ยินว่าบนโต๊ะอาหารยังดื่มสุรารวดเดียวถึงสองไห ผ่าเผยห้าวหาญดีทีเดียว

สุดท้ายก็มีขุนนางใหญ่วิ่งซอยเท้าเข้าวังไปฟ้องร้องต่อหน้าซือหม่าเสวียนภายในวันเดียวกัน

“แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตงไห่อ๋องผู้นั้นช่างกำเริบยิ่งนัก เขาเป็นเพียงอ๋องเจ้าศักดินาถึงกับบังอาจใช้ระบำบวงสรวงแปดแถว นี่เป็นการกระทำอันคิดคดทรยศอย่างร้ายแรงพ่ะย่ะค่ะ!”

ซือหม่าเสวียนพลันพิโรธหนัก เรื่องนี้ย่อมต้องสืบสาว สืบจนกว่าจะถึงที่สุด!

ถัดจากนี้หากตรวจค้นไม่พบฉลองพระองค์กับมงกุฎประดับมุกระย้าสิบสองเส้นอันเป็นเครื่องแต่งกายเฉพาะของฮ่องเต้ ย่อมจะทำให้เหล่าขุนนางที่ชะเง้อคอเฝ้ารอต้องผิดหวัง

ซือหม่าเหว่ยยังไม่ทันสร่างเมาก็พุ่งปรี่เข้ามาในวังหลวง หลั่งน้ำตากอดขาซือหม่าเสวียนพลางพูดล้างมลทินให้แก่ตนเอง บอกว่าในอดีตนั้นเพื่อปราบกบฏชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยแล้ว กระทั่งชีวิตของบุตรชายตนยังต้องสังเวยไปด้วย บัดนี้กลับถูกฝ่าบาททรงคลางแคลงว่าซ่อนแฝงเจตนาร้าย ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์หดหู่ใจโดยแท้!

วาจานี้เดิมทีไม่มีอันใด ทว่าเมื่อแพร่มาถึงหูของไป๋ถานกลับรู้สึกว่าผิดปกติ

ขณะที่ฉีเฟิงกับกู้เฉิงพูดคุยเรื่องนี้อยู่ในลาน บังเอิญนางได้ยินเข้าจึงสะกิดถูกเรื่องในอดีตที่อยู่ในความทรงจำของนางขึ้นมาทันที

นางรีบยกชายชุดวิ่งกลับเข้าห้อง พลิกหีบรื้อตู้เสาะหาไปทั่วจนกระทั่งค้นเจอภาพม้วนหนึ่ง นางรีบนำม้วนภาพไปหาซือหม่าจิ้น ทว่ากลับช้ากว่าเขาไปก้าวหนึ่ง เขาพากู้เฉิงไปฝึกไพร่พลที่ค่ายทหารแล้ว

เนื่องจากเรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวงจริงๆ นางจึงสั่งการให้ฉีเฟิงที่รั้งอยู่หน้าประตูนำทางไปพบเขา

ฉีเฟิงยืนพิงประตูเรือนเหลือกตาใส่นาง “พระโพธิสัตว์ไป๋ วันทั้งวันเจ้าคอยจับตาท่านอ๋องของข้าให้เขากล่อมเกลาจิตใจก็แล้วไปเถิด ไฉนกระทั่งเขาไปค่ายทหารก็ยังจะตามไปให้ได้อีก”

ไป๋ถานผูกเชือกเสื้อคลุมพลางกล่าว “เจ้าอย่าได้อิดออดไม่เต็มใจเลย ขืนชักช้าไปจะเสียการ ถึงตอนนั้นสำนึกเสียใจขึ้นมาก็ไม่ทันแล้ว”

ฉีเฟิงนึกถึงพฤติกรรมของนางที่มักอาศัยท่านอ๋องมากลั่นแกล้งตน ก่อนจะพยายามกดข่มอารมณ์ไว้ในที่สุดและพานางออกเดินทางไปแต่โดยดี

ทัพหลักที่ซือหม่าจิ้นบัญชาการไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงทั้งหมด กองทหารซึ่งตั้งค่ายอยู่นอกเมืองหลวงสามสิบลี้นี้เป็นเพียงกองหนึ่งในจำนวนนั้น

แรกเริ่มตอนที่เพิ่งเข้าสู่กองทัพ ซือหม่าจิ้นประจำการอยู่ที่อี้หยางซึ่งเป็นเมืองชายแดนมาตลอด ต่อมาเขาสร้างความชอบโดดเด่นหลายครั้งจนกระทั่งได้กุมตราจอมทัพ ทว่าเนื้อแท้ที่ชมชอบการเข่นฆ่านั้นกลับค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อย ตระกูลขุนนางกลุ่มหนึ่งซึ่งกุมไพร่พลของเมืองหลวงอยู่ในมือจึงคอยหาเรื่องจับผิดกล่าวโทษอย่างรุนแรงหมายจะริบอำนาจทหารของเขา

ซือหม่าจิ้นไม่พูดให้เปลืองน้ำลาย กลับเมืองหลวงมาพบคนเหล่านั้นพร้อมนำศีรษะแม่ทัพใหญ่ของแคว้นศัตรูสิบกว่าหัววางเรียงแถวเบื้องหน้าอีกฝ่าย นับแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดมากอีกแม้สักครึ่งประโยค

ภายหลังเขาจึงดึงไพร่พลกองหนึ่งมาประจำการอยู่ละแวกเมืองหลวงเสียเลย ซึ่งซือหม่าเสวียนก็เห็นดีเห็นงามด้วย คาดว่าเป็นเพราะยังหวั่นเกรงจะเกิดเหตุทัพกบฏบุกเข้าเมืองหลวงซ้ำรอย มีมารร้ายผู้นี้อยู่ ไยมิใช่เป็นการข่มขวัญผู้คนอีกทางหนึ่งหรอกหรือ

ซือหม่าจิ้นเข้มงวดวินัยในกองทัพจนเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา ยามที่ไป๋ถานโดยสารรถมาถึง เขากำลังลงโทษทหารสองนาย ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บนี้เขาถึงกับจับคนแขวนห้อยบนราวไม้นอกกระโจมแล้วโบยด้วยแส้ที่จุ่มน้ำเกลือ บรรดาทหารที่อยู่รอบด้านล้วนไม่กล้ากระทั่งจะระบายลมหายใจแรง ทว่าก็ยังต้องเบิกตามองดู

ฉีเฟิงเข้ามารายงานที่กระโจมใหญ่ของจอมทัพ พอซือหม่าจิ้นออกจากกระโจมก็เห็นไป๋ถานยืนอยู่นอกรั้วไม้ของประตูค่าย กำลังจับจ้องคนที่ถูกลงโทษตาเขม็ง

ซือหม่าจิ้นถามขึ้นประโยคหนึ่ง “โบยไปกี่ทีแล้ว”

กู้เฉิงซึ่งเดิมทีนับจำนวนอยู่พลันได้สติ มองฟ้าทบทวนความทรงจำ “น่าจะสามสิบขอรับ”

ผู้ที่ถูกโบยทนไม่ไหวถึงกับตะโกนตอบด้วยตนเอง “สี่สิบสามแล้วขอรับ! ท่านอ๋อง คราวหน้าท่านอย่าให้รองแม่ทัพกู้เป็นผู้นับจำนวนจะได้หรือไม่ ข้าน้อยทนรับไม่ไหวแล้ว!”

ซือหม่าจิ้นเอ่ย “โบยครบห้าสิบทีแล้วค่อยปล่อยลงมา”

อย่างไรเสียก็ไม่เหมาะที่ไป๋ถานจะยุ่มย่ามเรื่องการคุมทัพของเขา นางจึงทำได้เพียงมองดู

ซือหม่าจิ้นเดินไปหาไป๋ถาน แต่กลับไม่เชิญนางเข้ามาในค่าย ที่นี่มีแต่ทหารเนื้อตัวมอมแมมย่อมมิใช่สถานที่ซึ่งสตรีควรจะอยู่ เขาเดินออกจากประตูใหญ่พานางเดินมุ่งไปด้านนอกหลายก้าวแล้วค่อยเอ่ยถาม “อาจารย์มาหาข้าถึงที่นี่ด้วยเหตุใด”

“มาสนทนาเรื่องในอดีตกับท่านอ๋อง” ไป๋ถานเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าคนในค่ายไม่อาจมองเห็นได้แล้วจึงเขย่งปลายเท้ากระซิบที่ข้างหูของเขา

ซือหม่าจิ้นรู้สึกข้างหูคันยุบยิบชวนอ่อนระทวยยิ่งนัก ความรู้สึกนั้นคล้ายดั่งแล่นทะลวงเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจ แต่เขาก็ยังต้องปลุกปลอบสมาธิเพื่อให้รับฟังคำพูดของนางได้

ปีนั้นขณะที่ลี้ภัยอยู่เมืองอู๋ สกุลไป๋พบว่าบนกำแพงเรือนของตนคล้ายถูกสลักอักษร พวกเขาแคลงใจว่าสถานที่ซ่อนกายขององค์ชายอาจถูกพบเห็นเข้าแล้ว จึงตัดสินใจย้ายที่พำนักกันอย่างเร่งด่วน

ไป๋ถานกับซือหม่าจิ้นเดินทางไปด้วยกัน ในภาวะที่ยากลำบากไม่มีกระทั่งรถม้าสักคันนั้น ไม่คาดว่าระหว่างทางกลับถูกลอบจู่โจม นางจึงฉุดดึงซือหม่าจิ้นวิ่งเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งแล้วซ่อนกายอยู่ในกองฟืน

ไม่นานนักก็มีคนกลุ่มหนึ่งค้นหาจนมาถึงที่นี่ ไป๋ถานจดจำผู้เป็นหัวหน้าได้แจ่มชัดเป็นพิเศษ เพราะเครื่องแต่งกายของเขาวิจิตรหรูหราผิดธรรมดา สิ่งที่ประทับติดตรึงอยู่ในความทรงจำลึกซึ้งที่สุดคือไต้เม่า* ซึ่งประดับอยู่บนหน้ารองเท้าของเขานั้นสุดแสนจะสะดุดตา มีเพียงเขตเมืองตงไห่ที่ผลิตไต้เม่าได้เป็นจำนวนมาก ทั้งคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ล้วนเรียกขานเขาว่าซื่อจื่อ**

หลังหนีรอดกลับไป ไป๋ถานวาดภาพคนผู้นี้ไปให้ผู้อาวุโสหลายคนระบุตัว พวกเขาล้วนบอกว่านี่คือบุตรชายของตงไห่อ๋อง อีกทั้งกล่าวชื่นชมว่านางวาดได้เหมือนจริงอย่างยิ่ง

ต่อมาไม่รู้เกิดอะไรขึ้น คนทั้งหมดล้วนบอกว่าวันนั้นตงไห่อ๋องซื่อจื่อเป็นผู้ที่มาช่วยเหลือพวกตน ไป๋ถานจึงนึกว่าตนเข้าใจผิดไปเอง แล้วคิดไปว่าพวกเขาไม่ใช่ทัพกบฏแต่อย่างใด

ถัดจากนั้นหลังเหตุกบฏยุติ ซื่อจื่อผู้นี้เนื่องจากพลีชีพในสมรภูมิจึงได้รับการอวยยศและปูนบำเหน็จตามหลัง

จนกระทั่งบัดนี้ตงไห่อ๋องพลันเอ่ยถึงบุตรชายขึ้นมา ไป๋ถานจึงฉุกคิดได้ว่าเรื่องราวที่เดิมเคยเข้าใจอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว

หากตงไห่อ๋องมีส่วนร่วมในเหตุกบฏตามที่ซือหม่าจิ้นกล่าว บุตรชายของเขาย่อมเป็นศัตรูมิใช่มิตร

นางฉวยภาพม้วนนั้นออกจากแขนเสื้อพลางคลี่กางให้ซือหม่าจิ้นดู “ท่านอ๋องดูก่อน อาจารย์จำไม่ผิดกระมัง นี่คือคนที่ไล่ล่าพวกเราในตอนนั้นใช่หรือไม่”

ซือหม่าจิ้นแทบไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว เรื่องในอดีตเขาจดจำได้แจ่มชัด ทว่านางคล้ายลืมเลือนไปหมดสิ้น นึกไม่ถึงว่ายามนี้กลับพลันจดจำขึ้นมาได้ เรียกว่าหลิวครึ้มบุปผาเด่น* ก็ไม่ผิด

“นี่อาจารย์ยังเก็บภาพนี้ไว้อีกหรือ”

ไป๋ถานทอดถอนใจ “ท่านอ๋องไม่รู้อะไร อาจารย์ไม่เคยพบเห็นไต้เม่าที่งดงามเพียงนั้นมาก่อน วาดออกมาแล้วจึงหักใจโยนทิ้งไปไม่ได้”

ซือหม่าพลันจิ้นหัวเราะ “โค่นล้มตงไห่อ๋องคราวนี้ ข้าจะขนไต้เม่าในจวนของเขามามอบให้อาจารย์ทั้งหมดเลยแล้วกัน”

“ท่านอ๋องต้องการให้อาจารย์เป็นพยานชี้ตัวตงไห่อ๋องก็มิใช่ว่าไม่ได้” ไป๋ถานก้มหน้าถูนิ้วมือที่เย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง “เพียงแต่อาจารย์มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

ซือหม่าจิ้นเดินไปถึงข้างรถม้าแล้ว “อาจารย์เชิญกล่าว”

“ได้ยินว่าในราชสำนักจะมีการคัดเลือกผู้ทรงธรรมเป็นประจำทุกสิ้นปี ผู้ใดมีใจกตัญญูสูงสุดจะได้รับรางวัลจากราชสำนัก อาจารย์เสนอชื่อท่านอ๋องไปด้วยเหตุผลที่ท่านกตัญญูเคารพต่ออาจารย์คงจะได้กระมัง”

สีหน้าของซือหม่าจิ้นบึ้งตึงในฉับพลัน เดิมทีเขากราบอาจารย์เป็นการส่วนตัว ทว่าการกระทำนี้ของนางกลับต้องการอวดโอ่ต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าว่าพวกเขาคืออาจารย์การุณย์กับศิษย์กตัญญู นางปรารถนาจะตอกย้ำความสัมพันธ์นี้ต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักเชียวหรือ

“อาจารย์กับข้าช่างแบ่งแยกกันชัดเจนนัก”

ไป๋ถานสบสายตากับเขา “พวกเราเดิมทีก็เป็นศิษย์กับอาจารย์ และจะเป็นได้แค่ศิษย์กับอาจารย์เท่านั้น”

นางกำลังใช้วาจานี้ตอบโต้ท่าทีอันคลุมเครือของเขา ซือหม่าจิ้นสะบัดหน้ากลับเข้าค่ายโดยไม่คิดจะตอบแม้สักคำ

ไป๋ถานระบายลมหายใจพลางถูฝ่ามือ สุดท้ายยังคงก้าวขึ้นรถม้ามุ่งหน้าเข้าวังไปเป็นพยาน

 

ที่ห้องทรงพระอักษรในวังหลวง ซือหม่าเสวียนตกตะลึงยิ่งเมื่อได้ยินว่าไป๋ถานเป็นฝ่ายมาขอเข้าเฝ้า เขาผลักราชกิจที่มีอยู่เต็มโต๊ะออกเพื่อมาพบนางโดยเฉพาะ จวบจนกระทั่งได้เห็นนางปรากฏกายอยู่เบื้องหน้ากับตาของตนเองแล้ว เขาก็ยังไม่ค่อยได้สติขึ้นมานัก

รอจนไป๋ถานถวายบังคมขานเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว เขาถึงรวบรวมสมาธิเพื่อฟังนางเอ่ยจุดประสงค์ที่เข้าวังได้

“เรารู้สึกมาตลอดว่าบรรดาอ๋องเจ้าศักดินามีรากฐานหยั่งลึกจนยากจะสั่นคลอนได้ ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่าเจ้ายังกล้าหาญกว่าเราเสียอีก” เขายิ้มเจื่อนอย่างรู้สึกจนใจไม่น้อย

ไป๋ถานกล่าว “ที่ฝ่าบาททรงอดกลั้นย่อมเป็นเพราะมีสิ่งที่พระองค์ต้องคำนึงถึง ไป๋ถานเพียงทูลความจริงไปตามตรง ทว่าจะจัดการเช่นไรล้วนขึ้นอยู่กับฝ่าบาทเพคะ”

สายตาของซือหม่าเสวียนพลันนุ่มนวลขึ้น “ก็มีแต่เจ้าที่เชื่อมั่นในตัวเราเช่นนี้”

ไป๋ถานสะทกสะท้อนอยู่ในใจ…เช่นนั้นทรงเห็นแก่ที่หม่อมฉันเชื่อมั่นในพระองค์ ให้อภัยหม่อมฉันที่ไม่อาจอบรมญาติผู้น้องของพระองค์ให้ดีจะได้หรือไม่เพคะ…

หลังสนทนาเรื่องงานจบ ซือหม่าเสวียนก็ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ “เราบอกให้เจ้าหมั่นเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพี่สาวมิใช่หรือ เหตุใดกลับไม่เห็นเจ้าเข้าวังมาเสียทีเล่า”

“หม่อมฉันยังหาเวลาว่างมาไม่ได้เพคะ อย่างไรเสียหม่อมฉันก็ต้องสอนเหล่าศิษย์ทุกวัน” นี่เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ไป๋ถานฝืนยิ้มก่อนรีบถวายบังคมทูลลา

ที่นางไม่มาย่อมเป็นเพราะไม่ชอบวังหลวง นางเข้ากับที่นี่ไม่ได้เลยสักนิด

ซือหม่าเสวียนผงกศีรษะโดยไม่พูดอะไร

พอออกจากห้องทรงพระอักษรไป๋ถานก็พุ่งตรงไปที่ประตูวัง เพิ่งมาถึงหน้าประตูกลับมองเห็นรถม้าของซือหม่าจิ้นจอดอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งของเขาพลันเลิกม่านรถแล้วมองตรงมา แสงจันทร์กระจ่างดุจสายน้ำไหล รูปโฉมของเขาดุจดังจันทร์สกาวเหนือขุนเขาขจียามวสันต์

นี่ก็เป็นอีกคนที่เข้ากับนางไม่ได้ในทุกกรณี เขากับนางล้วนมิใช่คนบนเส้นทางเดียวกันสักนิด เขากุมทหารจำนวนมากอยู่ในมือ ทั้งอุปนิสัยแปรปรวนเอาแน่มิได้ ส่วนนางก็เป็นเพียงอาจารย์สอนหนังสือเท่านั้น อย่าได้เข้าไปพัวพันด้วยจึงจะเป็นการดีที่สุด

ไป๋ถานขึ้นรถโดยไม่พูดจาสักคำ ซือหม่าจิ้นเองก็ไม่ส่งเสียง ตลอดทางภายในรถม้าจึงเงียบกริบโดยสิ้นเชิง

เมื่อกลับถึงเรือนพัก นางเห็นอู๋โก้วถือหัวไช้เท้านั่งยองกับพื้นกำลังป้อนกระต่ายขนเทาตัวหนึ่ง ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างคือไป๋ต้ง

นับตั้งแต่ถูกไป๋ถานไล่ตะเพิดไปเมื่อครานั้น นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่เขามาเยือน สายตายามมองซือหม่าจิ้นแม้ยังคงไม่เป็นมิตร ทว่าก็สำรวมขึ้นมาก อย่างน้อยเขาก็ยังรู้จักคารวะอีกฝ่าย

“พี่สาวไปที่ใดมา ข้าล่ากระต่ายตัวหนึ่งมาขุนบำรุงท่านช่วงฤดูหนาว” ไป๋ต้งพลันหิ้วกระต่ายตัวนั้นมามอบให้ให้ไป๋ถานโดยไม่รอช้า

อู๋โก้วคล้ายหักใจไม่ได้อยู่บ้าง จับจ้องกระต่ายอย่างไม่อาจละสายตา

ไป๋ถานพลันบังเกิดความคิด หิ้วกระต่ายตัวนั้นใส่อ้อมกอดของฉีเฟิง

ฉีเฟิงยินดีจนออกนอกหน้า นึกว่าค่ำนี้ตนจะได้ลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่แล้ว ใครจะรู้ว่าไป๋ถานกลับเอ่ยตามมาติดๆ “กระต่ายตัวนี้มอบให้ท่านอ๋องเลี้ยงดู ห้ามเลี้ยงตายเป็นอันขาด เลี้ยงผอมก็ไม่ได้เช่นกัน”

เดิมทีซือหม่าจิ้นกำลังมุ่งหน้าไปทางเรือนด้านหลัง พอได้ยินเช่นนี้จึงชะงักฝีเท้าพลันหมุนกายขวับ “ข้าไม่มีอารมณ์ทำเรื่องไร้สาระนั่น”

ไป๋ถานกล่าว “หากท่านอ๋องไม่อาจลงมือกับกระต่ายตัวหนึ่งแล้ว เช่นนั้นกับชีวิตคนก็ย่อมจะยับยั้งชั่งใจได้”

ซือหม่าจิ้นพลันชักกระบี่ขว้างออกไปทันใด ฉีเฟิงหลบหลีกตามสัญชาตญาณ ทว่ากระต่ายในมือกลับถูกเสียบตรึงอยู่ที่พื้นแล้ว

เขาเดินตรงมาดึงกระบี่ออกแล้วปาดเช็ดเลือดกับขนกระต่าย จากนั้นจึงเดินไปยังเรือนด้านหลังโดยไม่เหลียวกลับมาอีก

อู๋โก้วโยนหัวไช้เท้าทิ้งก่อนจะสะบัดหน้าจากไปทั้งน้ำตาทันที

ขณะที่ไป๋ถานถอนหายใจ ศีรษะของไป๋ต้งก็เบียดเข้ามาใกล้ “พี่สาว มารร้ายนั่นเป็นอะไรไป”

ฉีเฟิงกระทืบเท้าอยู่ด้านข้าง “เจ้าถึงกับบังอาจเรียกท่านอ๋องของข้าว่ามารร้ายเชียวหรือ!”

ไป๋ต้งซักถามต่อโดยไม่แยแสอีกฝ่าย “พักนี้เขามีพฤติกรรมเกินเลยอันใดบ้างหรือเปล่า”

ไป๋ถานโพล่งขึ้นในฉับพลัน “ข้ารู้สึกว่าน้ำแกงงูน้ำข้นน่าจะอร่อยกว่า”

หากเอ่ยถึงอย่างอื่น ไป๋ต้งต้องขันอาสาไปหามาให้นางแน่ ในเมื่อฤดูกาลนี้งูล้วนจำศีลแล้ว ล้วนจับมาได้ง่ายยิ่ง ทว่าเขากลับกลัวงูเป็นที่สุด หนุ่มน้อยจึงหน้าซีดเผือดทันตา

“พี่สาว นี่ไม่เท่ากับกลั่นแกล้งกันหรอกหรือ” ไป๋ต้งเดินหน้าตูมออกจากประตูไป

ในที่สุดก็ไปแล้ว…

ไป๋ถานกลับเข้าห้องของตน ห้องฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องกันคือห้องที่ซือหม่าจิ้นเลือกด้วยตนเอง ภายในยังจุดไฟสว่างไสว ไม่รู้เขากำลังทำอะไรอยู่

นางสั่นศีรษะ หมู่นี้เขาอารมณ์แปรปรวนเอาแน่ไม่ได้ยิ่งนัก ทั้งท่าทีก็ส่อนัยคลุมเครือ นับวันเขายิ่งอบรมยากขึ้นทุกที

 

เพียงไม่กี่วันเท่านั้นตงไห่อ๋องก็ถูกนำตัวไปไต่สวนที่ศาล

ดังคำที่ว่าคนเราจะพลาดท่าเสียทีมิได้ เพราะเมื่อใดที่พลาดพลั้ง ไม่ว่าเรื่องใดก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ข้อหาเพิ่มมาอีกหลายข้อหาในคราวเดียว

หวังฮ่วนจือลอบไปพบเขาเป็นการส่วนตัวและแย้มพรายว่าข้อหาฉกรรจ์ในคดีที่เขาลอบสังหารไป๋ถานนั้นได้ยั่วโทสะหลิงตูอ๋องเข้าให้แล้ว

ฝีมือของซือหม่าจิ้น ตงไห่อ๋องย่อมเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เขาจึงรีบปฏิเสธเป็นพัลวันว่ามิได้ทำเรื่องนี้ จากนั้นก็เริ่มลากผู้อื่นลงน้ำอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนไม่ว่าใครที่เคยติดต่อกับเขาในช่วงนี้ล้วนถูกกัดจนถ้วนทั่ว

หวังฮ่วนจือสืบไปตามเบาะแสที่ได้รับจนสามารถกระชากตัวซินอานอ๋องออกมาได้อีกคน

ซินอานอ๋องเป็นลูกพี่ลูกน้องของซือหม่าจิ้น ตอนแรกเคยแย่งชิงอำนาจทหารกับเขา ทว่าจนใจที่พ่ายศึกในสนามรบซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากแย่งชิงอย่างไรก็สู้อีกฝ่ายไม่ไหว

มิหนำซ้ำซือหม่าจิ้นยังเป็นที่โปรดปรานและไว้เนื้อเชื่อใจของฮ่องเต้ ทั้งที่ในบรรดาอ๋องเจ้าศักดินาทั้งหมดซือหม่าจิ้นกลับแหวกขนบฉีกจารีตยิ่งกว่าใคร แต่กลับได้รับเขตปกครองละแวกเมืองหลวงและราชทินนามหลิงตู นี่เท่ากับเป็นการประกาศพระประสงค์ต่อใต้หล้าก็ว่าได้ ซินอานอ๋องย่อมผูกใจเจ็บเป็นธรรมดา

การที่ไป๋ถานออกหน้าเป็นพยาน แม้ไม่อาจนับว่าเกิดผลสำคัญใหญ่หลวง ทว่าก็ทำให้ซือหม่าเสวียนตัดสินใจได้เด็ดขาดที่จะโค่นล้มบรรดาอ๋องเจ้าศักดินา

ตระกูลขุนนางใหญ่ล้วนไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องนี้ บรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์อยากสู้รบตบมือกันอย่างไรก็เชิญตามสะดวก พวกเขาเพียงวางเฉยเตรียมฉลองปีใหม่กันเป็นพอ

ไป๋ถานก็ไม่ต่างจากตระกูลขุนนางเหล่านั้น เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นข่าวสารที่ได้ยินมา ตนไม่ได้แยแสสักนิด

เรื่องของอ๋องที่มีอิทธิพลใหญ่โตสองคนยังไม่ทันปิดฉาก เวลาก็ดำเนินมาถึงวันสิ้นปีแล้ว

 

เช้าวันสิ้นปีปุยหิมะขนาดใหญ่เท่าขนห่านเริ่มโปรยปรายลงมา ไป๋ถานตื่นแต่เช้านำอู๋โก้วไปกวาดลานด้วยตนเอง อีกทั้งคอยควบคุมให้ห้องครัวตระเตรียมอาหารค่ำของคืนส่งท้ายปีเก่า ทุกคนล้วนงานยุ่งจนมือเป็นระวิงทีเดียว

หลังซือหม่าจิ้นกลับมาจากค่ายทหารก็มองเห็นนางอยู่ในชุดทะมัดทะแมงรัดเอวเข้ารูปเกล้ามวยขึ้นสูงกำลังจัดเก็บโต๊ะในห้องปีกตะวันตกอยู่ ลักษณะท่าทางเช่นนี้ไหนเลยจะมองออกว่านี่คือคุณหนูตระกูลขุนนาง

พอเห็นเขากลับมา ไป๋ถานก็หยุดงานในมือแล้วเดินมาถามตรงประตู “คืนนี้ท่านอ๋องไม่กลับจวนหรือ”

ซือหม่าจิ้นโยนแส้ม้าในมือให้ฉีเฟิงที่อยู่เบื้องหลัง “อะไรกัน อาจารย์ติว่าข้าขัดตาหรืออย่างไร”

ไป๋ถานตอบอย่างจนใจ “ความหมายของอาจารย์คือมีคนมาเพิ่มก็ต้องเตรียมอาหารให้มากหน่อย อย่างไรเสียนี่ก็เป็นการฉลองปีใหม่”

สีหน้าของซือหม่าจิ้นค่อยดูดีขึ้น เขาปรายตาไปด้านหลัง ยามนี้กู้เฉิงได้ยกตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งเข้ามาแล้ว ภายในบรรจุวัตถุดิบในการปรุงอาหารจนเต็มตะกร้า

ไป๋ถานเพียงเห็นก็น้ำลายสอ ทว่าดวงหน้ายังคงแสร้งเป็นการเป็นงานเต็มที่ “ท่านอ๋องกตัญญูโดยแท้”

ซือหม่าจิ้นได้ยินคำนี้ก็ออกอาการไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาพลันเดินหน้าตาเย็นชากลับห้องไป

มื้อเที่ยงเพียงกินรองท้องอย่างง่ายๆ ทว่ามื้อค่ำย่อมจัดขึ้นโต๊ะอย่างเต็มที่

เมื่อก่อนไป๋ถานเคยฉลองปีใหม่กับอู๋โก้วเพียงสองคน บรรยากาศเงียบเหงายิ่ง ยากนักที่ปีนี้จะมีคนมาเพิ่มหลายคน นางจึงเรียกฉีเฟิงกับกู้เฉิงมาร่วมกินอาหารด้วยเสียเลย

กู้เฉิงยังดียิ่ง ขณะที่ฉีเฟิงเข้าขั้นตื่นตระหนก จู่ๆ พระโพธิสัตว์ไป๋พลันบังเกิดจิตเมตตาเช่นนี้ จะคิดร้ายอะไรอยู่หรือไม่

ซือหม่าจิ้นเข้ามานั่งประจำที่สายยิ่ง เขาสวมเสื้อนอกขนจิ้งจอกสีขาวหิมะ ทันทีที่นั่งมั่นคงแล้วไป๋ถานก็พลันสะทกสะท้อนใจ นางรู้เสียทีว่า ‘เปรียบอัญมณีข้างกาย ละอายว่าตนซอมซ่อ’* เป็นความรู้สึกเช่นไร

บุรุษเช่นนี้หากมิใช่มีกิตติศัพท์ความน่าสะพรึงกลัวลือลั่นไปทั่ว เกรงว่ามีแต่จะชวนให้เหล่าสตรีเข้ามารุมล้อมไล่ตามดุจฝูงเป็ด

ซือหม่าจิ้นสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าไป๋ถานกำลังจับจ้องตนอยู่ ทว่าเขาไม่ได้มองตอบ

ตอนที่ราชสำนักคัดเลือกผู้ทรงธรรม นางยังเขียนหนังสือกราบทูลถวายต่อซือหม่าเสวียนเสียดิบดี แน่นอนว่าชื่อเสียงเช่นเขาย่อมไม่มีทางได้รับรางวัลจากราชสำนัก ทว่าสองวันก่อนซือหม่าเสวียนยังเรียกเขาไปชมเชยหลายประโยคเป็นการเฉพาะ

นี่ก็คือความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ที่นางต้องการ ทั้งแน่ชัดและขีดเส้นแบ่งไว้อย่างชัดเจน

เขาน่าจะเข้าใจได้แต่แรกแล้วว่านางหาได้มีใจให้ไม่ หาไม่ไหนเลยนางจึงไม่คิดถึงเรื่องราวในอดีตแม้แต่น้อย

ทว่าถึงกระนั้นแล้วอย่างไร กว่าซีชิงจะเชื่อมโยงสายสัมพันธ์เส้นนี้ให้เขากับนางได้ก็มิใช่ง่ายๆ เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นคว้าอัญมณีเม็ดนี้ไปครอง

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงถือจอกมาคารวะสุราผู้เป็นนาย ซือหม่าจิ้นเพียงกวาดตามอง ร่างของทั้งสองก็หดกลับไปโดยพร้อมเพรียง

“โอ๊ะ คืนนี้ยังต้องอยู่จนโต้รุ่ง ท่านอ๋องค่อยๆ กิน พวกเราขอตัวก่อนขอรับ” ฉีเฟิงวางจอกสุราแล้วคว้าตัวกู้เฉิงออกไปทันที

อู๋โก้วอยู่ต่อไม่ไหวนานแล้ว จวบจนป่านนี้ยามที่นางมองเห็นซือหม่าจิ้นก็ยังนึกถึงกระต่ายที่น่าสงสารตัวนั้นไม่หาย นางวิ่งออกมาหลังเอ่ยเสียงเบาว่าจะไปยกน้ำแกง

ไป๋ถานเห็นท่าทางของอีกฝ่ายก็รู้ว่าคืนนี้คงไม่ได้ดื่มน้ำแกงนั้นแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นหิมะตกหนักยิ่งขึ้น

ไป๋ถานลุกขึ้นเติมถ่านก้อนหนึ่งลงในกระถางไฟก่อนหันหน้าไปจุดกำยานในเตา

เพิ่งจัดวางเรียบร้อย ซือหม่าจิ้นพลันโน้มกายมาคว้าเตากำยานขว้างออกไปนอกหน้าต่าง

“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้นที่ด้านนอก ไป๋ถานรีบวิ่งไปที่ริมหน้าต่างก็เห็นไป๋ต้งยืนขึ้นกุมหน้าผากด้วยสีหน้าตัดพ้อ

“ข้าซ่อนตัวมิดชิดออกปานนี้ยังถูกพบเห็นได้อีกหรือ” เขาขึงตาใส่ซือหม่าจิ้นอย่างไม่ยอมรับนับถือ

“ข้าไม่ได้พบเห็น เพียงแต่ไม่ชอบกลิ่นของกำยานเท่านั้น” ซือหม่าจิ้นแหงนคอดื่มสุราในจอกจนหมดโดยไม่แม้แต่จะมองอีกฝ่าย

ไป๋ถานแทบอยากจะตีไป๋ต้งสักยก หิมะตกหนักเช่นนี้เขาถึงกับนั่งอยู่เบื้องนอกได้เยี่ยงไร

“รีบกลับไปเร็วเข้า!”

ไป๋ต้งทำปากยื่น “ข้าอยากมาคารวะพี่สาวนี่นา”

“เอาล่ะ เจ้าคารวะเสร็จแล้วจงรีบกลับไปเสีย อีกเดี๋ยวหากหิมะปิดเส้นทางลงเขาขึ้นมา เจ้าอยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว”

ไป๋ต้งยังไม่อยากไปจริงๆ ทว่าไป๋ถานยืนกรานหนักแน่นเช่นนี้ เขาอับจนหนทางแล้วจึงทำได้แค่นวดคลึงหน้าผากพลางเดินจากไป

ไป๋ถานคิดแล้วไม่วางใจ ฉวยเสื้อคลุมตัวหนึ่งไล่ตามออกไปมอบให้น้องชาย พอกลับมาถึงซือหม่าจิ้นกลับนั่งโกรกลมหนาวอยู่ริมหน้าต่าง กระทั่งเกล็ดหิมะปลิวม้วนเข้ามาเกาะพราวอยู่บนเส้นผม เขาก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

ไป๋ถานไม่รบกวนอีกฝ่าย เพียงรวบเก็บชามตะเกียบแล้วตั้งเตาเล็กเพื่อต้มน้ำชา ขณะกำลังวุ่นอยู่นั้น แขนของนางพลันถูกกระตุกวูบ ทั้งร่างซวนเซไปด้านข้างจนศีรษะชนเข้ากับแผงอกที่แน่นกระชับของเขา

ซือหม่าจิ้นก้มหน้ามองนาง “อาจารย์รู้สึกว่าข้าเป็นคนที่อยู่ด้วยง่ายหรือ”

“…” ดูจากท่าทางนี้ก็ไม่ใช่น่ะสิ!

ไป๋ถานรีบดิ้นรนหมายผละถอยห่าง ทว่าเขากลับยิ่งออกแรงฉุดรั้งอีกครั้งจนนางเข้ามาแนบชิด “หรือท่านรู้สึกว่าแค่ใช้คำว่าศิษย์อาจารย์ก็สามารถขับไล่ข้าไปได้?”

“ท่านอ๋อง!” ไป๋ถานตระหนกระคนโกรธกรุ่นไม่น้อย

ซือหม่าจิ้นไหนเลยจะเห็นอารมณ์เพียงเท่านี้ของนางอยู่ในสายตา อันที่จริงเขาชอบที่จะเห็นท่าทางของนางยามมือเท้าปั่นป่วนแต่ก็ยังฝืนทำเยือกเย็นนี้ยิ่งนัก นางทำให้เขาเพลิดเพลินใจยิ่งกว่าการได้ทรมานคนเสียอีก

เนื่องจากอยู่ใกล้กันมากเหลือเกิน เขามองเห็นปลายจมูกที่ต้องไอหนาวจนแดงเรื่อของนาง ตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าไปสะกิดถูกความคิดเช่นไรของตนเองเข้า จึงได้อ้าปากขบปลายจมูกจิ้มลิ้มนั้นเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนคลายมือจากนางเดินออกนอกประตูไปอย่างพึงพอใจ

ไป๋ถานป้องจมูกตนเองอย่างรู้สึกขยาดอยู่พักหนึ่ง ชาตินี้นางคงไม่มีทางคาดเดาความนึกคิดอันแปลกพิกลของเขาได้เลยจริงๆ

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหวังฮ่วนจือก็มาเคาะประตูใหญ่ของเรือนพักสกุลไป๋ ก่อนจะโยนร่างของตงไห่อ๋องในชุดนักโทษไว้ที่หน้าประตู

ซือหม่าจิ้นผูกเชือกเสื้อคลุมพลางมองดูร่างของอีกฝ่ายที่สั่นเกร็งจนขดเป็นก้อน ในที่สุดก็มีเรื่องที่พอจะทำให้เขาเบิกบานใจขึ้นมาบ้างแล้ว

“ลากไปที่ค่ายทหาร” เขาฉวยแส้ม้าเตรียมตัวลงเขา

หวังฮ่วนจือเอ่ยเตือนด้วยถ้อยคำเปี่ยมความหวังดี “ท่านอ๋อง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอ๋องเจ้าศักดินาเชียวนะ”

ซือหม่าจิ้นชะงักฝีเท้า “เจ้าพูดถูก เช่นนั้นข้าจะลงมือด้วยตนเอง” ไม่ทันขาดคำเขาก็กระชากเรือนผมของตงไห่อ๋องแล้วลากอีกฝ่ายมุ่งลงเขาไป เสียงร้องโหยหวนดังสนั่นทั่วป่าเขาในทันที

 

วันเดียวกันนั้นไป๋ถานก็ถูกเรียกตัวเข้าวัง

ซือหม่าเสวียนอยู่ในห้องทรงพระอักษรเดินกลับไปกลับมาไม่หยุดยั้ง รอกระทั่งเห็นนางมาถึงแล้วจึงค่อยชะงักฝีเท้าพลางอ้าปากสอบถามโดยไม่รอช้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลิงตูอ๋องได้ลอบกักตัวตงไห่อ๋องไว้หรือเปล่า”

ไป๋ถานยังไม่ทันได้ถวายบังคมก็สั่นศีรษะเป็นพัลวัน

ตงไห่อ๋องสมควรอยู่ในคุกของศาลมิใช่หรือ

มารร้ายนั่นคงจะไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนอีกกระมัง!

จริงดังคาด ไม่ช้านางก็เห็นเกาผิงวิ่งซอยเท้ามาตลอดทางตั้งแต่เข้าประตูตำหนัก “ทูลฝ่าบาท ได้ยินว่าตงไห่อ๋องถูกหลิงตูอ๋องลากตัวไปที่ค่ายทหารแล้ว ทว่ากระหม่อมไปตรวจสอบในค่ายทหารกลับสืบไม่พบร่องรอยของเขา น่ากลัวว่าจะ…”

ซือหม่าเสวียนนวดคลึงขมับพลางกล่าว “พูดมา!”

เกาผิงก้มหน้างุดพูดอึกๆ อักๆ จนจบใจความตอนท้าย “น่ากลัวว่าจะ…เสียชีวิตไม่พบศพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซือหม่าเสวียนตะลึงงัน เท้าพลันเซวูบ ไป๋ถานรีบยื่นมือพยุงไว้ เขากุมมือของนางแต่ดูเหมือนรู้สึกว่าไม่เหมาะควรจึงคลายออก ทว่าพอคลายมือร่างของเขาก็ทรุดฮวบทันที

ไป๋ถานตื่นตระหนกรีบร้องเรียกเกาผิงมาช่วยเหลือ ตอนนี้เองอีกฝ่ายจึงขึ้นหน้ามาช่วยพยุงอย่างแตกตื่น

ฝ่าบาทถูกหลิงตูอ๋องยั่วโทสะจนประชวรเฉียบพลัน เรื่องนี้ทำเอาในวังโกลาหลประดุจกระทะน้ำมันที่เดือดพล่าน

ไป๋ฮ่วนเหมยบีบผ้าเช็ดหน้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ข้างเตียง แววกระวนกระวายบนดวงหน้าไม่คล้ายแสร้งทำออกมา

ไป๋ถานไม่เหมาะจะรั้งอยู่ที่ตำหนักชั้นใน ทว่าก็ไม่อาจจากไปโดยไม่ไยดีได้ นางจึงคอยฟังข่าวอยู่นอกตำหนักแทน

ในใจนางไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เมื่อก่อนมารร้ายผู้นั้นต่อให้ก่อเรื่องนอกลู่นอกทางเพียงใดก็ไม่เคยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาเช่นครั้งนี้

ตงไห่อ๋องไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครองที่ทรงอำนาจในพื้นที่แถบหนึ่ง หากยังเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซือหม่าและเป็นอาของเขาเอง กระทั่งคนในวงศ์ตระกูลเขายังลงมือได้ ไม่แปลกเลยที่ฝ่าบาทจะปวดพระทัยจนประชวร

เห็นทีว่าการอบรมบ่มนิสัยในช่วงที่ผ่านมาของนางยังคงสูญเปล่า ผลที่ผ่านมาดุจถูกสายน้ำซัดพาไปหมดสิ้น

คาดว่าเป็นเพราะบรรดาหมอหลวงไม่ค่อยได้ความ ไป๋ฮ่วนเหมยจึงส่งคนไปเชิญซีชิงมา

ซีชิงสะบัดแขนเสื้อกว้างเดินเนิบนาบมาถึงหน้าตำหนัก พอเห็นไป๋ถานอยู่ที่นี่เขาก็ประชิดเข้ามาพูดกระซิบทันที “เจ้าดูเอาเถิด ในที่สุดเหมยเหนียงก็รู้เสียทีว่าข้าเก่งกาจกว่าแพทย์ฝีมือตื้นเขินในสำนักแพทย์หลวงเหล่านั้น”

ไป๋ถานเหลือกตาอย่างสุดทน

ขันทีที่อยู่ด้านข้างซอยเท้าย่ำอยู่กับที่เตรียมพร้อมวิ่งตะบึงได้ทุกเมื่อ “โอ๊ย! คุณชายซี ท่านอย่ามัวสนทนาอยู่เลย พระวรกายของฝ่าบาทจะชักช้าไม่ได้นะขอรับ!”

เช่นนี้เองซีชิงถึงได้บอกลาไป๋ถานแล้วเร่งรุดเข้าตำหนักไป

รอคอยคราวนี้ยาวนานถึงหลังเที่ยง ซีชิงจึงค่อยออกมาได้เสียที เขาแสดงท่าทีให้นางไปกับเขา

ไป๋ถานไม่อาจจากไปเช่นนี้ จึงเข้าไปกล่าวลากับไป๋ฮ่วนเหมยก่อนออกมา

ตลอดทางซีชิงล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นหรี่ลงเป็นพักๆ ชวนให้ผู้อื่นรู้สึกว่ารูปการณ์ไม่สู้ดี

ไป๋ถานอดกลั้นไว้ จวบจนออกจากประตูวังมาแล้วถึงได้รีบสอบถาม “พระวรกายของฝ่าบาทไม่สู้ดีใช่หรือไม่”

ซีชิงส่ายหน้าติดๆ กัน “แค่ไฟในตับลุกโชนจนเป็นเหตุให้เลือดลมปะทะกันเท่านั้น ยังจะมีอะไรได้อีก ก็เพราะไม่มีอะไรเช่นนี้ข้าถึงไม่พอใจอย่างไรเล่า” ทว่าถัดจากนั้นเขากลับคลี่ยิ้มกริ่ม “แต่ว่าฝ่าบาททรงมีทายาทไม่ได้ เรื่องนี้ข้าก็ยังปลาบปลื้มใจไม่น้อย”

หรือว่านี่ก็คือใจริษยาของบุรุษที่เล่าขานกัน?

น่าหวาดเสียวโดยแท้ หากถูกคนนอกได้ยินเข้า เขาต้องถูกตัดสินโทษบั่นศีรษะแน่นอน!

 

ยามที่กลับมาถึงภูเขาตงซาน ซือหม่าจิ้นไม่อยู่ ทหารเฝ้าประตูบอกว่าเขาไปค่ายทหารแล้ว

ไป๋ถานมีความอดทนพอ หลังเติมท้องให้อิ่มอย่างลวกๆ ก็ไปนั่งรอในห้องของเขา

นางอยากถามดูว่าตอนนี้เขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ทั้งที่พูดดิบดีว่าจะร่วมมือกับการอบรมของนาง ทว่ายังไม่ทันไรกลับก่อเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมาอีก!

แต่รอคอยจนกระทั่งดวงตะวันลับทิวเขาไปแล้ว แม้เงาของเขานางก็ไม่พบเห็น

จวบจนค่ำมืด ฉีเฟิงถึงนำความมาแจ้งว่าซือหม่าจิ้นกลับจวนหลิงตูอ๋องไปแล้ว สองสามวันนี้จะไม่มาที่นี่

ประเสริฐแท้ นี่เขาจงใจใช่หรือไม่ ถึงกับไม่โผล่หน้า!

ไป๋ถานฉุนเฉียวกลับห้องก็ปิดประตูดังโครม ฝึกคัดอักษรสามหน้าเต็มถึงนับได้ว่าใจเย็นลง

ที่แท้การรับมารร้ายผู้นี้มาเป็นศิษย์ นางต่างหากที่ต้องกล่อมเกลาจิตใจมากที่สุด!

เยือกเย็น เยือกเย็นเข้าไว้…

ซือหม่าจิ้นหายไปไม่เห็นเงา ทว่าในราชสำนักยังต้องมีบทสรุปให้กับคดี

ซือหม่าเสวียนพักฟื้นอยู่สองวันจนอาการทุเลาลงบ้างแล้ว เขาเรียกตัวขุนนางสำคัญจำนวนหนึ่งเข้าวังมาหารือ อย่างไรเสียตงไห่อ๋องก็เป็นถึงอ๋องเจ้าศักดินา ไหนเลยจะปล่อยให้อีกฝ่ายสาบสูญโดยไม่รู้ที่มาที่ไปเช่นนี้ได้ ทุกคนจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องไปทวงถามคนจากหลิงตูอ๋อง

ซือหม่าเสวียนเอ่ยถาม “เช่นนั้นพวกท่านใครจะเป็นคนไป”

ทุกคนล้วนเงียบเสียงทันที ราวกับข้อเสนอเมื่อครู่นี้ไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ซือหม่าเสวียนจึงเบิกตัวคนของศาลเข้ามาแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้นเราจะปิดคดีนี้ ขุนนางทุกท่านคงไม่มีความเห็นต่างกระมัง”

คนทั้งหมดล้วนตระหนักได้ว่าฝ่าบาทจะทรงให้ท้ายหลิงตูอ๋องอีกแล้ว

ช่างโจ่งแจ้งเหลือเกิน ต่อให้จะเข้าข้างปกป้องมารร้ายผู้นั้น อย่างน้อยสงวนท่าทีสักนิดก็ยังดี!

เพียงไม่กี่วันราชสำนักก็ประกาศราชโองการตามผลการสืบสวน เนื้อความบอกเพียงว่าซินอานอ๋องเจตนาลอบสังหารอาจารย์ของหลิงตูอ๋องแล้วป้ายความผิดแก่ตงไห่อ๋อง คิดการชั่วช้าสมควรถูกประหาร

ทว่าตงไห่อ๋องเองก็ขาดความสำรวม อยู่ในเมืองหลวงมีพฤติกรรมกำเริบละเมิดเบื้องสูง ซ่อนแฝงเจตนาร้าย มีใจคิดคดทรยศ ซ้ำยังเคยเข้าร่วมในเหตุกบฏชนชั้นปกครองแดนเจียงเป่ยเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน หลักฐานชัดแจ้ง บัดนี้ได้ฆ่าตัวตายหนีความผิดในคุกแล้ว

เพิ่งส่งท้ายปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ยังไม่ทันเปิดท้องพระโรงสะสางงานราชการด้วยซ้ำ ข่าวที่ประกาศออกมาในเดือนแรกของปีเช่นนี้ทำเอาราษฎรทั่วหล้าตระหนกตกใจอย่างแท้จริง

ในเมืองตงไห่ก็อื้ออึงไปด้วยเสียงโจษจันเช่นกัน ชายาของตงไห่อ๋องถือกำเนิดในสกุลเซียวแห่งหลันหลิงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่เรืองอำนาจ มิใช่หญิงที่ไร้เขี้ยวเล็บ เดิมทีนางนึกว่าผู้เป็นสามีเพียงไปศาลพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีทางเกิดเรื่องร้ายแรงอันใด แต่นึกไม่ถึงว่าคนกลับเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ แค้นนี้ไหนเลยจะกดข่มไว้ได้ นางถึงขั้นเตรียมตัวพาบุตรธิดามาซักถามฮ่องเต้ถึงเมืองหลวงแล้ว

ทว่านางยังไม่ทันออกเดินทาง ไพร่พลของซือหม่าจิ้นก็มาถึงเมืองตงไห่แล้ว ทหารห้าหมื่นขวางอยู่หน้าประตูเมือง เจ้าเมืองตงไห่วิ่งตะบึงตลอดทางออกมาต้อนรับ ทั้งที่ฤดูหนาวยังไม่ผ่านพ้นกลับเหงื่อแตกพลั่กเต็มศีรษะ

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงควบม้าเข้าเมืองไปเองโดยไม่ได้แยแสเจ้าเมือง มุ่งตรงไปตรวจค้นยึดทรัพย์จวนตงไห่อ๋อง ขนย้ายของดีที่อยู่ภายในออกมาจนสิ้น

โทสะพลันพุ่งจู่โจมหัวใจ ชายาเซียวล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ขณะนอนอยู่บนเตียงก็ยังร้องก่นด่าซือหม่าจิ้นไม่ขาดปาก

‘อดีตองค์ชายไร้ประโยชน์ที่เคยหลบหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วเมืองอู๋ดุจตัวตุ่นที่อยู่แต่ในรูผู้นั้น บัดนี้พอได้กุมทหารก็เริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกผู้คน สวรรค์ช่างมีตาแต่ไร้แวว ถึงกับปล่อยปละให้มารร้ายนี่กระทำชั่วสารพัดเช่นนี้!’

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงต่างแสดงพฤติกรรมอันดีงามในการปราบโจรกบฏยึดสมบัติ พวกเขาคุมทรัพย์สินเต็มสองคันรถกลับจวนหลิงตูอ๋องมารายงานผู้เป็นนาย พร้อมนำวาจานี้กลับมาด้วย

ซือหม่าจิ้นอยู่ในคลังเก็บอาวุธ ไม่สะดุ้งสะเทือนกับวาจาด่าทอเหล่านี้แม้แต่น้อย เพียงสั่งให้พวกเขาขนสิ่งของเข้ามา

กู้เฉิงสั่งลูกน้องยกหีบสี่ห้าใบที่บรรจุของจนเต็มเข้ามา ซือหม่าจิ้นยกเท้าเปิดฝาหีบออกใบหนึ่ง พลันแหย่กระบี่ในมือเข้าไปกวนดูก่อนเอ่ยปากถาม “ไม่มีไต้เม่าหรือ”

“ไต้เม่า?”

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงพร้อมใจกันโถมร่างตรงไปรื้อค้นหีบทุกใบดูรอบหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้าให้ผู้เป็นนายพร้อมสองมือที่ว่างเปล่า

“กระทั่งไต้เม่าก็ยังไม่มี พวกเจ้าเอาสิ่งของเหล่านี้มาจะมีประโยชน์อันใด” ซือหม่าจิ้นโยนกระบี่แล้วเดินออกจากคลังเก็บอาวุธ

ฉีเฟิงกับกู้เฉิงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ท่านอ๋องเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ นี่มันเงินทั้งนั้น ทองคำแท้เหลืองอร่าม เงินตำลึงขาวแวววาวกับแก้วแหวนอัญมณี จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร

 

ขณะนี้หวังฮ่วนจือกำลังยืนเลี้ยงปลาอยู่ข้างสระในสวนท้ายจวนหลิงตูอ๋อง บนร่างสวมชุดยาวตัวหลวมรัดสายคาดเอวแถบกว้าง สีหน้าท่าทางผ่อนคลายไม่ยึดติดกรอบธรรมเนียม

ยากนักที่จวนแห่งนี้จะมีแขกมาเยือน อีกทั้งเป็นคุณชายตระกูลขุนนางผู้มีรูปโฉมสง่างาม เป็นธรรมดาที่จะดึงดูดสาวใช้จำนวนมากให้ลอบชะเง้อคอมอง

น่าเสียดาย ทันทีที่ซือหม่าจิ้นย่างเท้าขึ้นมาบนระเบียงทางเดิน พวกนางทั้งหมดก็กลับไปอยู่ในระเบียบ ก้มหน้าลงต่ำรีบวิ่งซอยเท้าตลอดทางจนลับตาไป

หวังฮ่วนจือโปรยอาหารปลาหนึ่งกำมือลงในสระก่อนหันหน้ามองมาทางซือหม่าจิ้น “ข้าน้อยมาแสดงความยินดีกับท่านอ๋องโดยเฉพาะ กำจัดอ๋องเจ้าศักดินาได้สองคนในคราวเดียว เส้นทางราบเรียบขึ้นโดยพลัน”

สายตาของซือหม่าจิ้นทอดข้ามกำแพงลานมองไกลไปยังวังหลวงซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ “เจ้าถือดีอะไรจึงแน่ใจว่าอ๋องสองคนนี้ถูกโค่นล้มเพื่อข้า”

หวังฮ่วนจือกระจ่างแจ้งแก่ใจ หากเดิมซือหม่าเสวียนไร้ความคิดที่จะจัดการคนทั้งสองอยู่แล้ว ไหนเลยจะสามารถโค่นล้มได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ต่อให้เขามีอุปนิสัยอ่อนโยนสักเพียงใด ทว่าคนผู้นั้นก็คือฮ่องเต้อยู่ดี ยอมให้ผู้อื่นมากำเริบเสิบสานในอาณาจักรของตนต่างหากเล่าจึงจะแปลก

“ท่านอ๋องต้องเฝ้าดูอาจารย์ของท่านอย่างใกล้ชิดแล้ว” หวังฮ่วนจือเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “ในมือนางกุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของราชสำนักในอนาคตอยู่ ยิ่งคู่ต่อสู้ของท่านอ๋องน้อยลงก็จะมีคนมองเห็นนางมากขึ้นเรื่อยๆ”

ซือหม่าจิ้นยืนอยู่ข้างสระ ทอดสายตามองปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำโดยไม่พูดแม้สักคำ

คู่ต่อสู้ของเขาก็เฉกเช่นปลาเหล่านี้ ไป๋ถานคือเหยื่อล่อ เดิมเขาควรจะเป็นเพียงคนที่นั่งตกปลาอยู่ข้างสระเท่านั้น ทว่ายามนี้ดูเหมือนเขาชักจะใส่ใจเหยื่อล่อนี้มากเกินควร

แม้จะคลุมเครือไม่ชัดแจ้งไปบ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรคดีของตงไห่อ๋องในยามนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดแล้ว

ผู้ที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังยังพอทำเนา ทว่าผู้ที่ล่วงรู้สายสนกลในล้วนหวาดผวายิ่ง

หลังจากสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว บรรดาผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงต่างแสดงท่าทีว่ากลับไปแล้วจะต้องตักเตือนบุตรหลานในตระกูลของตนให้ดี อย่าได้ตอแยมารร้ายนั่นเข้าเด็ดขาด ผู้ที่สามารถลงมือกับคนในวงศ์ตระกูลของตนยังจะมีเรื่องใดที่ทำไม่ได้อีกเล่า!

ด้วยเหตุนี้ไป๋ต้งถึงกับถูกไป๋หยั่งถังหิ้วตัวไปที่ห้องหนังสือพลางกำชับกำชาอย่างจริงจังรอบหนึ่ง

ไป๋ต้งยังมีอุปนิสัยของหนุ่มน้อย ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ประกอบกับถูกประคบประหงมตามใจมาแต่เล็กจึงไม่รู้จักขอบเขตอันควร ทั้งยังไร้มารยาทต่อหน้าซือหม่าจิ้นเสมอมา เหตุที่ซือหม่าจิ้นไม่แตะต้องเขาอาจเป็นเพราะเขาคือน้องชายของอาจารย์ หรืออาจเพราะคร้านจะถือสาหาความ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่อาจแตะต้อง ฉะนั้นหากวันหน้าเขายโสโอหังยิ่งกว่านี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเคราะห์ร้ายเป็นแน่

ไป๋ต้งแม้ปากตะโกนว่า ‘ข้าไม่เกรงกลัวเขาหรอก!’ แต่ก็ไม่ได้ไปเยือนภูเขาตงซานอีกพักใหญ่

 

เดือนอ้ายใกล้จะสิ้นสุดลง เหล่าศิษย์ก็ใกล้จะกลับมาแล้ว ทว่ากลับยังคงไม่เห็นเงาของซือหม่าจิ้น

ในที่สุดไป๋ถานก็อดกลั้นต่อไปไม่ไหว เรียกอู๋โก้วไปเยือนจวนหลิงตูอ๋องด้วยกันสักเที่ยวหนึ่งแต่ก็ยังไม่พบคน นางจึงได้แต่บ่ายหน้าไปที่ค่ายทหาร

ในค่ายทหารก็ไม่พบเขาอีกเช่นกัน มีเพียงกู้เฉิงที่อยู่ในกระโจม เขาบอกนางว่าซือหม่าจิ้นไปล่องทะเลสาบ จะไม่กลับมาในเวลาอันสั้นนี้

เกิดเรื่องถึงขั้นนี้เขายังมีแก่ใจล่องทะเลสาบ?! ไป๋ถานแทบจะโมโหตายอยู่แล้ว

กู้เฉิงย่อมเอาใจใส่ผู้อื่นมากกว่าฉีเฟิง จึงเสนอตัวเป็นคนนำทางให้พวกนางโดยเฉพาะ

ทะเลสาบนั้นอยู่ไม่ไกล ติดกับค่ายทหารนี่เอง ปกติน้ำที่เหล่าทหารใช้อุปโภคบริโภคก็ล้วนมาจากทะเลสาบแห่งนี้

ยามที่ไป๋ถานไปถึงจึงมองเห็นฉีเฟิงอยู่ริมตลิ่ง ทันทีที่เห็นไป๋ถานเขาก็กุมศีรษะอย่างระทมทุกข์ขณะที่ปากโอดครวญไม่หยุดว่า “เหตุใดกระทั่งที่นี่เจ้าก็ยังไล่ตามมาอีกเล่า”

ไป๋ถานเหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ยังไม่พบซือหม่าจิ้นจึงเอ่ยถาม “ท่านอ๋องของเจ้าเล่า”

ฉีเฟิงชี้มือส่งๆ ไปยังใจกลางทะเลสาบ “ไปหาดูเอาเอง”

หาเองก็หาเองสิ!

ฤดูกาลนี้มีคนออกมาจับปลาแล้ว เพียงเปรียบเทียบชีวิตอันลำเค็ญของชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองกับความเป็นอยู่อันฟุ้งเฟ้อของตระกูลขุนนางชนชั้นสูงในเมืองก็ทำให้เห็นภาพความเหลื่อมล้ำได้อย่างชัดเจน

ไป๋ถานเช่าเรือลำหนึ่งกับชาวประมงที่อยู่ริมฝั่งก่อนเรียกอู๋โก้วให้พายเรือไปยังใจกลางทะเลสาบ

ภูมิลำเนาเดิมของอู๋โก้วคือเมืองอู่หลิง เนื่องจากอาศัยอยู่ริมทะเลสาบต้งถิง ใกล้ชิดกับน้ำแต่เล็กจนโต สำหรับนางเรื่องเพียงเท่านี้จึงไม่ต่างจากกับแกล้มจานเล็ก นางรีบม้วนแขนเสื้อไปโยกไม้พายไปโดยไม่รอช้า

นี่มิใช่ครั้งแรกที่ไป๋ถานนั่งเรือเล็กชนิดนี้ เมื่อก่อนยามอากาศหนาวจัดนางกับซีชิงยังเคยพายเรือเล็กล่องทะเลสาบสีอู่ที่อยู่ในเมืองด้วยกัน ช่วงปลายเหมันต์ต้อนรับวสันต์เช่นนี้ การได้ชมตัวเรือแหวกผ่านเศษน้ำแข็งแผ่นบางบนผิวน้ำก็เป็นความเพลิดเพลินในอีกอารมณ์หนึ่ง

อู๋โก้วโยกไม้พายพลางเอ่ยถาม “อาจารย์ ต่อให้ท่านหาหลิงตูอ๋องพบจริงจะทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าคะ ที่ควรพูดล้วนพูดไปหมดแล้ว หากเขาไม่ฟัง ท่านก็ต้องอับจนหนทางแล้ว”

พลังแห่งความเที่ยงธรรมพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างของไป๋ถาน “ผู้เป็นอาจารย์ไหนเลยจะบังเกิดความเกียจคร้านเหนื่อยหน่ายเพียงเพราะศิษย์ยากจะอบรมได้เล่า ถึงเขาไม่ฟังอาจารย์ก็ต้องพูด อาจารย์เรียบเรียงเนื้อความอัดแน่นจนเต็มท้องแล้วด้วยซ้ำ!”

อันที่จริงอู๋โก้วไม่อยากไปตอแยซือหม่าจิ้นสักนิด ทว่าเห็นผู้เป็นอาจารย์แน่วแน่เช่นนี้จึงได้แต่ฝืนทำเก่งและพายเรือมุ่งหน้าต่อไป

ฉีเฟิงที่อยู่บนฝั่งยังส่งเสียงให้กำลังใจพวกนางอย่างคึกคักสนุกสนาน ช่างยียวนชวนคันกำปั้นเสียจริง

ยังไม่ทันที่พวกนางจะพายไปถึงใจกลางทะเลสาบ อู๋โก้วพลันหยุดมือพลางชี้มือไปเบื้องหน้าพร้อมร้องตะโกน “แย่แล้ว มีคนพลัดตกน้ำ!”

ไป๋ถานหันหน้าไปมองก็เห็นคนตกน้ำจริงๆ ดูท่าทางคล้ายเด็กสาวชาวประมงคนหนึ่ง แขนที่เรียวเล็กนั้นปัดป่ายเปะปะไม่หยุดจนเรือประมงที่อยู่ด้านข้างส่ายโคลงเบาๆ นางไม่มีเพื่อนร่วมทาง น่าจะเพิ่งพลัดตกลงไป

เรือประมงลำอื่นล้วนอยู่ไกลยิ่ง ทั้งละแวกใกล้เคียงแม้จะมีเรือเล็กลำหนึ่งอยู่ก็จริง ทว่าด้านบนกลับไม่มีใครสักคน

ไป๋ถานรีบเรียกให้อู๋โก้วพายเรือตรงไป

อู๋โก้วใช้มือวักน้ำสองทีจึงค่อยฉุกคิดได้ว่าตนมีไม้พาย ยามนี้นางร้อนใจจนมึนงงไปเสียแล้ว

พวกนางอยู่ไกลเหลือเกินจริงๆ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป กว่าจะไปถึงตรงนั้นแม่นางน้อยก็คงไม่รอดชีวิตแล้ว

ไป๋ถานเพ่งมองความเคลื่อนไหวทางด้านนั้นไม่วางตา ขณะจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายพลันมองเห็นในเรือเล็กซึ่งเดิมทีนึกว่าไม่มีใครอยู่นั้นกลับมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นนั่ง เขาโน้มกายกระตุกดึงเพียงทีเดียว ร่างของเด็กสาวที่ตกน้ำก็พลันลอยพ้นผิวน้ำ พอคนผู้นั้นออกแรงสะบัดมืออีกครั้งก็เหวี่ยงร่างของเด็กสาวผู้นั้นขึ้นสู่เรือประมงที่อยู่ตรงกันข้ามได้สำเร็จ

เรือประมงส่ายโคลงสองทีพร้อมกับเสียงดังตุบ คาดว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะกระแทกพื้นเรือแรงไม่เบา ครึ่งวันถึงยังไม่ขยับเขยื้อน

การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลให้เรือเล็กลำนั้นโคลงเคลงรุนแรงจนหวุดหวิดจะพลิกคว่ำ ทว่าคนผู้นั้นกลับนอนลงไปดังเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน

ไป๋ถานลุกพรวดยืนบนเรือในอาการตกตะลึงพรึงเพริด ฝ่ายอู๋โก้วก็ตระหนกตกใจจนโยนไม้พายทิ้ง

“อาจารย์ เมื่อครู่ใช่ข้าตาฝาดไปหรือไม่”

“อาจารย์ก็รู้สึกว่าตนเองตาฝาดไปเช่นกัน…”

หากมองไม่ผิด คนในเรือเล็กลำนั้นก็คือ…ซือหม่าจิ้น!

 

(ติดตามต่อได้ในเล่ม)

8 of 8หน้าถัดไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ทดลองอ่าน

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 91-92

    By

    บทที่ 91 เอาคืน  ภายหลังหลี่เจาเกอกับโม่หลินหลางเดินจากมาไกล โม่หลินหลางก็ข่มใจไม่ไหว เอ่ยกับหลี่เจาเกอด้วยความรุ่มร้อน “องค์หญิง ขออภัยด้วย...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 89-90

    By

    บทที่ 89 ปีศาจแมว เผยจี้อันหน้าเปลี่ยนสีทันตา มองไปทางกู้หมิงเค่ออย่างไม่อาจเชื่อ กู้หมิงเค่อยังคงส่งยิ้มมาให้ ในดวงตาลุ่มลึกเย็นเยียบ พลังก...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 87-88

    By

    บทที่ 87 ข้อห้าม กู้หมิงเค่อถูกหลี่เจาเกอยั่วโมโหจากไปแล้ว นางอมยิ้มรับช่วงหลักฐาน เอ่ยกับผู้ใต้บัญชาที่ติดตามนางมา “จงขนสิ่งเหล่านี้กลับกอง...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

    By

    บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่าดำออกจากหมู่บ้านมาก็...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 5-6

    By

    บทที่ 5 สังหารภูต   หลี่เจาเกอกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ นิ้วมือวางบนด้ามกระบี่ ท่ามกลางหมู่ใบไม้แว่วเสียงความเคลื่อนไหวดังแซกซ่า เงาดำสายหนึ่งพลัน...

  • ทดลองอ่าน

    ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทที่ 2.4-2.6

    By

    บทที่ 2-4 สามีภรรยาปลอม   6   บนหอทองล่วงเข้ากลางคืนแล้ว รอบด้านล้วนจุดโคมไฟ เปลวไฟลุกโชติช่วง ในมุมที่ซย่าชิงยวนนั่งอยู่นางสามารถมองเห็นสัน...

  • จุติรัก พลิกชะตาร้าย

    ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

    By

    บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเร้น ภายใต้ผืนนภาราตร...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com