บทที่ 20 ความรักลึกซึ้งแนบแน่น
เฮ่อหลันฉือไม่มีท่าทางประหนึ่งไม่ยี่หระต่อความตายแต่บนใบหน้ายังคงดูสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด หรือพูดได้ว่าโล่งใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อถูกดวงตาที่เปล่งประกายร้อนแรงคู่นั้นจ้องมองเช่นนี้ เป็นใครก็ไม่อาจสงบนิ่งได้เลยจริงๆ
นางรู้สึกได้ว่าเสียงของลู่อู๋โยวแหบพร่า จึงค่อยๆ ยกมือขึ้นทาบลงบนหลังมือของเขา เพราะความตื่นเต้นฝ่ามือของนางจึงชื้นเล็กน้อย ในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ทำให้เกิดความเหนียวเหนอะที่ชะล้างไม่ออกอยู่บ้าง
“…ไม่มีใครให้เจ้าเป็นอริยชน” น้ำเสียงของนางคล้ายเริ่มจะเรื่อยเฉื่อยมากขึ้นและแผ่วเบาอย่างยิ่ง ฟังแล้วเหมือนดังอยู่ในความฝัน
ลู่อู๋โยวรับรู้ได้ถึงฝ่ามือของเด็กสาวที่แนบชิดอย่างอ่อนนุ่ม ขนตายาวขยับขึ้นลงอยู่ใต้มือที่ทาบปิด พลิ้วผ่านอย่างหยอกเย้า ฝ่ามือที่มักจะเย็นเฉียบราวกับหยกเกิดไออุ่นน่าหลงใหลเล็กน้อยเช่นกัน
ท่าทางของเฮ่อหลันฉือถึงแม้จะตื่นเต้น แต่ไม่ได้สั่นเทาและดูไม่มีความหวาดกลัว
“ข้าอยากเป็นไม่ได้หรือ” เสียงของลู่อู๋โยวยังคงแหบพร่า เอ่ยอย่างอดกลั้นว่า “แต่…ข้าใช่ว่าจะหยุดเมื่อไรก็ได้จริงๆ”
นี่เป็นความรำคาญใจที่ไม่อาจสื่อสารได้
ลู่อู๋โยวย่อมอยากจะใกล้ชิดกับนาง
หากความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเหมือนก่อนแต่งงานยังพอว่า เฮ่อหลันฉือไม่กังวลอะไรในตัวเขา ท่าทีก็เป็นธรรมชาติมาก การตอบสนองทุกอย่างเป็นความจริงที่สุด เขาสามารถปรับให้ดีขึ้นได้ บางครั้งก็อาจจะต้องใช้วิธีตลบตะแลง
ทว่ายามนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาถูกพันธนาการอยู่ในความสัมพันธ์ที่ถูกบังคับให้ผูกติดกันนี้ สำหรับคนแบบเฮ่อหลันฉือ เนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเขา รวมถึงการทำหน้าที่สามีอย่างเต็มที่ของลู่อู๋โยว ทำให้สิ่งที่เขาพูดหรือความต้องการที่เขาร้องขอกับนางแท้จริงแล้วแฝงการข่มขู่และบีบบังคับโดยไม่รู้ตัว การทำดีหวังผลตอบแทน นี่เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก่อนหน้านี้
ต่อให้นางจะยอมรับการนอกรีตของเขาได้ แต่ในช่วงนี้ยังเป็นแนวคิดดั้งเดิมอยู่
เฮ่อหลันฉือกดหลังมือของลู่อู๋โยว รับรู้ถึงความหวั่นไหวของเขา นอกจากเกิดไฟโทสะแล้วยังมีความสงสารที่ไม่อาจบรรยายได้อีกหลายส่วน
นี่แย่แล้วจริงๆ
นางคิดว่าบางทีการท้าทายอาจจะดีกว่า
“ใต้เท้าลู่ ตอนแรกเหตุใดไม่เห็นเจ้าหวั่นเกรงมากเช่นนี้เลย ถ้าเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป…” เฮ่อหลันฉือลากเสียงพูด “เกรงว่าข้าคงต้องสงสัยแล้วว่าเจ้ามีโรคซ่อนเร้นอะไรใช่หรือไม่”
ลู่อู๋โยว “…?”
เขาเลื่อนมือออก ประสานสายตากับนางแล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าไปเรียนกลยุทธ์ยั่วยุมาจากที่ใด”
“ใช้ประโยชน์ได้ก็พอ สรุปแล้วมีหรือไม่…”
ริมฝีปากของลู่อู๋โยวประกบลงมาบนริมฝีปากของนางอย่างห้ามใจไม่อยู่ แต่การจุมพิตยังคงแฝงความยับยั้งชั่งใจไว้เล็กน้อย เป็นวิธีการจุมพิตที่ยืดเยื้อมาก ไม่ค่อยร้อนแรง แต่มีความทะนุถนอมอยู่หลายส่วน
เฮ่อหลันฉือยืดตัวตรง งอสองขา ปล่อยให้เขาจุมพิตอย่างเชื่องช้าสักพักหนึ่ง
ผ่านไปนานเท่าไรไม่อาจทราบลู่อู๋โยวถึงได้คลายริมฝีปาก กดไหล่ของนางแล้วเบือนหน้าออกเล็กน้อย พูดด้วยเสียงแหบพร่ายิ่งขึ้น
“เช่นนั้นเจ้าสามารถทำความรู้จักข้าใหม่อีกครั้ง ข้ามีความกังวลค่อนข้างมาก”
เฮ่อหลันฉือถูกเขาจุมพิตจนแก้มแดงเรื่อ หลุบตาลงแล้วเอ่ยว่า “แล้วเจ้ายังมาพูดอีกว่าอยากให้ข้าเป็นอิสระ ทั้งที่เจ้าเองยังไม่เป็นอิสระเลย”
ลู่อู๋โยวหันมาพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดว่า “นี่เกี่ยวอะไรกับการเป็นอิสระ อิสรภาพของข้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าเสียหน่อย…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้ากำลังกลุ้มใจเรื่องอะไร”
เฮ่อหลันฉือไม่คิดจะพูดเหตุผลอะไรกับเขาอีก เพียงเอ่ยออกมาทีละคำว่า “เจ้า คิด มาก ไป แล้ว”
ลู่อู๋โยวจ้องมองนาง
เฮ่อหลันฉือเวลานี้ช้อนตาขึ้นประสานสายตากับเขา ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อยเช่นกัน
แสงจันทร์สว่างนอกหน้าต่างส่องกระทบบนใบหน้าขาวสะอาดงดงามของนาง
นี่เป็นสตรีที่งดงามอย่างยิ่งจริงๆ ความงามของนางมีเสน่ห์ในตัวเองภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกัน อย่างเช่นเวลานี้มองไป เพราะแววตาสุกใสที่กระจ่างและหนักแน่นดูน่าตื่นตะลึงอยู่หลายส่วน ราวกับหญิงงามบนภาพวาดที่หลังจากถูกเติมดวงตาก็เกิดจิตวิญญาณ มีชีวิตขึ้นมา
มีชีวิตชีวาหอมจรุงใจ
ลู่อู๋โยวกับเฮ่อหลันฉือเผชิญหน้ากันอย่างเงียบๆ เช่นนี้อยู่ครู่ใหญ่
จู่ๆ ก็คิดถึงตอนที่อยู่ในเมืองชิงโจว ตอนที่ไม่มีใครเห็นพวกเขาสองคนก็มองอีกฝ่ายอย่างท้าทายเยี่ยงนี้เช่นกัน แต่เวลานั้นเขาไม่ได้สนใจสิ่งอื่นเลย ไม่เหมือนเช่นตอนนี้ จิตใจไม่สามารถฟุ้งซ่านไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
เช่นเดียวกับหยาดฝนนอกหน้าต่างที่ตกกระทบหลังคา ขอบหน้าต่าง และบนพื้นไม่หยุด เกิดเป็นเสียงดังจนหูแทบหนวก ราวกับมันรวมตัวกันจนกลายเป็นเสียงที่น่าตกใจ
ความมุ่งมั่นในการหาปัญหาใส่ตัวเหล่านั้นของเขาเริ่มสั่นคลอน