ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 20
ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเป็นเช่นนี้…”
ลู่อู๋โยวพูดด้วยลมหายใจไม่สม่ำเสมอ “ไม่อย่างนั้นจะเป็นเช่นไรเล่า”
เฮ่อหลันฉือกัดริมฝีปากแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าไม่น่าจะทำได้กระมัง…”
ลู่อู๋โยวจุมพิตเนินไหล่ของนางเหมือนปลอบขวัญ “ก็เคยเกิดขึ้นแล้วมิใช่หรือ”
“แต่ตอนนั้นข้าจำไม่ได้แล้ว!”
ลู่อู๋โยวชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าก็จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว แต่น่าจะไม่มีปัญหา…คุณหนูเฮ่อหลัน เจ้าต้องเชื่อใจตนเอง”
คำพูดของเขาไม่ได้ปลุกใจนางเลยแม้แต่น้อย นางอยากพูดเพียงว่า ‘ข้าคิดว่าเรื่องนี้ข้าพยายามไปก็ไม่มีประโยชน์…’
มีเสียงสวบสาบอีกพักหนึ่ง
ลู่อู๋โยวแนบริมฝีปากพูดข้างหูนางอีกหนึ่งประโยค
เฮ่อหลันฉือติ่งหูร้อนผ่าวขึ้นมา นางเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คล้ายถูกกระตุ้นจนหนังศีรษะชาวาบ นางกดไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างอ่อนแรง ร่างกายเหมือนถูกเผาจนแดงก่ำ
ดวงตาดอกท้อของลู่อู๋โยวที่อยู่ตรงหน้าหลุบลงครึ่งหนึ่ง ขนตายาวปกคลุมปิดบังแววตาที่เปลี่ยนเป็นลึกล้ำ ใบหน้าหล่อเหลากระจ่างใสราวกับน้ำพุขึ้นสีแดงเรื่ออย่างประหลาด แม้แต่หางตายังถูกย้อมเป็นสีแดงไปด้วย หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย เพราะอดกลั้นจนร่างกายแข็งตึงราวกับลูกธนูบนสาย
“เจ้าก็รุกมากเหมือนกันนะ…”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
ไม่รอให้นางคืนสติก็ต้องส่งเสียงร้องด้วยความตกใจอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงร้องยาวนานเป็นพิเศษ ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวกัดหลังมือของตนเองอีกครั้ง แต่จากนั้นก็ถูกลู่อู๋โยวรั้งเอาไว้
เขาเอ่ยว่า “เจ้ากัดอย่างอื่นเถอะ กัดข้าก็ได้…”
ดูเหมือนใจกว้างอย่างยิ่ง ทั้งที่…เฮ่อหลันฉือคิดว่าตอนนี้คนที่ใจกว้างยิ่งกว่าคือตัวนาง
ครั้งก่อนนางจำได้ไม่ชัดเจนนักจริงๆ เดิมทีก็อยู่ในสภาวะสติมึนงง เหลือเศษเสี้ยวเหตุการณ์เพียงน้อยนิดอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ทุกช่วงเวลากระจ่างชัดเป็นพิเศษ
นางค่อยๆ เริ่มจำได้ว่าตอนนั้นเหตุใดตนเองถึงร้องไห้
เมื่อถึงจุดวิกฤตของความอดทน น้ำตาจะหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัวเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกของร่างกาย
เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวจับแขนของลู่อู๋โยวไว้ ในดวงตาพร่าเลือนเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจะทรมานเช่นนี้ ทำได้เพียงพูดตะกุกตะกัก อยากให้เขาผ่อนแรงลงบ้าง แต่พอขยับปากจึงพบว่าเสียงของตนเองย่ำแย่จนถึงขีดสุดแล้ว
ปกติเสียงของนางแผ่วเบาก็ช่างเถอะ นางไม่รู้สึกอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่างเสียงของนางที่ถูกบีบให้เปล่งออกมากลับทำให้คนไม่อาจมองเป็นเรื่องปกติได้เลย
มันไม่เกิดผลอย่างที่คาดไว้แม้แต่น้อย บางที…ยังทำให้เกิดผลตรงกันข้าม
ใต้เปลือกตาของเฮ่อหลันฉือรู้สึกถึงไอร้อนเอ่อล้น ราวกับไข่มุกที่เอ็นร้อยขาด
ลู่อู๋โยวดึงตัวนางขึ้นมา ขยับใบหน้าเข้าใกล้ทั้งยังเช็ดน้ำตาให้นางอีกด้วย แต่ไม่ได้หยุดการกระทำด้านล่างเลยแม้แต่ครู่เดียว
เฮ่อหลันฉือสติเปิดเปิงเล็กน้อย ใช้แขนยันตัวอีกฝ่ายไว้อย่างไร้เรี่ยวแรง อยากถามว่าเขาไม่เหนื่อยบ้างหรือ จากนั้นก็นึกได้ว่าเขามีพละกำลังที่น่าตกใจอย่างมากจริงๆ แต่นางก็พยายามออกกำลังอย่างดีแล้วแท้ๆ
ในขณะที่สติของเฮ่อหลันฉือกำลังกระเจิดกระเจิง สายฝนนอกห้องกลับตกหนักขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน ตกกระทบหลังคาอย่างรุนแรง ไม่ยอมหยุดพักแม้เพียงชั่วครู่ น้ำหยดใหญ่กระเด็นขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้แต่แผ่นกระเบื้องบนหลังคาก็ดูเหมือนจะต้านทานไม่ไหว สั่นสะเทือนเบาๆ เกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดอย่างน่าสงสาร ทั้งยังดูเป็นอันตราย
ที่น่าสงสารที่สุดน่าจะเป็นต้นกล้าเล็กๆ ที่เพิ่งโตได้ไม่เท่าไรและดอกเบญจมาศที่เพิ่งผลิบาน ต้นกล้าเล็กถูกลมเร็วแรงพัดจนโอนเอน กิ่งก้านส่ายไหว ลำต้นสั่นคลอน
ส่วนดอกไม้ในลานบ้านที่ปลูกได้ไม่นานเวลานี้เพิ่งผลิบานเพียงเล็กน้อย ยังไม่บานทั้งผืน บางส่วนยังเป็นดอกตูม บางส่วนเกสรบานเพียงครึ่ง กลับถูกน้ำฝนจนเปียกเฉาไปหมดแล้ว
ซวงจือถูกพายุฝนนี้ทำให้ตกใจตื่นเช่นกัน นางมีภาพจำเลวร้ายในใจต่อฝนที่ตกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับเฮ่อหลันฉือ นางมองดูต้นไม้ดอกไม้ในลานบ้านผ่านช่องหน้าต่าง ยังลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปกำบังช่วยเหลือพวกมันสักนิดดีหรือไม่ ทว่าสุดท้ายนางก็เลือกที่จะล้มเลิกความคิดแล้วนอนอยู่ภายในห้องอบอุ่นและไม่มีฝนรั่วต่อไปดีกว่า
แต่ก่อนจะล้มตัวลงนอนนางก็พึมพำออกมาหนึ่งประโยค หวังว่าดอกไม้นี้อย่าได้ถูกฝนตกกระทบจนเสียหายเลย
เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่าแย่แล้ว
ลู่อู๋โยวใช้นิ้วมือเกี่ยวผมที่ชุ่มเหงื่อออกจากหน้าผากของนางเบาๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าหางเสียงกลับยกสูงอย่างเสแสร้ง ลมหายใจหอบเล็กน้อย
“ข้ารับรอง ครั้งสุดท้ายแล้ว”
เฮ่อหลันฉือยกมือขึ้นอย่างยากลำบากไร้เรี่ยวแรงมากดนิ้วของเขาเอาไว้ หลุบตาลงพลางพูดด้วยเสียงแหบพร่าอย่างยิ่ง
“เจ้า…ให้ข้าพักสักครู่ได้หรือไม่”
นางคิดออกในทันใด นี่เดิมทีควรเป็นเวลาที่ข้าหลับสนิทไปแล้ว! ไม่ใช่ปัญหาจากการฝึกฝนร่างกายของข้า!
ลู่อู๋โยวเห็นดังนั้น ถึงแม้จะยังกินไม่เต็มอิ่ม แต่ก็ไม่บังคับฝืนใจ เพียงแค่ผ่อนลมหายใจแล้วขยับตัวออกเล็กน้อย จากนั้นก็จับมือไร้เรี่ยวแรงและอ่อนนุ่มของนางข้างนั้นขึ้นมา จุมพิตปลายนิ้วสีชมพูจางๆ นั้นทีหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น
“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าพักสักนิด แต่เจ้าต้องทำความเข้าใจเสียใหม่…” เขาชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็อธิบายว่า “ข้าไม่มีโรคซ่อนเร้นจริงๆ”
เฮ่อหลันฉือเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม ถึงขั้นที่ไม่สามารถเต็มเปี่ยมไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
นางคว้าผ้าห่มบางมาคลุมตัวแล้วใช้มืออีกข้างปิดตาของตนเอง ยังคงมีความเขินอายอยู่หลายส่วน…ไม่ใช่สิ มีอย่างมากทีเดียว ร่างกายเริ่มขดเข้าไปข้างใน สีเลือดกระจายไปถึงติ่งหู ทั่วร่างราวกับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีแรงแม้แต่น้อย
นี่กี่รอบกันแน่…
Comments
