เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหว หยิบหมอนนุ่มด้านข้างขึ้นมาแล้วซุกหน้าลงไป แต่ครู่ต่อมาก็นึกขึ้นได้อีกว่าของสิ่งนี้ดูเหมือนเคยหนุนอยู่ใต้เอวของนาง ทันใดนั้นก็ไม่อาจมองตรงไปที่มันได้อีก เมื่อครู่นางแยกแยะได้ไม่ชัดเจนว่าข้างหูมีเสียงฝนหรือเสียงหายใจหอบของลู่อู๋โยวมากกว่ากัน
ในเวลาเช่นนี้เสียงของเขาไม่ได้ชัดเจนและงามสง่าเหมือนยามปกติ
ในความน่าหลงใหลที่ประกอบอยู่ในดวงตาดอกท้อคู่นั้นดูเหมือนยังแฝงรอยยิ้มบางๆ เอาไว้ด้วย รอยยิ้มเหล่านั้นอึมครึม เก็บซ่อน และไม่อาจคาดเดาได้ ราวกับเค้นออกมาจากในปอดพร้อมด้วยลมหายใจแผ่วเบา ดึงดูดจิตวิญญาณ
และเขาพูดคำอะไรดีๆ ไม่เป็นจริงๆ ใครบ้างอยากถูกชื่นชมร่างกายในเวลาเช่นนี้
เฮ่อหลันฉือซุกหน้าลึกลงไปอีก
นางปิดหน้าได้เพียงครู่หนึ่งก็เห็นนิ้วยาวสองนิ้วยื่นเข้ามาดึงหมอนนุ่มของนางออก แล้วก็ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้น
“อย่าปิดจนหายใจไม่ออก…เมื่อครู่ข้าไม่ค่อยมีสติ ขออภัยด้วย ตอนนี้ข้าสงบสติลงแล้ว เจ้า…เจ็บหรือไม่ หรือให้ข้าดูสักนิด?”
เฮ่อหลันฉือเห็นนิ้วมือของเขา แต่ไม่อาจมองเขาตรงๆ ได้ นางเพียงแค่พูดเสียงอู้อี้ว่า “…ไม่เป็นไร ไม่เจ็บ”
เสียงของลู่อู๋โยวดังลอยมาอีก “เมื่อครู่เจ้าร้องไห้จนแทบเสียสติเลย ข้าเป็นห่วงนิดหน่อย”
เฮ่อหลันฉือทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่หยุด!”
ลู่อู๋โยวกระแอมทีหนึ่ง “บอกเจ้าแล้วว่าข้าใช่ว่าจะหยุดเมื่อไรก็ได้ คุณหนูเฮ่อหลัน…ข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งของ เรื่องเช่นนี้ไม่อาจควบคุมได้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เฮ่อหลันฉือรู้สึกเพียงว่าตะเกียงดวงหนึ่งถูกจุดขึ้นมา ภายในห้องจึงมีแสงสว่างเล็กน้อย
เมื่อครู่อยู่ในความมืดยังดี แต่ภายใต้แสงไฟส่องสว่างสภาพยุ่งเหยิงเละเทะเต็มเตียงจึงปรากฏให้เห็นชัดเจน ลู่อู๋โยวถึงขั้นกำลังดึงผ้าห่มบางของนาง
เฮ่อหลันฉือคว้าเอาไว้แน่นแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องแล้ว! เจ้าดับไฟเถอะ!”
ลู่อู๋โยวพูดโพล่งออกมา “อย่างไรเสียอีกครู่ฟ้าก็สว่างแล้ว”
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องดูแล้ว!”
ทั้งที่เสียงแหบแห้งแต่ฟังแล้วเหมือนนางกำลังส่งเสียงร้องอย่างตกใจ ลู่อู๋โยวหัวเราะอย่างทนไม่ไหวแล้วเอ่ยว่า “แต่เจ้าเองมองไม่เห็น ถ้าบาดเจ็บแล้ว เจ้า…”
“ถ้า…ข้าจะทายาเอง!” นางลดเสียงลง “ยาที่เจ้าให้ครั้งก่อนยังอยู่”
“ทั้งที่ตอนแรกใจกล้ามากมิใช่หรือ เหตุใดตอนนี้กลับเขินอายขึ้นมาแล้วเล่า”
เฮ่อหลันฉือพูดเสียงอู้อี้ “ข้ายังอยากถามเจ้าอยู่เลย เจ้าอยากเป็นอริยชนมิใช่หรือ ความยับยั้งชั่งใจและความกังวลของเจ้าเล่า…ดับไฟเสีย!”
เพราะกลัวว่าจะบีบคั้นนางมากเกินไป ลู่อู๋โยวจึงดับไฟจริงๆ
รอบข้างจมอยู่ในความมืดมิด
พายุฝนที่โหมกระหน่ำตลอดคืนในที่สุดเวลานี้ก็ค่อยๆ สงบลงกลายเป็นสายฝนโปรยปรายบางเบา อากาศเปียกชื้นนอกห้องค่อยๆ จางลงไปบ้าง แต่ภายในห้องกลับเหนียวเหนอะยิ่งขึ้น
ยังมีกลิ่นที่อธิบายไม่ถูกตลบอวลอยู่อีกด้วย
บอกไม่ถูกว่ากลิ่นหอมหรือไม่ แต่ทำให้คนเกิดอารมณ์ตื่นเต้นได้มากเหลือเกิน
ลู่อู๋โยวมองออกไปนอกหน้าต่าง ขนตายาวกะพริบเบาๆ เอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ “อริยชนอะไรนั่น ไม่เป็นก็ได้ ข้ามีความปรารถนาของมนุษย์รุนแรงเช่นนี้ จะเป็นอริยชนได้อย่างไร ขอเพียงเจ้าไม่เสียใจภายหลังก็…”
เฮ่อหลันฉือเดิมทีหันหลังให้ ครั้นได้ยินเสียงของเขาก็หันหน้ามา
ใบหน้าด้านข้างของลู่อู๋โยวถูกล้อมกรอบด้วยแสงสลัว ไล้ไปตามปลายจมูกที่โด่งสูงเกิดเป็นเส้นโครงหน้าที่น่ามอง ทว่าแววตากลับสลัวลงหลายส่วน…
เฮ่อหลันฉือพูดตัดบทคำพูดของเขา “ข้าไม่ได้เสียใจภายหลัง ก็แค่…” นางพูดอย่างลังเลใจ “เหนื่อยเกินไป”
หลังจากพูดประโยคนี้จบนางก็ไม่รู้เช่นกันว่าลู่อู๋โยวจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไร
เห็นเพียงเขากลอกตามาอย่างรวดเร็วแล้วเลื่อนสายตาหนีโดยพลัน มุมปากที่เรียบตรงกระตุกเป็นมุมโค้งเล็กน้อย ทันใดนั้นก็โน้มตัวมาหาอีกครั้ง
เฮ่อหลันฉือตกใจจนรีบร้อนเอ่ยว่า “ข้าเหนื่อยมากจริงๆ!”
ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ จุมพิตขมับของนางอย่างแผ่วเบาทีหนึ่ง “หรือว่าข้าจะขอน้ำแล้วอุ้มเจ้าไปอาบน้ำดี? ตัวเจ้าชุ่มเหงื่อหมดแล้วกระมัง ทั้งยังรู้สึกเหนียวเหนอะอีก”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกหมดพลังจริงๆ ร่างกายไร้เรี่ยวแรงไม่อยากขยับเลยแม้แต่น้อย หนังตากำลังฝืนเปิดปรือ นางจึงพูดตามจริงว่า “ข้าอยากนอน”
ลู่อู๋โยวชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้านอนเถอะ”
สายตาของเฮ่อหลันฉือมองไปทางเด็กหนุ่มอย่างอ่อนล้า “ข้าเหนื่อย…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลู่อู๋โยวปิดตา เวลานี้เขาดูแล้วพูดง่ายเป็นพิเศษ เฮ่อหลันฉือพูดอะไรเขาก็จะตอบตกลง น้ำเสียงก็อ่อนโยนอย่างยิ่ง
“นอนเถอะ”