ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 20
พอเฮ่อหลันฉือพักผ่อนจนเต็มอิ่มก็ให้คนกางร่มตามนางออกไปช่วยเหลือต้นไม้ดอกไม้ในจวนที่ถูกพายุฝนทำร้ายมาทั้งคืน
ต้นไม้ยังพอฝืนยืนต้นได้ มีใบไม้กิ่งก้านหักไปจำนวนหนึ่ง แต่ดอกไม้สภาพย่ำแย่มาก เดิมทีก็เพิ่งปลูกได้ไม่ถึงสองเดือนอยู่แล้ว ดอกเบญจมาศที่เพิ่งบานยังไม่เคยผ่านลมฝน ถูกฝนสาดตีจนร่วงโรยไปหมด เฮ่อหลันฉือทำได้เพียงใช้กิ่งไม้ที่หักมาค้ำยันมันไว้ หวังว่ามันจะฝืนทนต่อไปได้อีกหน่อย
เฮ้อ เดิมทีข้ายังอยากลองเอามันมาต้มชาดอกไม้ใช้แก้ร้อนในด้วย
ขณะที่กำลังคิดก็ได้รับเทียบขอเข้าพบที่ส่งมา
คนเฝ้าประตูเอ่ยว่า “ดูเหมือนจะส่งมาให้ฮูหยินขอรับ”
เทียบขอเข้าพบถึงลู่อู๋โยวที่ส่งมาที่จวนมีมากราวปลาไนข้ามน้ำ* ไม่เพียงแต่ขุนนางทั่วสารทิศ ที่มากไปกว่านั้นคือบัณฑิต อย่างไรเสียเขาก็ให้บัณฑิตที่ยากจนตกอับแต่มีความรู้ความสามารถมากหลายคนเบียดกันพักอยู่ที่เรือนบริวาร นอกจากจะรับเป็นลูกศิษย์ บางครั้งก็จะชี้แนะการเขียนอักษรด้วย
แต่เทียบขอเข้าพบที่ส่งถึงเฮ่อหลันฉือนั้นมีน้อยมาก
นางตกใจเล็กน้อย พอรับมาดูก็เห็นเพียงบนนั้นเขียนไว้ว่า ‘นำส่งโดยจวนอันติ้งป๋อ’
เฮ่อหลันฉือไม่เคยไปมาหาสู่กับจวนอันติ้งป๋อเลยจริงๆ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคงจะเป็นครั้งก่อนตอนอยู่ในวัดฝ่าหยวนจับพลัดจับผลูได้ช่วยคุณหนูของพวกเขาไว้ครั้งหนึ่ง
พอเปิดเทียบขอเข้าพบออกอ่านก็เป็นจริงดังคาด อีกฝ่ายหวังว่านางจะไปที่จวนพูดคุยกับคุณหนูของพวกเขาได้
ใบหน้าสาวน้อยขลาดกลัวอ่อนแอในวันนั้นปรากฏขึ้นตรงหน้า เฮ่อหลันฉือพลันนึกถึงคำพูดของลู่อู๋โยว คุณหนูผู้นี้ดูเหมือนยังไม่เดินออกมาจากเงามืดในวันนั้น ชั่วขณะหนึ่งเฮ่อหลันฉือยังยากจะตัดสินใจได้อยู่บ้าง แต่สุดท้ายนางก็ถอนใจเอ่ยขึ้น
“เตรียมรถม้า พวกเราไปจวนอันติ้งป๋อ”
ฮูหยินอันติ้งป๋อออกมาต้อนรับเฮ่อหลันฉือด้วยตนเอง หญิงสูงศักดิ์ผู้นี้แม้จะตั้งใจประทินโฉมอย่างดี แต่ยังคงมองเห็นความซีดเซียวที่ปิดไม่มิดอยู่บ้าง
“รบกวนฮูหยินเฮ่อหลันมาที่นี่แล้ว อิงเอ๋อร์ก่อนหน้านี้บอกว่าจะขอบคุณเจ้า…” นางสะอื้นทีหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “นางไม่ค่อยยอมพบใคร พูดก็ไม่ค่อยยอมพูด ข้าจึง…”
เฮ่อหลันฉือได้มาเห็นแล้วจึงรู้ว่าที่ฮูหยินอันติ้งป๋อพูดนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จเลย
ภายในห้องที่มืดครึ้มสตรีผู้นั้นขดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง กอดหมอนนิ่มหนึ่งใบไม่ขยับเขยื้อน
เฮ่อหลันฉือพลิกเปิดม่านประตูเดินเข้าไป อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองมา ครั้นเห็นใบหน้าของนางแล้วน้ำตาก็เอ่อคลอ ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาหลายส่วน
เฮ่อหลันฉือเดินเข้าไปช้าๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูตู้ ยังจำข้าได้หรือไม่ พวกเราเคยมีวาสนาพบหน้ากันครั้งหนึ่ง”
ตู้อิงพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็อ่อนแรงเช่นกัน “จำได้” นางชะงักครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงเบา ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย “ขอบคุณเจ้า แต่ปิ่นอันนั้นข้า…” นางกุมศีรษะราวกับจะร้องไห้ “…ทำหายไปแล้ว”
เฮ่อหลันฉือเดินเข้าไปช้าๆ นั่งลงข้างกายตู้อิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่เป็นไร หายก็หายไปเถอะ” ผ่านไปครู่หนึ่งรออีกฝ่ายสงบสติอารมณ์ลงแล้วเฮ่อหลันฉือจึงพูดอีกว่า “เรื่องที่เจ้าประสบพบเจอ ข้าเองก็เคยเจอ”
ตู้อิงมองนางอย่างงุนงงเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือยิ้มอย่างอ่อนโยนยิ่งและจนใจมากเช่นกัน แต่เสียงพูดกลับเย็นเหมือนสายน้ำ “ตอนนั้นข้าพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่ก็ยังเกือบถูกคนกดลงบนเตียง กระโปรงถูกดึงลงไปกว่าครึ่ง แทบจะสิ้นหวังแล้ว โชคดีที่ในแขนเสื้อซ่อนปิ่นอันนั้นไว้ เหมือนอันที่ข้าให้เจ้า สุดท้ายก็ทำให้คนผู้นั้นตกใจถอยออกไป หลังจากเกิดเรื่องข้าฝันร้ายติดต่อกันหลายคืน ใจคิดว่าเหตุใดข้าต้องเจอเรื่องเช่นนี้ด้วย ยังกลัวว่าถ้าคนรู้เข้าจะคิดว่าข้าสูญเสียพรหมจรรย์หรืออะไรอื่น คิดว่าข้าทำอะไรผิดไปใช่หรือไม่ มีจุดใดที่ข้าทำได้ไม่ดีหรือ เหตุใดจึงทำให้คนคิดปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้…แต่ภายหลังข้าจึงค่อยๆ คิดตก ข้าไม่ได้ทำผิดอะไร เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้ เขาคิดจะทำเลวต่อข้า เหตุใดสุดท้ายคนที่เจ็บปวดยังต้องเป็นข้าอีก ไม่ควรเป็นเช่นนี้ และก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้ฐานะของท่านพ่อข้า เขายังภูมิใจอย่างยิ่ง ไม่รู้สึกว่าตนเองมีความผิดเลย เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยจริงๆ”
นางพูดอย่างผ่อนคลายมาก แม้ไม่คิดว่าทำเช่นนี้จะปลอบอีกฝ่ายได้ เพียงแค่รู้สึกเศร้าใจต่อคนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกันเท่านั้น
เดิมทีตู้อิงยังนั่งฟังนิ่งๆ ขอบตากลับค่อยๆ แดงก่ำ หยาดน้ำใสไหลลงมาจากขอบตาขณะพูดเสียงเบาว่า “แต่…แต่ข้าอยากแต่งงานกับเขาด้วยใจจริงนี่ เหตุใดเขา…เหตุใดต้องทำเช่นนี้กับข้าด้วย”
เหมือนรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากพูดออกไป นางจึงรีบยกมือปิดปากไว้
เฮ่อหลันฉือลูบศีรษะของนางเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เพราะเขาไม่ควรค่าให้เจ้าแต่งงานด้วย…เหตุใดเจ้าจึงอยากแต่งงานกับเขาเช่นนี้”
ตู้อิงค่อยๆ คลายมือของตนเองออก “ข้าเคยพบเขาที่วัดชิงเฉวียน ข้าเคยพบเขาจริงๆ เขาถูกคนรังแก ดูแล้วน่าสงสารมาก ข้าบอกเขาว่าข้าสามารถให้ท่านพ่อปรึกษาเจ้าอาวาสให้รับเขาไว้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาปฏิเสธ ข้าทำได้เพียงไปหาเขาที่วัดชิงเฉวียนหลายครั้ง…ภายหลังข้าจึงรู้ว่าเขาเป็นโอรสของฮ่องเต้ เขาดูไม่เหมือนเดิม และดูเหมือนไม่รู้จักข้าแล้ว แต่ข้ายังคิดว่าเขาดูไปแล้วน่าสงสารมาก เหมือนว่าไม่มีวันใดเบิกบานใจเลยสักนิด ข้าอยากให้เขาเบิกบานใจ…”
เฮ่อหลันฉือตื่นตกใจเล็กน้อย
ยังมีคนที่พบหน้าเซียวหนานสวินตอนนี้แล้วเกิดความรู้สึกเช่นนี้ต่อเขาอีกหรือ
ตู้อิงยกมือปิดหน้า น้ำตาไหลลงมาตามซอกนิ้วไม่หยุด “เหตุใดเขาต้องทำกับข้าเช่นนี้ เหตุใดทำเช่นนี้กับข้า…ข้า…ข้าชอบเขายิ่งนัก”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นตกใจมากกว่าเดิม นางจำต้องลูบศีรษะของตู้อิงอีกครั้งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ รอกระทั่งอีกฝ่ายร้องไห้จนพอแล้วจึงค่อยเอ่ยถามเสียงเบา
“เจ้าชอบอะไรในตัวเขา”
ตู้อิงส่ายหน้าอย่างสับสนก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าเพียงแค่อยากพบเขามาก อยากทำให้เขามีความสุขมาก อยากมาก…” นางปิดหน้าร้องไห้อีกครั้ง
เฮ่อหลันฉือเอาความอดทนในการปลอบญาติผู้น้องในอดีตมาปลอบหญิงตรงหน้าต่ออีกพักใหญ่จนอีกฝ่ายระบายความรู้สึกออกมาหมดสิ้น
หลังจากนั้นพักใหญ่นางจึงเอ่ยว่า “เจ้ากับเขาไม่ได้คบหากันลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ย่อมต้องรู้สึกผิดหวังเช่นนี้ คุณหนูตู้ ในเมื่อเขาไม่อยากแต่งงานกับเจ้า เช่นนั้นเจ้ายังมีโอกาสได้เจอกับตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า ทั้งหมดนี้ว่ากันตามจริงแล้วไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย”
Comments
