ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 21
บทที่ 21 แยกจากยากยิ่งเช่นกัน
ระยะนี้ในคณะละครโรงน้ำชาของเมืองหลวงเริ่มมีละครยอดนิยมเรื่องใหม่ชื่อ ‘ทำลายบุพเพสันนิวาส’
เนื้อเรื่องพูดถึงคุณชายตระกูลขุนนางใหญ่ที่ทำให้คู่รักแยกจากกัน แล้วบังคับให้ฝ่ายหญิงแต่งเข้ามาเป็นอนุคนงามของเขา สุดท้ายยังทรมานคนจนตายอีกด้วย สร้างเรื่องโกหกต่อภายนอกว่านางป่วยตาย วิญญาณของหญิงที่น่าเวทนาผู้นี้ล่องลอยออกไปพบกับคนรักเก่าของนางอีกครั้ง ในเรื่องมีท่อนเพลง ‘วิญญาณคำนึง’ มีเนื้อเพลงเศร้าวังเวง ท่วงทำนองราวกับหญิงสาวกำลังร่ำไห้ ทำให้คนหลั่งน้ำตา เมื่อชายคนรักรู้เรื่องนี้ก็ต้องการล้างแค้นให้คนรักของตนเอง แต่เรียกร้องจากขุนนางไม่ได้ผล สุดท้ายจึงยื่นฟ้องต่อฮ่องเต้แต่กลับถูกโบยตีจนบาดเจ็บทั่วตัว วิญญาณหญิงที่น่าเวทนาก็ติดตามเขาไปตลอดทาง ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน
หลังจากผ่านความทุกข์ทรมานอย่างเต็มที่ ตอนท้ายก็ย่อมเป็นสวรรค์มีตา ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา ทวงความยุติธรรมให้แก่คู่รักและลงโทษขุนนางที่อยุติธรรม สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือตอนจบ ตอนที่คุณชายตระกูลใหญ่เตรียมจะหนีไปในคืนนั้นก็มีอสนีบาตฟาดลงมาใส่เขาจนตายอยู่บนหลังม้า
เพราะเรื่องราวที่มีจุดจบแบบคาดไม่ถึงและซาบซึ้งใจอย่างยิ่งนี้ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้คนในเมืองหลวงทันที
เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไร แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวเรื่องหนึ่งออกมา บอกว่าละครเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไม่มีมูล หญิงที่ถูกสร้างเรื่องว่าป่วยตายแต่แท้จริงแล้วถูกทรมานจนตายผู้นั้นก็คือบุตรสาวของผู้ว่าการศาลหลวง ขุนนางขั้นแปดระดับเอกแห่งราชสำนัก
สองปีก่อนนางถูกคัดเลือกเป็นนางสนมและติดตามไปอยู่ที่จวนองค์ชายรอง เดิมทีมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับเกียรติยกระดับขึ้นตำแหน่งสูง น่าเสียดายที่หนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ถูกใส่โลงศพหามออกมา และนำไปฝังอย่างเร่งรีบ บอกว่าตายด้วยอาการป่วยกะทันหัน แต่ครอบครัวและญาติสนิทของนางต่างไม่ยอมเชื่อ บิดาของนางลอบขุดหลุมขโมยโลงศพมาในคืนนั้น อยากจะชันสูตรศพบุตรสาว คิดไม่ถึงว่าหลังจากองค์ชายรองรู้เรื่อง บิดาของนางก็สูญเสียตำแหน่งขุนนางไปด้วย
เรื่องนี้เดิมทีถูกปิดเงียบเป็นความลับ แต่ไม่รู้ว่าแพร่กระจายออกมาจากที่ใด เล่ากันอย่างสมจริง แม้แต่ร่องรอยการถูกทารุณบนศพของหญิงสาวผู้นั้นก็ราวกับได้เห็นด้วยตาตนเอง นอกจากนั้นก็เริ่มลือกันว่าเดิมทีนางมีคนรักที่มีใจต่อกัน น่าเสียดายที่ถูกองค์ชายรองทำให้แยกจาก ตรงกับเรื่องราวในละคร ‘ทำลายบุพเพสันนิวาส’ ไม่ช้าทั่วเมืองหลวงก็เต็มไปด้วยข่าวลือเช่นนี้
คณะละครย่อมไม่กล้าแสดงอีก ต่างพากันเอาละครฉากนี้ออก ราวกับยิ่งสอดรับความจริงของเรื่องนี้
มีข่าวลือมาอีกว่าบิดาของหญิงสาวคนนั้นถูกอำนาจแข็งกล้าบีบบังคับ ด้วยจนปัญญาจึงแขวนคอตาย ทำให้เกิดข่าวลือสะพัดทั่วเมืองหลวงมากขึ้น
ข่าวลือสะพัดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มมีผู้ตรวจการยื่นหนังสือร้องขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อรับรองว่าความจริงในเรื่องนี้จะถูกเข้าใจอย่างถูกต้อง จากนั้นก็มีผู้ตรวจการคนอื่นทยอยยื่นหนังสือร้องเรียนฟ้องว่าองค์ชายรองมีความประพฤติไม่เหมาะสมต่างๆ นานา ยังมีคนฉวยโอกาสนี้เสนอความเห็นอีกครั้งให้องค์ชายรองอภิเษกสมรสแล้วไปปกครองที่ดินศักดินาโดยเร็ว ไปให้ไกลจากเมืองหลวง ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างดุเดือดไปชั่วขณะหนึ่ง
บรรยากาศในจวนองค์ชายรองก็ร้อนระอุเหมือนทอดน้ำมันเช่นกัน
เซียวหนานสวินแววตาเย็นเยียบราวกับสายลมหนาวเหน็บในเดือนหนึ่ง พูดด้วยเสียงยานคางว่า “เหตุใดเรื่องง่ายดายถึงเพียงนี้กลับกลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาได้”
องครักษ์กับขันทีคุกเข่าอยู่บนพื้นเป็นแถว ต่างหวาดหวั่นไม่กล้าเอ่ยวาจา
เซียวหนานสวินจึงถามอีกว่า “ศพนั่นใครเป็นคนจัดการ”
เวลานี้ทุกคนสามารถผลักคนรับเคราะห์ออกมาได้แล้ว
ขันทีผู้นั้นฟุบลงกับพื้นทันทีแล้วร้องไห้โฮ “กระหม่อมจัดการเรียบร้อยแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ฝังคนลงไปแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเขายังขุดศพได้อีก นี่…นี่ต้องเป็นคนขององค์ชายใหญ่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! ต้องเป็นพวกเขาส่งคนมาจับตาดูจวนของพวกเราทั้งเช้าค่ำแน่นอน! กระ…กระหม่อมจึงไม่ทันระวังตกหลุมพรางของพวกเขา องค์ชายรอง กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว! กระหม่อมสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เซียวหนานสวินรู้นานแล้วว่าพี่ใหญ่ที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้นั้นไม่ได้ประเสริฐเลิศเลออะไร พี่ใหญ่เหมือนเสด็จพ่อที่สุด ไม่เพียงรูปร่างหน้าตา นิสัยก็เหมือนเช่นกัน แต่อาจเพราะเป็นเช่นนี้เสด็จพ่อจึงไม่ชอบพี่ใหญ่ของเขาเป็นพิเศษ
แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าหางจิ้งจอกของพี่ใหญ่จะโผล่ออกมาเร็วเช่นนี้
แค่สตรีนางเดียวเท่านั้นเอง
เขาใช่ว่าจะไม่ได้เชิญหมอมาให้นางเสียหน่อย นางร่างกายอ่อนแอ แท้งบุตรแล้วทนไม่ไหวเอง จะโทษเขาไม่ได้ และเดิมทีก็เป็นนางเองที่คิดเพ้อฝัน เขาไม่อยากเป็นเหมือนเสด็จพ่อ มีบุตรชายคนโตจากอนุที่ต่ำต้อยออกมาก่อนแล้วเพิ่มความลำบากให้ตนเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นับเป็นคนของราชวงศ์ ความจริงยากจะพูดอธิบายได้
เซียวหนานสวินเปิดอ่านฎีกาฟ้องร้องเขาอีกครั้ง ขุนนางที่กล้ายื่นหนังสือฟ้องร้องเขาเหล่านั้นความสัมพันธ์ซับซ้อนเบื้องหลังส่วนใหญ่เป็นคนของพี่ใหญ่ มีส่วนน้อยที่เลือกฝ่ายล่วงหน้า บางส่วนรอจับปลาในน้ำขุ่น
เขารู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย นิ้วมือสูงศักดิ์ล้ำค่าที่สวมแหวนหยกชี้ไปยังขันทีที่ยังคุกเข่าขอความเมตตาแล้วเอ่ยว่า “ลากตัวเขาออกไป โบยสองร้อยไม้ โบยให้หนัก ทนไม่ไหวก็เอาเสื่อม้วนออกไป”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
รอบข้างเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวนขอความเมตตาของขันทีที่ถูกลากตัวออกไป
ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เซียวหนานสวินพอจะรู้สึกสงบใจได้เล็กน้อย เริ่มปรึกษากับที่ปรึกษาใต้บัญชาว่าจะรับมือเช่นไร
ตอนเสร็จเรื่องเขานั่งพิงบนเก้าอี้ยาวอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มคิดถึงคนที่ตนเองไม่ได้มาครอง สาวน้อยที่งดงามยิ่งคนนั้น ครั้งหนึ่งไม่สำเร็จ สองครั้งไม่สำเร็จ สามครั้งก็ยังไม่สำเร็จ เหมือนกลายเป็นความยึดติดไปเสียแล้ว
“ไปเรียกหลิ่วซู่ฉินมาที่นี่”
หลิ่วซู่ฉินรู้จักนางสนมที่ตายแล้วผู้นั้น เมื่อได้ยินว่าพระชายาองค์ชายรองอาจจะแต่งเข้ามาไม่ได้แล้ว หลังจากนางสนมผู้นั้นดื่มยาต้มกันตั้งครรภ์หมดก็ลอบอาเจียนออกมา อยากฉวยโอกาสนี้ตั้งครรภ์ อาศัยลูกในท้องขอความโปรดปราน แต่คาดไม่ถึงว่าเซียวหนานสวินจะขยะแขยงเรื่องเช่นนี้อย่างยิ่ง ยาทำแท้งมีฤทธิ์แรงเกินไป คืนนั้นนางตกเลือดมาก ไม่นานก็เสียชีวิตลง
คำนินทาใดไม่มีใครกล้าพูด ในลานเรือนมีเพียงสาวใช้ที่ปรนนิบัตินางสนมผู้นั้นคอยเผากระดาษขาว ถือเป็นการส่งดวงวิญญาณเดียวดาย
เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นทำให้ความคิดในการแข่งขันประชันความงามเพื่อได้รับความโปรดปรานก่อนหน้านี้ลดน้อยลง เรือนชั้นในของเซียวหนานสวินจึงเงียบเหงามากขึ้น อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าจะแตะเกล็ดมังกร เมื่อไร
หลิ่วซู่ฉินเข้ามาตามเสียงเรียก ไม่มีความรู้สึกกังวลว้าวุ่นใดอีก
เซียวหนานสวินอารมณ์ย่ำแย่มาก แม้แต่คำกล่าวทักทายก็คร้านจะพูดกับนาง ทำเพียงยกนิ้วขึ้นชี้พิณบนโต๊ะ
หลิ่วซู่ฉินเข้าใจความหมาย นางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มดีดพิณ เสียงพิณราวกับสายน้ำไหล สงบ สบายใจ จิตไม่ต้องมลทิน ปัดเป่าความร้อนรุ่ม นางตั้งใจกับการดีดพิณถึงขั้นไม่ได้เงยหน้ามองเซียวหนานสวินเลยแม้แต่น้อย
นางบรรเลงจบไปหนึ่งเพลงแล้ว
เซียวหนานสวินเงยหน้าขึ้นมองหญิงตรงหน้า สายตาเลยผ่านนางมองไปยังอีกคนหนึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยว่า “เหตุใดตอนนี้เจ้าจึงไม่กลัวข้าแล้ว”
หลิ่วซู่ฉินวางมือบนสายพิณแล้วตอบเสียงเบาว่า “หม่อมฉันไม่กล้าพูดเพคะ”
“เจ้าพูดมา ข้าไม่เอาผิดเจ้าก็ได้”
เซียวหนานสวินตอนนี้เรียกได้ว่ามีความสุข แต่ต่อจากนี้อาจจะโมโหโกรธาได้
หลิ่วซู่ฉินเตรียมพร้อมเต็มที่จึงเอ่ยว่า “องค์ชาย…เห็นหม่อมฉันเป็นหญิงอีกคนกระมังเพคะ”
เซียวหนานสวินขยับคางขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้นางพูดต่อไป เขาถึงขั้นไม่มีแม้แต่ความคิดจะตอบโต้ นิ่งเงียบยอมรับตามตรง
หลิ่วซู่ฉินปิดบังความขมขื่นที่มุมปาก กล่าวต่อไปว่า “หม่อมฉันรู้ตัวว่ารูปโฉมธรรมดา ถูกองค์ชายเห็นเป็น…ถือเป็นโชคของหม่อมฉันแล้ว แต่ว่า…ถ้าองค์ชายโปรดปรานแม่นางผู้นั้นอย่างจริงใจ ก็ไม่ต้องเสียแรงเสียเวลาเปล่าอีกแล้วเพคะ”
สีหน้าของเซียวหนานสวินเปลี่ยนไปดังคาด “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร”
“หม่อมฉันอ่านตำราบทกวีตั้งแต่เด็กจนโตเช่นกัน องค์ชายไม่เข้าพระทัยจริงๆ หรือเพคะ ถ้าความโปรดปรานอันทรงเกียรติกับการพระราชทานรางวัลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดบนโลกนี้จริง เช่นนั้นประโยคที่ว่า ‘ขอเพียงหัวใจใครสักคน อยู่จนแก่เฒ่าไม่แยกจาก’ คงเป็นเพียงคำพูดเลื่อนลอยไร้สาระแล้ว”
สีหน้าของเซียวหนานสวินไม่น่าดูยิ่งขึ้น “เจ้าหมายความว่านางจะไม่ยอมเชื่อฟังข้าไปชั่วชีวิตหรือ ความกล้าของเจ้ามีมากเสียจริง ไม่กลัวครั้งนี้ข้าจะพลั้งมือบีบคอเจ้าจนตายหรือไร”
หลิ่วซู่ฉินใบหน้าซีดเผือด แต่ไม่ช้านางก็สงบสติได้อีกครั้ง แล้วพูดเสียงเบาว่า “หม่อมฉันเพียงแค่พูดสิ่งที่อยากพูด ยินดีให้องค์ชายทรงลงโทษเพคะ”
“ไสหัวกลับไปเถอะ!”
Comments
