ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 21
เฮ่อหลันฉือทำอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคราวหน้ากลับไม่ใช่เหยาเชียนเสวี่ยมาเยี่ยมนาง แต่เป็นนางที่รีบร้อนวิ่งไปหาอีกฝ่ายเสียเอง
ตอนได้รับข่าวเฮ่อหลันฉือว้าวุ่นอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกคนให้เตรียมรถม้าไปที่จวนสกุลเหยาทันที
ลุงเขยของนาง ใต้เท้าเหยารองเสนาบดีกรมอากรในเวลานี้วันก่อนถูกถอดตำแหน่งและถูกเนรเทศไปแล้ว ดูเหมือนจะด้วยเรื่องบัญชีของกรมอากร
ก่อนหน้านี้เฮ่อหลันฉือได้ยินขุนนางกรมอากรที่ไปรังวัดที่ดินด้วยกันพูดกันหลายประโยค เดาว่าอาจเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องใช้เงิน แต่บัญชีของกรมอากรมีปัญหา ดังนั้นต้องมีคนแบกความรับผิดชอบ
สำหรับเรื่องที่เหตุใดต้องใช้เงิน เฮ่อหลันฉือนึกถึงเรื่องที่ลู่อู๋โยวเคยพูดกับนางขึ้นมาทันใด ดูเหมือนระยะนี้ฮ่องเต้คิดจะสร้างหอบรรลุเซียนที่ไม่ด้อยไปกว่าตำหนักทั้งสาม ต้องใช้เงินมหาศาล ทางกรมอากรเกรงว่าคงไร้เงินในถุงหนัง*
ต่อให้รวมกับเงินภาษีรังวัดที่ดินของผู้สูงศักดิ์มีอำนาจในเมืองหลวงอันน้อยนิดครั้งก่อน ก็เป็นเพียงน้ำหนึ่งถ้วยดับรถขนฟืนที่ไหม้ไฟไม่ได้
ตอนนางมาถึงบ่าวรับใช้จวนสกุลเหยากำลังวุ่นอยู่กับการขนของ หากฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าไสหัวไป นั่นย่อมชักช้าไม่ได้ แต่บรรยากาศในจวนไม่ได้มีสภาพน่าเวทนาอย่างที่เฮ่อหลันฉือคิดเอาไว้เลยสักนิด กลับดูมีระบบระเบียบอย่างยิ่ง
เฮ่อหลันฉือโล่งอกได้ในที่สุด ตอนยังเด็กนางเคยเห็นการยึดบ้านเป็นดั่งโศกนาฏกรรม สามารถบีบให้มีคนตายได้
อาจเป็นเพราะขุนนางต้ายงเคยชินกับการขึ้นๆ ลงๆ เช่นนี้แล้ว เช่นนี้แตกต่างกับการถูกตัดสินความผิด ถอดตำแหน่งถูกเนรเทศถือเป็นการขอลาพักผ่อนสองปี ขอเพียงยังมีคนในราชสำนัก วันหน้าค่อยยื่นฎีกาเสนอแนะให้กลับคืนตำแหน่งอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
แต่แน่นอนว่าไม่มีทางรู้สึกยินดีเช่นกัน
อย่างน้อยเหยาเชียนเสวี่ยก็ยังสะอื้นไห้ เฮ่อหลันฉือรีบเดินไปพูดปลอบเสียงเบา เหยาเชียนเสวี่ยสูดจมูกแล้วเอ่ยว่า “หลังปีใหม่ข้ายังต้องออกเรือนนะ ต้องถูกคนมองเป็นเรื่องน่าขันแน่นอน”
ไม่รอให้เฮ่อหลันฉือพูดปลอบ ซ่งฉีชวนก็นำคนมาแล้ว
เหยาเชียนเสวี่ยไม่สนใจว่าตนเองกำลังอยู่นอกเรือนโผเข้าไปในอ้อมอกของซ่งฉีชวน ซับน้ำตาลงบนตัวเขา “ชวนชวน จะทำเช่นไรดี ท่านพ่อท่านแม่ข้ากำลังจะจากไปแล้ว ข้าเหลือท่านเพียงคนเดียวแล้ว…”
ซ่งฉีชวนที่เป็นขุนศึกสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึมออกอาการทำอะไรไม่ถูกอีกครั้ง เพียงแค่กอดหญิงสาวในอ้อมอกเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่” เขาปลอบนาง จากนั้นก็พูดอีกว่า “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าเหยาต้องปลอดภัยระหว่างการเดินทางแน่นอน”
นี่คงเป็นคำพูดประโยคยาวที่สุดที่เฮ่อหลันฉือเคยได้ยินเขาพูด
เหยาเชียนเสวี่ยกลับเหมือนไม่ได้รับการปลอบขวัญ สะอื้นเบาๆ พลางจับแขนเสื้อของเขาไว้แน่น พยายามแทรกตนเองเข้าไปในอ้อมอกของชายหนุ่ม
“ท่านพ่อข้าถูกถอดตำแหน่งแล้ว ท่านจะรังเกียจข้า ไม่อยากแต่งงานกับข้าหรือไม่”
ซ่งฉีชวนตัวแข็งเกร็ง แต่กอดนางแน่นขึ้น รีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่รังเกียจ…ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า”
“หากพวกเขาหัวเราะเยาะ ข้าจะทำเช่นไร”
ซ่งฉีชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “ใครกล้าหัวเราะเยาะเจ้า”
เหยาเชียนเสวี่ยส่ายหน้า น้ำตายังคงไหลพราก “แต่ข้ายังคงกลัวอยู่…ฮือๆๆ ข้าอยากแต่งงานกับท่านตอนนี้เลย ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ถ้าจู่ๆ ท่านพ่อท่านแม่ท่านให้ท่านแต่งกับหญิงอื่นจะทำเช่นไร ถ้าพวกเราไม่สามารถแต่งงานตามกำหนดได้จะทำเช่นไร ชวนชวน ข้าไม่อยากแยกจากท่าน!”
ซ่งฉีชวนกังวลยิ่งกว่านางเสียอีก เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้นางอย่างระมัดระวังราวกับเช็ดของล้ำค่า พูดปลอบนางเสียงเบา ขาดแค่เพียงให้คำสาบานเท่านั้น
จู่ๆ เฮ่อหลันฉือก็นึกถึงคำพูดประโยคนั้นของลู่อู๋โยวที่ว่า ‘เจ้าพึ่งพาข้าสักนิดก็ได้’ พลันรู้สึกเข้าใจความหมายของเขาได้บ้างแล้ว
นางเคยชินกับการเป็นเช่นนี้ จะกรีดเปิดหัวใจทั้งหมดเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของนางไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น นางยังกังวลเล็กน้อยว่าจะรบกวนลู่อู๋โยว ทำให้เขารู้สึกว่านางยุ่งยาก
เป็นความกังวลและความยับยั้งชั่งใจตามจิตใต้สำนึก
แต่ว่า…ในเวลานี้นางมองดูลูกพี่ลูกน้องอยู่ในอ้อมกอดของคู่หมั้นบอกความรู้สึกไม่สบายใจของตนเองออกมาตามใจก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อยทันที
เฮ่อหลันฉือนับวันแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงรู้สึกว่าลู่อู๋โยวจากไปนานมากแล้วจริงๆ
นานจน…นางคิดถึงเขาบ้างแล้ว
เหมือนดังที่ลู่อู๋โยวพูดไว้ อาจเป็นเพราะอยู่ที่อี้โจวเขาถูกคนจับตามองหรือมีอันตราย จากไปสองเดือนไม่เคยส่งจดหมายหรือคำพูดใดกลับมาเลยสักนิด ไร้ซึ่งข่าวคราว ไม่รู้กำหนดวันกลับ
ฝนตกฟ้าครึ้มติดต่อกันหลายวัน เหมือนจะทำให้น้ำล้นทำนบแม่น้ำชิงหลันอีกแล้ว ท้องฟ้าของเมืองหลวงก็มักจะมีหมอกหนาทึบ
เฮ่อหลันฉือถือพู่กัน อยากจะเขียนจดหมายถึงลู่อู๋โยวสักฉบับ กลั่นกรองอยู่นานเขียนตัวอักษรได้หลายบรรทัดก็ขีดฆ่าทิ้งแก้ไข อยากให้เขารู้สึกวางใจ แต่ก็อยากรู้สถานการณ์ตอนนี้ของเขา ยังอยากจะบอกความรู้สึกของตนเองบ้างอีกด้วย แต่การเขียนอธิบายกลับยากลำบากเหลือเกิน
เฮ่อหลันฉือเขียนๆ หยุดๆ เช่นนี้อยู่หลายวัน นางหยิบกระดาษมาอีกหนึ่งแผ่น คิดจะลงมือเขียนใหม่
นางเขียนคำขึ้นต้นยังไม่ทันเสร็จก็เห็นซวงจือวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจลนลาน “แย่…แย่แล้วเจ้าค่ะ! เมื่อครู่บ่าวได้ยินว่า…”
เฮ่อหลันฉือไม่เคยเห็นซวงจือลนลานเช่นนี้มาก่อน
“มีเรื่องอะไร เจ้าค่อยๆ พูด”
แต่ซวงจือพูดไม่ออกไปทันใด “ได้ยินว่าท่านเขย…”
เฮ่อหลันฉือถามขึ้นทันที “เขาเป็นอะไร”
ซวงจือดูเหมือนยากจะเอ่ยปาก อ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “เป็นข่าวลือจากภายนอก บ่าวคิดว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้ พวกเขา…พวกเขาบอกว่าท่านเขยอยู่ที่อี้โจว…เสียชีวิตแล้วเจ้าค่ะ”
นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเรื่องจริง
ลู่อู๋โยวกล้าฝ่าอันตรายเพียงลำพัง เป็นเพราะเขามีวรยุทธ์สูงและมีความกล้ามาก ทั้งยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่มีทางตายอยู่ที่อี้โจวง่ายดายเช่นนี้เด็ดขาด
แต่เฮ่อหลันฉือในชั่วขณะนั้นรู้สึกมือเท้าเย็นเฉียบทันใด หัวใจหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ
พู่กันที่ถืออยู่ในมือถูกนางบีบจนแทบหัก วาดเส้นหนักหนึ่งเส้นบนแผ่นกระดาษกลายเป็นรอยหมึกที่สะดุดตาเป็นพิเศษ ซึมกระจายไปทั้งแผ่นกระดาษ
นางขยับริมฝีปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหาเสียงของตนเองกลับมาได้ พูดด้วยความงุนงงเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ได้…ได้ยินว่าเป็นอุบัติเหตุเจ้าค่ะ ดูเหมือนจะเป็นคลังไม้แห่งหนึ่งในอี้โจวเกิดไฟไหม้ใหญ่ ท่านเขยเขา…เขาเหมือนจะหนีออกมาไม่ได้…” ซวงจือพูดติดๆ ขัดๆ ไม่กล้ามองสำรวจสีหน้าของเฮ่อหลันฉือ “จากนั้นก็เหลือเพียง…ศพไหม้เกรียมจำนวนหนึ่ง แต่บ่าวคิดว่าท่านเขยเป็นคนดีสวรรค์ย่อมช่วยเหลือ ต้องไม่เป็นไรแน่นอนเจ้าค่ะ ล้วนเป็นเรื่องที่ยิ่งลือยิ่งผิดเพี้ยน…”
เฮ่อหลันฉือพยายามจะตั้งสติ “เจ้าไปสืบข่าวมาอีก”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ คุณหนูอย่ากังวลเกินไปนะเจ้าคะ! ท่านเขยต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน!”
เฮ่อหลันฉือยกมือกุมหน้าผาก ค่อยๆ สูดลมหายใจลึก อยากจะสงบสติลง สภาพการตายไม่เห็นศพเช่นนี้นางมั่นใจมากว่าลู่อู๋โยวไม่เป็นไรแน่นอน แปดส่วนคือจงใจแกล้งตาย แต่อยู่ห่างกันแสนไกล ความกังวลและความไม่สบายใจนี้อย่างไรก็ไม่อาจขจัดออกไปได้
…ต่อให้ไม่ตาย ชีวิตของลู่อู๋โยวเกรงว่าคงไม่ค่อยราบรื่นนัก
เขาตกอยู่ในอันตรายที่นั่น นางกลับทำได้เพียงรออยู่ที่นี่
ความรู้สึกเช่นนี้แย่มากจริงๆ
การคาดเดาของเฮ่อหลันฉือไม่ผิดเลย ไม่ถึงพลบค่ำก็มีคนผ่านทางคนหนึ่งใช้ข้ออ้างว่าต้องการขอน้ำมาขอถึงหน้าจวนพวกเขา ตอนที่คนเฝ้าประตูยื่นน้ำให้ คนผู้นั้นก็ยื่นกระดาษจดหมายแผ่นหนึ่งออกมา
กระดาษจดหมายไปถึงมือของเฮ่อหลันฉือ นางเปิดออกก็เห็นลายมือที่ตวัดตามอิสระและซ่อนความเฉียบคมที่คุ้นตาของลู่อู๋โยว ดูเหมือนจะเขียนตามใจกว่าก่อนหน้านี้
‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่สะดวกเล่าละเอียด
สามีเจ้า โยว’
Comments
