เมื่อกลับถึงห้องลู่อู๋โยวก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ครั้งก่อนเป็นการอวยพรวันคล้ายวันประสูติของลี่กุ้ยเฟย ครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงรับรองคณะทูตจากเป่ยตี๋อย่างเป็นทางการ เจ้ายังจะไปหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือยังมีความกลัวอยู่ในใจ “เช่นนั้นเจ้าไม่ไปได้หรือไม่”
“สำนักราชบัณฑิตกับกรมพิธีการร่วมกันรับผิดชอบต้อนรับ คิดจะไม่ไปคงยากมาก” ลู่อู๋โยวกลอกตาแล้วเอ่ยว่า “หรือเจ้ายังคิดจะไปพบองค์ชายน้อยแห่งเป่ยตี๋ผู้นั้นตามลำพังอีก อ้อ คนเขามีความรักความเมตตามากล้นต่อเจ้านี่นา” เขาเลียนแบบคำพูดของลั่วเฉิน พูดเสียงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำว่า “ข้าหลงรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ข้าชอบเจ้า อยากจะเด็ดดวงดาวบนฟากฟ้าทุกดวงมาให้เจ้า…”
เฮ่อหลันฉือเขินอายอย่างยิ่ง พูดตัดบทเขาอย่างทนไม่ไหว “ข้าไม่คิดจะไป! เจ้าอย่ามาพูดจาแปลกๆ ได้หรือไม่!”
ลู่อู๋โยวพูดช้าๆ ต่อไป “เหตุใดเขาพูดได้ แต่ข้าพูดไม่ได้”
ตอนนี้เขาไม่รู้สึกว่ามีระยะห่างอีกแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าทิฐิหรือการวางตนดั่งดาบหอกที่แทงไม่เข้า คอยปฏิเสธอยู่ห่างผู้อื่นไกลเป็นพันหลี่อีกต่อไป เมื่อคนได้ปลดปล่อยตัวตนออกมาแล้วยอมไม่มีทางหวนกลับ
เฮ่อหลันฉือโต้กลับทันที “คนเขาไม่ได้ทำเพื่อหยอกเย้าข้าเสียหน่อย!”
“ข้าก็ไม่ได้หยอกเย้าเจ้าเช่นกัน” ลู่อู๋โยววางฝ่ามือแนบเอวของนาง เหมือนจะชอบตรงนั้นมากจนไม่อยากปล่อยมือ “เอาเถอะ ถ้าเจ้าไม่พอใจ ไม่พูดถึงก็ได้”
แม้ต้ายงจะมีอำนาจรุ่งเรือง แต่ในความเป็นจริงเทียบกับเป่ยตี๋แล้วด้านการสู้รบไม่ค่อยเก่งกาจนัก ส่วนใหญ่จะฝืนทนรับมืออย่างยากลำบาก ดังนั้นงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการครั้งนี้เป่ยตี๋นำกำลังทหารสามสิบนายและบัณฑิตที่อ้างว่าเรียนรู้ตำราบทกวีมาสิบกว่าคนมาถกปัญหาในตำรากับต้ายง
แน่นอนว่าการถกปัญหาในตำราของเป่ยตี๋ไม่แตกต่างอะไรมากนักกับการโต้แย้งอย่างไร้เหตุผลและใช้วิธีการกลับผิดเป็นถูก
สำนักราชบัณฑิตมีหน้าที่รับผิดชอบจัดการในส่วนนี้ ลู่อู๋โยวจิบชาหนึ่งอึกกลั้วคอ ก่อนจะเดินขึ้นหน้ามาคนแรกแล้วเริ่มแสดงการปะทะคารมของเขากับเหล่าบัณฑิต เรื่องนี้แท้จริงแล้วไม่หนักหนาอะไร เป็นเพราะอดกลั้นมานาน ลู่อู๋โยวจึงใช้วาจาเฉียบคมเชือดเฉือนไม่หยุด ทำให้ใต้เท้าเสิ่นหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะกระแอมหลายที เขาจึงได้ยั้งเสียงพูดไว้บ้าง ประสานสองมือพูดด้วยมารยาทเต็มเปี่ยม
“ในคำพูดนี้ถ้ามีสิ่งใดบกพร่อง ขอทุกท่านช่วยชี้แนะด้วย”
ทุกคนรอบข้างใจคิดตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย พูดเหลวไหลเหมือนผายลม เจ้าพูดเช่นนั้นแล้ว ยังหวังว่าคนอื่นจะแก้ไขอะไรให้เจ้าอีกหรือ!
บัณฑิตเป่ยตี๋ตรงหน้าผู้นั้นหายใจหอบ ยันโต๊ะเพื่อประคองตัว ยากจะโต้แย้งได้และถูกทำให้โกรธหนักมากเช่นกัน
ลู่อู๋โยวดูเหมือนจะมีพรสวรรค์พิเศษในการด่าคนโดยไม่ใช้คำหยาบแม้เพียงหนึ่งคำ ตอนโต้คารมกับผู้อื่นก็ยอดเยี่ยมเหมือนตอนที่เขายกพู่กันถือฎีกาด่าคน ฮ่องเต้เห็นแล้วสีหน้าเบิกบานและพระราชทานของมาให้อีกจำนวนหนึ่ง
ทุกคนต่างกล่าวแสดงความยินดีไม่หยุดเช่นกัน
“จี้อัน เจ้าพูดเก่งเหลือเกิน…”
“จะว่าไปเมื่อครู่เจ้าพูดรวดเดียวโดยไม่หยุดพูดราว…เจ็ดร้อยตัวอักษรใช่หรือไม่ หรือว่าหนึ่งพัน?”
มีเพียงองค์ชายน้อยลั่วเฉินแห่งเป่ยตี๋ซึ่งอยู่ตรงหน้าที่ยังคงใช้สายตาแปลกประหลาดมองเขา
ลู่อู๋โยวไม่สนใจ รอการแสดงของสหายร่วมงานคนอื่นอีกหลายคนอย่างเงียบๆ
สำหรับเรื่องของกำลังคนก็ให้กรมทหาร สำนักกิจการห้าเหล่าทัพ และกองปราบปรามเหนือคอยกังวลใจไปแล้วกัน
ลู่อู๋โยวกำลังจะถอยออกไป ทันใดนั้นก็เห็นนักพรตกลุ่มหนึ่งเดินมาตรงหน้า การแต่งกายงดงามมีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญตน เสื้อคลุมของนักพรตเต๋าหรูหราอย่างยิ่ง เผิงกงกงขันทีผู้ตรวจฎีกาที่อยู่ด้านข้างกำลังเดินนำคนเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
เผิงกงกงเป็นขันทีที่ปรนนิบัติข้างกายฮ่องเต้ โดยปกติขุนนางใหญ่ขั้นสามทั่วไปอาจจะไม่ได้เห็นใบหน้ายิ้มของเขา
สหายร่วมงานเห็นเหตุการณ์นี้ต่างก็พูดด้วยน้ำเสียงอิจฉาอยู่หลายส่วน “ได้ยินว่าเป็นนักพรตจากเขาหลงหู่ บอกว่ามีวิชาบรรลุเป็นเซียน ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญมาก ดูเหมือนทรงวางแผนจะสร้างอารามเต๋าขนาดใหญ่หนึ่งหลังให้พวกเขาด้วย”
“ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการบูรณะซ่อมแซมตำหนักฉงกวงที่ถูกไฟไหม้ขึ้นใหม่ เหมือนฝ่าบาทยังทรงคิดจะสร้างหอบรรลุเซียนที่สูงเทียมเมฆหนึ่งหลังด้านข้างอีกด้วย”
“ฝ่าบาททรงอยากมีพระชนม์ชีพยืนยาวเช่นกันนี่…”
เห็นสีหน้าของซุ่นฮ่องเต้ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน คงเพราะชีวิตคนดำเนินมาถึงช่วงเวลานี้ก็จะเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความตาย จึงคิดหาวิธีประวิงเวลาต่อไป
ลู่อู๋โยวไม่ได้พูดอะไร