ถึงแม้ก่อนหน้านี้ในสำนักราชบัณฑิตแทบจะไม่มีการโยกย้าย แต่ก็พอมีออกไปทำงานข้างนอกบ้าง งานที่นิยมที่สุดก็คือไปเป็นผู้คุมการสอบระดับภูมิภาคซึ่งเป็นงานที่ได้ผลตอบแทนสูง ทั้งยังชุบเลี้ยงเส้นสายได้อีกด้วย งานที่ไม่มีใครอยากไปทำที่สุดก็คือการอัญเชิญราชโองการไปให้ฟานอ๋อง ที่ทั้งลำบากและเหน็ดเหนื่อย ซ้ำยังไม่สร้างผลงานเท่าไร
เฮ่อหลันฉือเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา “เจ้าคิดจะไปหรือ”
“พูดตามจริงก็ไม่ได้อยากไปนัก”
เฮ่อหลันฉือเข้าใจได้เช่นกัน
“เหตุผลหลักคืออี้โจวเป็นดั่งน้ำลึก ข้าไปครั้งนี้มีอันตรายอยู่บ้าง ไม่สะดวกจะพาเจ้าไปด้วย แต่…” เขาเชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยต่อ “สืบมานานเพียงนี้แล้ว ไม่อยากจะไปเท่าไร ประกอบกับเหมือนที่เจ้าคิดในฝัน ได้ยินข่าวมาว่าใต้เท้าเฮ่อหลันดูเหมือนจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง แต่ถ้าข้าไปแล้วเจ้าจะทำอย่างไร”
เฮ่อหลันฉือตั้งใจฟังจนจบก็กุมท้องแน่นแล้วเอ่ยว่า “วางใจได้ เจ้าไปเถอะ ข้าทนไหว”
ลู่อู๋โยวพูดเสียงเบา “คุณหนูเฮ่อหลัน ข้าจะไปก็ยังอีกสักระยะ มีกำลังใจอย่างอื่นอีกบ้างหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เจ้า…เจ้ารอข้าหมดระดูก่อน”
คิดไม่ถึงว่าระดูมาวันที่สองแล้วยังรู้สึกปวดท้องอยู่เลย
เฮ่อหลันฉือหันหน้าเข้าด้านในเตียง ขดตัวกัดริมฝีปากทนอยู่สักครู่ แทบจะไม่ส่งเสียงใด บนหน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมาเป็นชั้นบางๆ นางคิดว่าจะทนต่อไป รอให้ง่วงแล้วหลับไปก็น่าจะดีขึ้นเอง คงเป็นเพราะการป่วยไข้ในวัยเด็กจึงทำให้เป็นเช่นนี้ ปกติแล้วนางจะอดทนเก่งมาก
แต่ครั้งนี้บังเอิญถูกลู่อู๋โยวพบเข้า
เดิมทีเขาเพียงอยากดูว่าเฮ่อหลันฉือหลับหรือยัง กลับเห็นเหงื่อบนหน้าผากของนาง ยังคิดว่านางฝันร้ายเสียอีก พอมองดูอีกทีเห็นนางกัดริมฝีปาก สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้าคงมิใช่ยังปวดท้องอยู่หรอกนะ”
เฮ่อหลันฉือพูดเสียงเบา “นิดหน่อย ไม่ได้ปวดมากเป็นพิเศษ”
ลู่อู๋โยวจุดเทียนแล้วเช็ดเหงื่อให้นาง จึงพบว่าริมฝีปากของนางถูกกัดจนแตกเล็กน้อย
ลู่อู๋โยวที่พูดไม่หยุดนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วจึงเอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะหายปวดตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว ถ้ายังปวดอยู่เหตุใดจึงไม่บอกข้า”
“ไม่ได้ปวดมากจริงๆ”
ฝ่ามือของลู่อู๋โยวแตะหลังเอวของนางเบาๆ ไอร้อนกลุ่มหนึ่งแทรกซึมเข้ามาทำให้ท้องและเอวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
เขาพูดอย่างทอดถอนใจ “ถึงแม้การดูแลตนเองเป็นเรื่องดี แต่เจ้าพึ่งพาข้าสักนิดก็ได้ ไม่เช่นนั้นข้าที่เป็นสามีคนนี้จะรู้สึกว่าเป็นเสียเปล่าแล้ว”
เฮ่อหลันฉือพูดเสียงเบา “ข้าได้…พึ่งพาเจ้ามากแล้ว”
ลู่อู๋โยวเห็นนางฝืนทนจึงพูดว่า “ช่างเถอะ เจ้าอย่าพูดอีกเลย ข้าก็จะไม่พูดแล้ว”
มือของเขายังแตะอยู่ที่หลังเอวของนางเหมือนนวดไล่เลือดคั่ง เฮ่อหลันฉือนอนนิ่งอยู่ในท่านี้ ผ่านไปสักพักหนึ่งจึงค่อยๆ รู้สึกว่าความเจ็บปวดคลายลง ร่างกายที่ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลาย ความง่วงค่อยๆ เพิ่มขึ้น เสียงพูดแผ่วเบาของลู่อู๋โยวดังมาจากด้านหลัง
“เจ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
วันต่อมาลู่อู๋โยวเรียกหมอมาตรวจอาการให้นางที่จวน เฮ่อหลันฉือสามารถกระโดดโลดเต้นได้แล้ว คิดว่าเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ หมอก็บอกว่านางร่างกายไม่มีปัญหาใหญ่อะไร
ลู่อู๋โยวเอ่ยถาม “เช่นนั้นเหตุใดยังปวดอีก”
หมอผู้เฒ่ากระแอมทีหนึ่ง ลูบหนวดแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้…จะรู้สึกปวดบ้างไม่มากก็น้อย ฮูหยินระวังอย่าให้กระทบถูกความเย็นก็พอแล้ว”
เฮ่อหลันฉือกระตุกแขนเสื้อของลู่อู๋โยวด้วยความเขินอาย แสดงท่าทีว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้ต่อ ลู่อู๋โยวตอนนี้จึงยอมหยุด แต่ยังคงมองนางแล้วเอ่ยขึ้น
“เป็นสตรีลำบากกว่าที่คิดไว้จริงๆ”
เฮ่อหลันฉือนวดท้องของตนเอง “เกิดมาเป็นเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สุขไปกับมันเถอะ”
ลู่อู๋โยวเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้น…วันหน้าคลอดลูกจะเจ็บปวดกว่านี้ใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือ “…!”
เจ้าคิดไกลเกินไปแล้วกระมัง…
ลู่อู๋โยวกลับเอ่ยต่อ “ถ้าลำบากเกินไปก็ช่างเถอะ สภาพร่างกายของเจ้ารู้สึกว่าทรมานสักนิดก็แตกสลายแล้ว”
เฮ่อหลันฉือคิดว่าเขาตีตนไปก่อนไข้เร็วเกินไป นางตั้งครรภ์ได้หรือไม่ยังบอกไม่ได้จึงพูดว่า “วันหน้าค่อยว่ากันเถอะ”