ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 1
บทที่ 1 โฉมงามล่มเมือง
เดือนสาม ดอกซิ่ง บานสะพรั่ง
เรื่องขบขันใหญ่โตเรื่องหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในเวลาอันรวดเร็ว ภายในหอสุราร้านน้ำชาทุกตรอกซอกซอยหัวถนนล้วนมีข่าวลือนี้แว่วมาให้ได้ยิน
แม้กระทั่งเหล่าบัณฑิตที่กำลังรอประกาศผลสอบจากทางวังหลวงก็ยังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่มากก็น้อยถึงเรื่องของ…คุณหนูเฮ่อหลันผู้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ที่ยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติเข้มงวดซึ่งสมควรจะรักษาจรรยาสงบเสงี่ยม แต่นับวันนางยิ่งชื่อเสียงฉาวโฉ่เพราะรูปโฉม
“…คุณหนูเฮ่อหลันรูปโฉมงดงามถึงเพียงนั้นเชียวหรือ พวกเราที่นี่มีผู้ใดเคยเห็นบ้าง”
“ข้าเพิ่งมาเมืองหลวงแค่เดือนกว่า มีโอกาสได้เห็นเสียที่ใด”
“เอ๊ะ พี่หลินคงจะเคยเห็นกระมัง ท่านสนิทสนมกับคุณชายจวนเฮ่อหลันไม่ใช่หรือ ตอนเข้าไปเยี่ยมเยียนที่บ้านเขา ไม่เคยเห็นคุณหนูบ้านนั้นสักครั้งเลยหรือไร”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อหน้าแดงขึ้นฉับพลัน เขาจับแขนเสื้อแน่นเป็นการกลบเกลื่อนพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “วิจารณ์รูปโฉมสตรี มิใช่วิสัยของวิญญูชน”
“พี่หลินก็คร่ำครึเกินไป! ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคุณหนูเฮ่อหลันงดงามยิ่งนัก”
“พอเลย! พอเลย! เซ่าเยี่ยน พูดเช่นนี้แสดงว่าเจ้าเคยเห็นอย่างนั้นรึ”
“ไหนบอกมาเร็วเข้า คุณหนูเฮ่อหลันงามหยาดเยิ้มปานใดกันแน่ ถึงทำให้ซื่อจื่อ ของเฉากั๋วกง ถึงขั้นเลอะเลือนรนหาที่ตาย งานวิวาห์ดีๆ ล่มไปยังไม่ต้องพูดถึง แต่ถึงขั้นทำให้เฉากั๋วกงโมโหโทโสจนเกือบยื่นฎีกาขอถอดถอนตำแหน่งซื่อจื่อของเขาทีเดียว”
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายมาเป็นเรื่องเล่าสนุกปากในช่วงนี้
เมื่อไม่กี่วันก่อนจวนเฉากั๋วกงจัดพิธีมงคลให้ซื่อจื่อแต่งงานกับจวิ้นจู่ ผู้หนึ่งที่มีฐานะเหมาะสมกัน
เดิมทีงานมงคลอันยิ่งใหญ่นี้สมควรต้องจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง แต่จนใจที่เมื่อถึงวันรับตัวเจ้าสาว ย่างเข้าใกล้ฤกษ์มงคลเต็มที ตัวเจ้าบ่าวกลับไม่ยอมออกจากจวน สุดท้ายจึงถูกบ่าวในจวนพากันลากออกมา สีหน้าท่าทางของเขาไม่เหมือนคนกำลังจะแต่งงาน แต่เหมือนจะไปร่วมขบวนแห่ศพเสียมากกว่า
ในที่สุดก็รับเจ้าสาวมาจนได้ แต่เมื่อถึงช่วงคำนับฟ้าดินหน้าโถงพิธีเจ้าบ่าวผู้นี้ก็มีท่าทีอิดออดไม่ยอมคุกเข่าอีก
หลังจากถูกกดดันหลายครั้งเข้าเขาก็คล้ายตัดสินใจบางอย่างได้ โยนผ้าไหมแดงในมือทิ้งไปแล้วคุกเข่ากล่าวท่ามกลางสายตาผู้คน
‘ท่านพ่อท่านแม่ ลูกอกตัญญู ลูกไม่อยากแต่งกับนาง คนที่ลูกอยากแต่ง…เป็นคนอื่น!’
ครั้นคำพูดนี้หลุดออกไปก็ราวกับเทน้ำใส่น้ำมันเดือดในหม้อ แตกปะทุไปทั่วบริเวณ
ได้ข่าวว่านายท่านผู้เฒ่าฝั่งบ้านเจ้าสาวเดือดดาลจนลมจับไปตรงนั้น ส่วนเจ้าสาวก็ร้องห่มร้องไห้พร้อมกับถูกแม่นมพยุงออกไป
กั๋วกงผู้เฒ่าซึ่งเคยดำรงตำแหน่งทางทหารมานานหลายปียกไม้เท้าหมายจะฟาดลูกอกตัญญูคนนี้ให้ตายคามือ โถงพิธีมงคลวุ่นวายโกลาหล หากฮูหยินกั๋วกงไม่มาขวางไว้อย่างเอาเป็นเอาตายอาจมีคนเสียชีวิตจริงๆ ก็คราวนี้
แต่ถึงกระนั้นซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก็ยังคงแสดงอาการคลั่งไคล้ไม่เลิกรา ต่อให้ถูกทุบตีจนหน้าบวมปูดก็ยังไม่ยอมสำนึก
ข่าวนี้ปิดบังไม่อยู่ ไม่นานผู้คนต่างก็รู้กันทั่ว
สตรีผู้นั้นที่ทำให้ซื่อจื่อของเฉากั๋วกงถึงกับพร่ำเพ้อคะนึงหาก็คือเฮ่อหลันฉือ บุตรีของเฮ่อหลันจิ่นข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้าย
หากพูดถึงคนอื่นเกรงว่าใครๆ อาจยังคงตั้งข้อกังขา แต่พอพูดถึงเฮ่อหลันฉือขึ้นมา ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งทันที
ไม่น่าแปลกใจเลยจริงๆ
แน่นอนว่าในเมืองหลวงไม่ขาดแคลนหญิงงาม บุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นโฉมสะคราญโดดเด่นมีมากมายจนนับไม่ไหว แต่คนที่งดงามสะท้านใจสะเทือนวิญญาณเฉกเช่นเฮ่อหลันฉือนั้นกลับมีเพียงผู้เดียว
ตอนที่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ก็มีคุณชายบ้านอื่นถึงกับลงไม้ลงมือตีกันด้วยความอิจฉาตาร้อนเพียงเพราะนางชำเลืองมองมา ต่อมาทุกครั้งที่นางออกจากจวนก็จะสร้างความโกลาหลเสมอ คุณชายบางคนพลัดตกน้ำตกท่าเพื่อจะชะเง้อมองคุณหนูเฮ่อหลัน หรือพอได้ยินว่านางจะออกไปไหว้พระนอกเมือง เกี้ยวของคุณชายตระกูลต่างๆ ราวสิบกว่าหลังก็พากันเบียดแย่งออกจากเมืองด้วย ทำให้การสัญจรบริเวณประตูเมืองติดขัดไปชั่วขณะ ที่หนักกว่านั้นถึงขั้นมีคนคิดจะปีนกำแพงเข้าไปในจวนเฮ่อหลัน ในปีๆ หนึ่งจับตัวคนมักมากที่คิดจะบุกเข้าจวนได้ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดรอบ
ด้วยเหตุนี้รูปโฉมของคุณหนูเฮ่อหลันจึงถูกเล่าลือต่อกันไปอย่างอัศจรรย์พันลึกขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ชื่นชมหวังยลโฉมนงคราญเป็นบุญตาสักครั้งก็เพิ่มจำนวนจนเกินคณานับเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรเฮ่อหลันฉือก็เป็นดรุณีสูงศักดิ์ที่ยังไม่ออกเรือน ชาวบ้านร้านตลาดหยิบยกรูปโฉมของนางไปพูดสนุกปากย่อมมิใช่เรื่องเหมาะสม อีกทั้งยังมีบางถ้อยคำที่แสดงความสนิทสนมเกินงาม ยิ่งไม่เหมาะไม่ควรไปกันใหญ่
ตั้งแต่เฮ่อหลันฉือเติบใหญ่มา ใต้เท้าเฮ่อหลันก็ต้องฉุนเฉียวกับข่าวลือของบุตรสาวเป็นประจำ ในสำนักตรวจการมักจะเห็นสีหน้าของข้าหลวงตรวจการผู้นี้บึ้งตึงอยู่บ่อยครั้ง เหล่าผู้ตรวจการที่ยามปกติกล้าด่าทอทุกผู้ทุกคนต่างเงียบกริบด้วยความหวาดกลัว พากันก้มหน้างุดเขียนหนังสือกราบทูลข้อราชการ ด้วยกลัวว่าจะไปจี้จุดเดือดของเขาเข้า
ใต้เท้าเฮ่อหลันใช่ว่าไม่เคยคิดจะยับยั้งข่าวลือเหล่านี้ แต่จนใจที่บัณฑิตผู้มีปัญญาเหล่านั้นดอดหนีกันว่องไวเสียเหลือเกิน อีกทั้งจะจับคนด้วยเรื่องเช่นนี้ก็ไม่เหมาะ ยากจะปิดปากคนที่เล่าลือไปมากกว่าเดิม จึงได้แต่กลับจวนไปอบรมสั่งสอนบุตรสาวให้สำรวมกิริยาวาจาใจอย่างเข้มงวดแทน
ทว่าสำรวมกิริยาวาจาใจก็แล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นได้
Comments
