ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 1
เรื่องซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก่อเรื่องวุ่นในงานแต่งแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน กลายเป็นที่ขบขันของผู้คนจำนวนมาก พาให้ชื่อเสียงดีงามของเฮ่อหลันฉือพลอยมัวหมองไปด้วย
หากบอกว่ายังไม่เคยพบปะใกล้ชิด แต่ซื่อจื่อของเฉากั๋วกงทำท่าจะเป็นจะตายให้ได้เพราะนางถึงเพียงนั้นก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลจริงๆ แต่หากบอกว่าเคยพบปะกันอย่างลับๆ มาแล้ว เช่นนั้นก็…
ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มมีคนพูดอย่างริษยา “มิน่าจวนเฮ่อหลันถึงได้บอกปัดพวกคนที่มาสู่ขอไปหมด อ้างว่ารอให้อายุถึงสิบแปดปีค่อยเจรจาเรื่องแต่งงาน ที่แท้ก็อยากไต่ขึ้นกิ่งสูงนี่เอง”
“น่าเสียดายดันพลาดท่าเพราะความฉลาดของตนเอง คราวนี้จวนเฉากั๋วกงต่อให้ตายก็ไม่มีทางรับนางเข้าจวนเด็ดขาด”
“นารีดึงดูดภัยจริงๆ เชียว”
“อย่างที่เขาว่า เลือกภรรยาต้องเลือกที่ความดี อย่างไรข้าก็ไม่มีวันแต่งกับหญิงพรรค์นี้แน่นอน”
ประโยคสุดท้ายเรียกเสียงเห็นพ้องเป็นวงกว้างจากเหล่าบัณฑิตที่อยู่รายรอบ
คุณชายหลินคนเมื่อครู่อดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “คุณหนูเฮ่อหลันนางไม่ใช่…”
แต่เสียดายที่เสียงของเขาเบาไป จึงถูกกลบในชั่วพริบตา
“ใช่แล้ว จี้อัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“ความนิยมของพี่จี้อันในหมู่สตรีก็เทียบได้กับคุณหนูเฮ่อหลันในหมู่บุรุษนั่นล่ะ”
“พรุ่งนี้ก็มีงานเลี้ยงอีกแล้วใช่หรือไม่ พวกข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ”
เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีขาวปลอดที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างได้ยินคนเรียกก็ผินหน้ามาเล็กน้อย เผยยิ้มอย่างสุขุมและถ่อมตน ดวงตาดอกท้อ* หลุบลง แม้จะเป็นบุรุษเหมือนกันก็ยากที่จะไม่ถูกลักษณะท่าทางของเขาดึงดูดสายตา
ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ก็หาใช่คนไม่เอาไหน แต่เป็นเจี้ยหยวน ของชิงโจวเมื่อปีกลาย นับว่าเป็นผู้ที่น่าจับตามองในกลุ่มบัณฑิต มีนามว่าลู่อู๋โยว
“ข้าก็คิดเหมือนอย่างทุกท่าน แต่งภรรยาสมควรเลือกที่ความดีงาม”
แววตาเขาใสกระจ่าง น้ำเสียงนุ่มนวลเหลือแสน ฟังไม่ออกสักนิดว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด
“พี่จี้อันก็เจ้าเล่ห์นัก พวกข้าถามว่าท่านคิดอย่างไรกับคุณหนูเฮ่อหลันต่างหาก!”
สิ้นเสียงทางนี้ก็เห็นบ่าวคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมา
“คะ…คุณหนูเฮ่อหลันเหมือนจะออกจากจวนแล้วขอรับ…”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฮ่อหลันฉือจะออกจากจวนเวลานี้ ทั้งยังออกทางประตูหน้าอย่างเปิดเผยเสียด้วย
ทีแรกทุกคนต่างคาดเดากันว่าเวลานี้นางน่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในจวนเพื่อเลี่ยงคำติฉินนินทา เพราะยามนี้ไม่ว่านางไปที่ใดก็จะพบกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ยังไม่ทันที่บ่าวผู้นั้นจะกลับมาหายใจเป็นปกติ เหล่าบัณฑิตที่เพิ่งสนทนากันด้วยท่าทีสุภาพเรียบร้อยเมื่อครู่ก็พากันกรูออกไปจากชั้นสองของหอสุรา
อึดใจต่อมาก็เหลือเพียงคุณชายหลินและลู่อู๋โยวสองคนมองหน้ากัน
จวนเฮ่อหลันอยู่ทางทิศเหนือของเมือง ซ้ายติดกับคฤหาสน์ของใต้เท้าจางรองเสนาบดีกรมอากร ด้านขวาคือบ้านประจำตระกูลของใต้เท้าจั่นเสนาบดีศาลต้าหลี่ พื้นที่ของจวนเฮ่อหลันถูกขนาบอยู่ตรงกลาง ดูเล็กจ้อยจนน่าหัวเราะ
บริเวณรอบๆ มีผู้คนมามุงดูแน่นขนัดมากกว่าที่คาดคิดไว้ ในกลุ่มนั้นยังมีคุณชายบ้านคหบดีที่พาบ่าวรับใช้มาจำนวนหนึ่งด้วย
“ผู้ใดเหยียบเท้าข้า!”
“อย่าเบียด! อย่าเบียด! คุณหนูเฮ่อหลันจะออกมาเมื่อไร”
ระหว่างที่พูดก็แลเห็นเด็กสาวคนหนึ่งสวมเสื้อทอสั้นสีแดงอมชมพูปักดิ้นทองคู่กับกระโปรงจีบพลิ้วบานลายผีเสื้อกำลังนำสาวใช้สี่ห้าคนออกจากจวนพอดี
บนศีรษะเด็กสาวปักปิ่นหยกรูปดอกโบตั๋นประดับด้วยทองถัก ต่างหูหยกม่วงระย้าทองส่ายไหวตามแรงลมข้างใบหู ยังมีสายสร้อยทองห้อยอยู่หน้าสาบเสื้อเส้นหนึ่ง ทั้งตัวประดับด้วยเพชรนิลจินดา ทอประกายระยิบระยับ
ฉับพลันนั้นผู้คนข้างนอกต่างพากันชะเง้อคอเบิกตามอง เห็นเส้นคิ้วเรียวบาง ดวงตาดั่งเมล็ดซิ่ง ริมฝีปากดุจอิงเถา* และจมูกจิ้มลิ้มพริ้มเพราของเด็กสาวคนนั้น ทว่า…แม้จะงดงามแต่ก็ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกว่าไม่สมกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างเท่าไร ไม่เห็นจะงามล่มเมืองอย่างที่อวดโอ่เลยสักนิด
มีคนพูดอย่างผิดหวังทันที “เท่านี้เองหรือ เมื่อครู่ข้าอุตส่าห์วิ่งมาแทบแย่…”
คุณชายที่อยู่ข้างๆ โบกพัดพลางกล่าวเยาะเย้ย “นั่นคือคุณหนูสกุลเหยา ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาของคุณหนูเฮ่อหลันต่างหาก”
จริงอย่างว่า หลังจากเด็กสาวที่สวมเครื่องประดับระยิบระยับก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูไปก็มีคนเดินตามออกมา
คราวนี้คนที่ออกมาเป็นเด็กสาวชุดขาวที่สวมหมวกห้อยม่าน ด้านหลังมีสาวใช้ติดตามเพียงคนเดียว ชุดกระโปรงที่นางสวมใส่ช่างเรียบง่าย ตามตัวไม่มีเครื่องประดับตกแต่งเลยสักชิ้น เห็นรำไรผ่านทางม่านหมวกว่ามีเพียงปิ่นไม้ท้อธรรมดาๆ อันหนึ่งปักบนเรือนผม ต่างหูก็ดูเรียบอย่างยิ่ง
คนที่เพิ่งมาครั้งแรกยังนึกว่านางเป็นสาวใช้ใหญ่ของจวนเฮ่อหลัน จึงไม่ได้สนใจมองมากนัก แต่คนที่เคยมาหลายครั้งต่างระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ เบียดไปข้างหน้าทันที
“คุณหนูเฮ่อหลัน!”
“เจ้าล้อเล่นรึ นั่นน่ะหรือคุณหนูเฮ่อหลัน ใต้เท้าเฮ่อหลันเป็นถึงข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายขั้นสอง ต่อให้เป็นสาวใช้ในบ้านก็ยังไม่…” มอซอเช่นนี้เลย!
คุณชายที่โบกพัดยังเยาะเย้ยต่อไป “ความซื่อตรงของใต้เท้าเฮ่อหลันเป็นที่รู้กันทั่วเมืองหลวง เจ้าจะเห่าอะไร”
“เกรงว่าสหายคงจะมาครั้งแรกกระมัง ใต้เท้าเฮ่อหลันน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นขุนนางสัตย์ซื่อมือสะอาด”
“ต่อให้มือสะอาดเพียงใดก็ไม่น่าถึงกับ…” ผู้พูดยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
คนเขาพูดกันว่าคนงามเพราะแต่งตัว พระพุทธรูปงามเพราะหล่อทอง…
ทันใดนั้นลมกระโชกแรงก็ได้พัดเอาผ้าโปร่งสีขาวพลิกตลบขึ้นจากขอบหมวกของเด็กสาว ดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจมากนัก เพียงแต่ชำเลืองมองไปยังบริเวณที่ลมพัดมา
ใบหน้าที่ถูกปกปิดมาตลอดพลันกระทบเข้ากับสายตาของทุกผู้คน
แสงตะวันที่สาดส่องลงมาจากเบื้องบนแปรเปลี่ยนเป็นม่านแสงสีจางคลี่คลุมบนดวงหน้าเนียนขาวผ่องกว่าหิมะของนางอย่างพอเหมาะ ปรากฏเป็นรัศมีหมอกคล้ายความฝันขึ้นชั้นหนึ่ง ขนตายาวหนาดุจขนกากะพริบไหวแผ่วเบา ปกคลุมดวงตาพราวระยับคู่นั้นเหมือนดั่งผีเสื้อขยับปีกโบยบิน งดงามเปราะบางราวกับแตกร้าวได้เพียงแค่สัมผัส ทั้งร่างนั้นประหนึ่งไม่ใช่มนุษย์เดินดิน
นางยืนอยู่หน้าประตูจวน รัศมีบนตัวเปล่งประกายดั่งไข่มุกที่ยากจะเอื้อมถึง ส่องสว่างไปทั่วบริเวณนั้น
เครื่องประดับธรรมดาสามัญแต่ละชิ้นที่สวมใส่อยู่ก็ดูคล้ายจะมีราคาเทียบเทียมของชั้นดีที่รังสรรค์อย่างประณีต
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นความงดงามที่ไม่น่าจะมีอยู่จริงบนโลกมนุษย์
กลุ่มคนที่ยังส่งเสียงเอ็ดตะโรอยู่เมื่อครู่พลันเงียบกริบชนิดเสียงเข็มหล่นยังได้ยิน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงฝีเท้า ราวกับว่าทุกคนต่างหยุดนิ่ง
เวลาก็คล้ายจะหยุดเดินเช่นกัน
สายตาของเฮ่อหลันฉือเลื่อนกลับมาจากฟากฟ้าแล้วปรายลงตรงจุดใดจุดหนึ่งซึ่งบังเอิญประสานเข้ากับดวงตาที่ยิ้มแก้เก้อของใครบางคน เพียงแวบเดียวก็ผละออกไป รวดเร็วจนเหมือนกำลังแข่งขันว่าใครจิตใจนิ่งกว่า มุมปากนางกระตุกเพียงชั่วครู่ ก่อนจะถอนสายตาแล้วเดินขึ้นรถม้าไป
รอจนกระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวไปไกลแล้ว กลุ่มคนบางส่วนถึงค่อยเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน
“นั่น…นั่นคือคุณหนูเฮ่อหลันหรือ”
“นะ…ในใต้หล้ามีคนรูปร่างหน้าตาเช่นนั้นได้อย่างไร!”
“จวนเฮ่อหลันยังรับคนงานอยู่หรือไม่ คนที่เรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์ มาแล้วน่ะ…”
“ข้าเริ่มเข้าใจซื่อจื่อของเฉากั๋วกงขึ้นมาแล้ว…”
บัณฑิตที่เพิ่งพูดว่า ‘เลือกภรรยาต้องเลือกที่ความดี อย่างไรข้าก็ไม่มีวันแต่งกับหญิงพรรค์นี้แน่นอน’ อยู่ข้างๆ ลู่อู๋โยวเมื่อครู่ เวลานี้กำลังเกาะแขนเขามองเหม่อไปตามทางที่เฮ่อหลันฉือจากไปพลางพึมพำเสียงสั่นเครือ
“พี่จี้อัน เมื่อครู่คุณหนูเฮ่อหลันนาง…นางเหมือนจะยิ้มให้ข้าด้วย ทะ…ท่านว่า…ข้าพอจะมีความหวังบ้างหรือไม่”
ลู่อู๋โยวเบี่ยงไหล่ออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิดในใจว่าตื่นเถอะ ได้แค่ฝันเท่านั้นล่ะ
Comments
