ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 1
หลังจากขึ้นรถม้าแล้วเหยาเชียนเสวี่ยไม่ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบแต่พูดเข้าเรื่องทันทีอย่างอดใจไม่ไหว นางเองก็รู้สึกฉงนสนเท่ห์เช่นเดียวกับผู้คนทั่วเมืองหลวงที่มามุงดู ในน้ำเสียงนุ่มนวลแฝงด้วยความเป็นห่วง ในความเป็นห่วงเจือด้วยความตื่นเต้น
“เสี่ยวฉือ เจ้า…กับเฉาซื่อจื่อผู้นั้น…เป็นมาอย่างไรกันแน่”
บิดาของเหยาเชียนเสวี่ยเป็นลุงเขยของเฮ่อหลันฉือ ทำงานเป็นรองเสนาบดีกรมอากร นางจึงเคยมีโอกาสเจอหลี่ถิงผู้เป็นซื่อจื่อของเฉากั๋วกงมาหลายครั้ง
หลี่ถิงเป็นบุตรชายคนเดียวของเฉากั๋วกงและเฉาฮูหยิน ถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงมาตั้งแต่เยาว์วัย อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผย ชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ยามปกติพูดจาด้วยเสียงขึ้นจมูก มองคนด้วยปลายคาง ญาติพี่น้องของขุนนางต่ำกว่าขั้นสี่ไม่เคยได้เห็นใบหน้าเขาตรงๆ แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อแม่นางทั้งหลายที่ปรารถนาจะแต่งงานเข้าไปเป็นฮูหยินซื่อจื่อ
แต่ในเมื่อคานล่างยังไม่ตรง คานบนจะเป็นเช่นไรก็คงคิดออก
เท่าที่เหยาเชียนเสวี่ยรู้มา ฮูหยินเฉากั๋วกงไม่เคยพิจารณาบุตรีของขุนนางธรรมดาๆ เลยสักคน สตรีที่ทาบทามมาให้บุตรชายล้วนเป็นธิดากงโหว หรือเชื้อพระวงศ์ที่มีสินเดิมมั่งคั่ง อย่างเช่นอวิ๋นหยางจวิ้นจู่เจ้าสาวผู้โชคร้ายที่ต้องแต่งงานกับเขาคราวนี้ ลำพังแค่เครื่องแต่งกายก็มีถึงสิบคันรถ สินเดิมเจ้าสาวเรียกได้ว่าแดงสะพรั่งไกลสิบหลี่ อวิ๋นหยางจวิ้นจู่แม้จะมิใช่คนหน้าตางดงามมากนัก แต่ก็นับว่าจิ้มลิ้มนวลตาน่าเอ็นดู เฉาซื่อจื่อคงไม่มีสิ่งใดไม่พอใจ
ไหนเลยจะรู้ว่าหลี่ถิงผู้หยิ่งทะนงมาตลอด วันนี้กลับบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้
มีข่าวลือมาว่าเขาถึงกับเอาชีวิตมาขู่เพื่อต่อต้านการแต่งงานครั้งนี้อยู่หลายครั้ง เฉากั๋วกงต้องใช้กฎบ้านจัดการอยู่หลายหน ถึงค่อยทำให้เขายอมตอบตกลงแต่งงาน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขายังมาทำลายสัญญาในวันแต่งงานจนได้
ดรุณีที่อยู่ด้านข้างหันกลับมาถามเสียงเบา “หืม?” สุ้มเสียงของนางแผ่วเบาและนุ่มนวลคล้ายกระดิ่งหยก แฝงด้วยความบอบบางน่าทะนุถนอม
เหยาเชียนเสวี่ยอึ้งงันไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างลังเล “เสี่ยวฉือ ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร” เสียงของนางอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับกลัวว่าหากพูดดังกว่านี้คนตรงหน้าอาจผวาจนแตกร้าวไป
“อ้อ หามิได้…” เฮ่อหลันฉือได้สติกลับมา ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร “ท่านอยากถามสิ่งใดเล่า”
“ก็เรื่องของเจ้ากับเฉาซื่อจื่อผู้นั้น…”
เฮ่อหลันฉือตอบเสียงราบเรียบ “ไม่คุ้นเลย”
เหยาเชียนเสวี่ยตกใจ “เอ๊ะ เช่นนั้นเขา…”
เฮ่อหลันฉือถอนอารมณ์ออกมาจากจังหวะปรายตาเมื่อครู่นั้น ใคร่ครวญเพียงชั่วอึดใจก็กล่าวรวบรัด “ข้าเคยเจอเขาทั้งหมดสามครั้ง ล้วนอยู่ในงานเลี้ยงทั้งสิ้น เคยสบตากันหนึ่งครั้ง ไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว”
“พบกันส่วนตัว…สักครั้งก็ไม่มีเลยหรือ”
เฮ่อหลันฉือตอบอย่างเฉียบขาด “ไม่มี”
“…เช่นนั้นเขาเกิดบ้ามาจากที่ใดกัน”
เฮ่อหลันฉือเหลือบตามองหลังคารถม้าเงียบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถ้าพี่หญิงได้ข่าว อย่าลืมนำมาบอกข้าด้วยนะเจ้าคะ”
เหยาเชียนเสวี่ยนิ่งงันไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ “แล้วบิดาของเจ้า…”
เฮ่อหลันฉือตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “หัวฟัดหัวเหวี่ยงทีเดียว คนอย่างท่านพ่อข้า พี่หญิงก็รู้ เขาชอบคิดว่าข้าไม่มีมารดาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก อบรมเข้มงวดไม่พอ จึงรักษาระยะห่างระหว่างชายหญิงไม่เป็น ถึงเปิดโอกาสให้คนอื่นฉวยประโยชน์ได้ ฉะนั้นทีแรกเขาจึงสั่งให้ข้าอยู่แต่ในจวนนานหนึ่งเดือน”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้า…”
ยามนี้นางนั่งอยู่ในรถม้าที่กำลังออกจากเมืองแล้ว เห็นชัดว่าคำสั่งกักบริเวณนี้ไม่เป็นผล
เฮ่อหลันฉือพูดด้วยใบหน้าผ่องแผ้วไร้มลทิน “ข้าทะเลาะกับเขายกใหญ่ ใต้เท้าจั่นแห่งศาลต้าหลี่ที่อยู่ข้างจวนยังนึกว่าจวนข้ามีผู้ใดตาย เกือบส่งบ่าวรับใช้มาที่จวนข้ากลางดึกแล้ว”
เหยาเชียนเสวี่ยกลืนน้ำลายด้วยความไม่อยากเชื่อ “…หลังจากนั้นเล่า”
“ท่านพ่อกระฟัดกระเฟียดออกไปสำนักตรวจการตั้งแต่เช้าแล้ว ดูเหมือนตั้งใจจะยื่นฎีกากล่าวโทษจวนเฉากั๋วกงอย่างน้อยสิบห้าสิบหกฉบับในช่วงสองสามวันนี้”
อากาศในรถม้าอบอ้าวเล็กน้อย เฮ่อหลันฉือหยิบหมวกที่ถอดลงมาโบกพัดพลางพูดต่อ “นอกจากข้อหาสั่งสอนบุตรหลานไม่เหมาะสม อะไรอย่างขูดรีดชาวบ้าน ละโมบเงินทอง ใช้เงินฟุ่มเฟือยตามลักษณะของจวนผู้สูงศักดิ์ก็คงไม่ปล่อยให้รอดเช่นกัน”
อันที่จริงการเคลื่อนไหวของนางไม่ได้งดงามแช่มช้อยเท่าไรนัก แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าต่อให้อากัปกิริยาท่วงท่าเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญยังเป็นใบหน้าอยู่ดี
ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาซ่อนรำไรอยู่ใต้ผ้าโปร่งบางสีขาวที่พลิ้วไหวปานหมอกควัน เอิบอาบรัศมีดั่งนางสวรรค์ สุกสกาวเปล่งปลั่งราวปทุมมาลย์แห่งยุค นางงดงามจนเหมือนมิใช่ภาพจริง ทำให้ผู้ที่มองรู้สึกว่าหากมองมากเกินไปอาจเป็นการไม่บังควร แต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะมองแล้วมองอีก
ครั้นเฮ่อหลันฉือเล่ามาเช่นนั้น เหยาเชียนเสวี่ยก็รู้สึกเห็นด้วย
อย่าว่าแต่จวนเฉากั๋วกง เมื่อไม่กี่วันก่อนบ่าวรับใช้ในจวนของผิงเจียงป๋อผู้เป็นพี่ชายของลี่กุ้ยเฟยไปตีคนตายเข้า เพียงแค่จ่ายเงินชดเชยเล็กน้อยแล้วจบเรื่องไปก็เท่านั้น ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้ลี่กุ้ยเฟยเป็นชายาคนโปรดของฮ่องเต้ อีกทั้งองค์ชายรองซึ่งกำเนิดจากนางยังเป็นที่โปรดปรานด้วย
เฮ่อหลันฉือวางหมวกลงบนหน้าตักแล้วเล่าว่า “เมื่อเย็นวานจวนเฉากั๋วกงยังส่งคนมาด้วยเจ้าค่ะ”
เหยาเชียนเสวี่ยตื่นตกใจ “มาทำอันใด!”
เฮ่อหลันฉือยกยิ้มราวกับรู้สึกขบขัน “คงจะมาบอกข้าว่าอย่าได้คิดฝันเฟื่องไปไกล ต่อให้ซื่อจื่อของเฉากั๋วกงกับอวิ๋นหยางจวิ้นจู่แต่งงานกันไม่สำเร็จก็ไม่มีทางตกมาถึงข้า”
เหยาเชียนเสวี่ยเบิกตาด้วยความตกตะลึง “นี่มันช่าง…” หน้าไม่อายเสียจริง! “คิดว่าใครก็อยากแต่งงานกับเจ้าหลี่ถิงนั่นหรือ!”
เฮ่อหลันฉือผงกศีรษะ “ข้าก็สงสัยเหลือเกิน เหตุใดถึงคิดว่าข้าอยากแต่งกับเจ้ากระสอบฟางนั่นนะ”
“กระสอบฟางหรือ”
“ท่านเห็นบทกวีที่เขาเขียนในงานชมดอกเหมยครั้งก่อนหรือไม่ ใช้ถ้อยคำงามหรูแต่ไม่เป็นเหตุเป็นผล ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น ความหมายกำกวม เห็นชัดว่าเป็นพวกสมองพื้นๆ อีกอย่าง…” เฮ่อหลันฉือเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะพูดเสียงหนัก “ตัวอักษรยังอัปลักษณ์มากด้วย”
หากเส้นแบ่งแยกในตระกูลขุนนางขั้นบรรดาศักดิ์คือภูมิหลังและอำนาจ เช่นนั้นเส้นแบ่งของตระกูลขุนนางสามัญก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรอบรู้ ต่อให้เป็นบุตรอัครเสนาบดี แต่หากไม่ผ่านการสอบเคอจวี่ แม้เบื้องหน้าไม่มีผู้ใดพูดอะไร ลับหลังย่อมต้องมีคนมองว่าลูกหลานบ้านนี้ไร้ความก้าวหน้า และย่อมถูกดูหมิ่นดูแคลนด้วยเหตุนี้ ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินที่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่แบ่งแยกกระทั่งเป็นบุตรจากภรรยาเอกหรือภรรยารอง
เหยาเชียนเสวี่ยคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าคำวิจารณ์ของเฮ่อหลันฉือไม่ผิดเลย
แม้บุตรของกงโหวก็สามารถเป็นขุนนางด้วยวิธีรับราชโองการแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์รับความชอบต่อจากบิดา แต่ในราชสำนักต้ายงซึ่งผู้กุมอำนาจแท้จริงล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มาจากบัณฑิตเคอจวี่ทั้งสิ้น ส่วนปกครองราชเลขาธิการก็ไม่รับคนอื่นนอกเหนือจากคนของสำนักราชบัณฑิตอยู่ดี
“แต่…” เหยาเชียนเสวี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จวนเฉากั๋วกงมั่งคั่งมากทีเดียวนะ”
สตรีทั่วไปยามออกเรือนไหนเลยจะมาคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ สามีจะก้าวหน้าหรือไม่ไม่สำคัญ หากแต่งงานเข้าตระกูลสูงศักดิ์ของกงโหวแล้ว อำนาจบารมีไม่ต้องพูดถึง ทรัพย์สมบัติมหาศาลยังมีให้ใช้ไม่รู้หมด สามีพอเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้ เขียนบทกวีได้แค่สองประโยคก็พอแล้วมิใช่หรือ!
เฮ่อหลันฉือเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ “กองเงินกองทองก็ดีอยู่หรอกเจ้าค่ะ แต่ไม่คุ้มค่าพอให้ข้าเอาตัวเข้าแลกเลย”
Comments
