ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 1
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากัน รถม้าก็เคลื่อนมาจอดลงหน้าประตูวัดเจวี๋ยเยวี่ย
วัดเจวี๋ยเยวี่ยในวันนี้มีผู้คนเนืองแน่น แลดูคึกคักยิ่ง
ภิกษุที่มาปฏิสันถารเป็นคนที่รู้จักคุ้นหน้ากันดี ภิกษุรูปนั้นก้มหน้าไม่มองเฮ่อหลันฉือ กล่าวอธิบายขณะนำทางคุณหนูทั้งสองไป
“ข้างนอกล้วนเป็นบัณฑิตที่มาสอบเข้าเป็นขุนนางในปีนี้ เมื่อสามปีก่อนทางวัดเคยมีประสกที่แวะมาเยือนผู้หนึ่งสอบสำเร็จได้เป็นทั่นฮวา ในช่วงนี้จึงมีบัณฑิตมากราบไหว้ขอพรมากเป็นพิเศษ”
แน่นอนว่ายังมีบัณฑิตบางส่วนที่ติดตามมาชมโฉมของเฮ่อหลันฉือด้วย แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึง
หลังจากไหว้พระเสร็จแล้ว เหยาเชียนเสวี่ยก็ควบคุมสีหน้าตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “ประเดี๋ยวเราไปเดินเล่นในวัดกันดีหรือไม่”
เรื่องนี้จะตำหนินางไม่ได้ ในปีนี้หากเป็นบุตรสาวในครอบครัวที่ร่ำเรียนหนังสือมาบ้างเล็กน้อย ผู้ใดจะไม่ซึมซับกับคำสอนในหนังสือบทละครที่แพร่หลายในตลาด แม้เหยาเชียนเสวี่ยจะมีคู่หมั้นอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อครู่ยังพูดถึงความมั่งคั่งของจวนเฉากั๋วกง แต่ครั้นพบปะกับคนหนุ่มคงแก่เรียนที่สง่างามทั้งกิริยาวาจา ก็อดไม่ได้ที่จะชายตามอง
เฮ่อหลันฉือไม่คิดจะออกไปเป็นเป้าสายตาผู้คน จึงเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ “พี่หญิงอยากไปก็ไปเถิด ข้ารออยู่ที่นี่แล้วกัน”
สามเณรน้อยนำทางเฮ่อหลันฉือไปพักผ่อนที่เรือนปีกซึ่งเป็นเรือนแยกจากส่วนอื่น
เมื่อคืนนี้นางนอนหลับไม่ค่อยดีนักเพราะคนของจวนเฉากั๋วกงมาวุ่นวาย นางสั่งให้ซวงจือสาวใช้รออยู่ด้านนอก ตั้งใจว่าจะงีบหลับเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันนั่งลงก็พลันได้ยินเสียงแว่วจากใต้โต๊ะบูชา
คนผู้หนึ่งโผล่พรวดออกมาจากใต้โต๊ะ
เฮ่อหลันฉือ “!?”
นางตอบสนองฉับไว ผงะถอยหลังทันที
คนผู้นั้นแต่งกายด้วยชุดชั้นดีมีราคา ใบหน้าที่เคยหล่อเหลายามนี้กลับบวมปูดเขียวช้ำ ดูไปคล้ายหัวหมู แววตาของหัวหมูเศร้าสร้อย ปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงละห้อยขณะเดินก้าวมาข้างหน้า
“คุณหนูเฮ่อหลัน ในที่สุดข้าก็เจอเจ้า”
เขาก็คือหลี่ถิงซึ่งได้ข่าวว่าน่าจะถูกขังรับการลงโทษตามกฎบ้านอยู่ที่จวนเฉากั๋วกง
ในเรือนปีกมีเพียงพวกเขาสองคน สถานการณ์น่ากลัวยิ่งกว่าเจอผีกลางวันแสกๆ เสียอีก
เฮ่อหลันฉือหันตัวกลับออกไปทันที แต่แล้วมือข้างหนึ่งของเขาก็ยื่นผ่านข้างหูนางมากดทับบานประตูอย่างแรง ทำให้นางดึงประตูไม่ได้ เสียงชายหนุ่มดังอยู่ใกล้หู เต็มไปด้วยการเว้าวอน
“เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ พิธีไม่ลุล่วง ข้าไม่ได้แต่งงานกับนาง…” สุ้มเสียงต่ำเจือด้วยความสนิทสนม
ลมหายใจของหลี่ถิงเฉียดผ่านใบหู เฮ่อหลันฉือหวาดผวาจึงขยับหนีไปด้านข้าง พยายามพูดอย่างใจเย็น “ซื่อจื่อ พวกเราไม่เคยสนทนากันมาก่อน เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น ได้โปรดยกมือปล่อยข้าออกไป”
ผู้ใดจะไปคิดว่าอีกฝ่ายกลับเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่เพียงไม่ขยับไปที่ใด ยังมองหน้านางพลางพูดเสียงอ่อน
“คนที่จวนข้าทำให้เจ้าลำบากใจเช่นนั้นหรือ ข้าจะไม่แต่งกับนาง ข้าจะแต่งกับเจ้าเท่านั้น…” แววตาวาวโรจน์เจือด้วยความคลุ้มคลั่งและหลงใหล “ข้าจะไม่ยอมประนีประนอมใดๆ ข้า…จะไม่รังแกเจ้าเด็ดขาด!”
ประโยคสุดท้ายเขาพูดเสียงหนัก
เฮ่อหลันฉือ “…?”
มีผู้ใดช่วยอธิบายให้นางฟังได้บ้าง
อาจเป็นเพราะสีหน้างงงันของเฮ่อหลันฉือแสดงออกชัดเจน หัวหมูหลี่ถิงที่ยืนอยู่ข้างกายนางจึงหยิบจดหมายรักสีดอกท้อหลายฉบับออกมาจากอกเสื้อแล้วคลี่ออกอย่างทะนุถนอม
“จดหมายพวกนี้เจ้าเขียนให้ข้า ข้าเก็บไว้ติดตัวตลอด…”
เฮ่อหลันฉือเหลือบมองกระดาษแช่ดอกท้อชั้นดีที่นางเสียดายเงินเกินกว่าจะซื้อเหล่านั้นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะจำคนผิด
น้ำเสียงของนางผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ได้เป็นคนเขียน”
หัวหมูหลี่ถิงพูดเอื่อยๆ “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าคงไม่ยอมรับ…”
เฮ่อหลันฉือกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายอับอายจนพานโกรธ จึงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เขียนจดหมายพวกนี้จริงๆ ซื่อจื่อคงจะเข้าใจผิดคนแล้ว”
ลายมือข้าก็ไม่แย่เช่นนั้นด้วย
ว่าแล้วนางก็ดึงประตูอีกครั้ง ทว่าแม้นางจะแสดงความอ่อนโยนเพียงพอแล้วก็ยังกระตุ้นให้อีกฝ่ายเดือดดาลอยู่ดี
หัวหมูหลี่ถิงคว้าข้อมือของนางหมับ พูดอย่างอดทนอดกลั้น “เจ้าคิดจะไปโดยไม่รีรอเช่นนี้น่ะหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากว่าข้าจะมาเจอเจ้าคราวนี้ได้ต้องเสียแรงไปมากเพียงใด! ข้าทิ้งการแต่งงานกับจวิ้นจู่ ถูกทุบตีจนมีสภาพเช่นนี้ แล้วยังเกือบถูกยึดตำแหน่งซื่อจื่อไปอีก ทั้งหมดก็เพื่อเจ้า! ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้ามันเปราะบางถึงเพียงนี้เชียวหรือ!”
เฮ่อหลันฉือ “…”
บนข้อมือขาวราวหิมะปรากฏรอยนิ้วแดงชัดเจน นางพูดหน้านิ่ง “ปล่อยมือ”
“ข้าไม่ปล่อย ไม่ใช่แค่ไม่ปล่อย ข้ายังจะ…” เขาทำท่าจะก้มหน้าลงมา แต่ยังไม่ทันพูดจบเฮ่อหลันฉือก็ยกเข่ากระทุ้งขึ้นไปเต็มแรง
การโจมตีนี้ใช้แรงไปเต็มที่ หัวหมูหลี่ถิงครางโหยหวนทันทีทันใด มือกำต่อไปไม่อยู่ ให้ตายเขาก็คาดไม่ถึงว่าดรุณีผู้บอบบางอ้อนแอ้นดุจนางเซียนตรงหน้าจะใช้วิธีการหยาบกระด้างเพียงนี้ได้
เฮ่อหลันฉือเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าวิชาป้องกันตัวนอกตำราเช่นนี้จะใช้การได้ผล
นางไม่กล้ารีรอแม้แต่เสี้ยวเวลาเดียว รีบดันประตูออกไป
ด้านนอกไม่มีคนอยู่ สามเณรรูปนั้นก็น่าจะถูกหลี่ถิงซื้อตัวมา ถึงได้ส่งนางมายังเรือนปีกที่ไกลหูไกลตาคนเช่นนี้ นางยกชายกระโปรงออกวิ่งไปไม่กี่ก้าวก็ตระหนักว่าเรี่ยวแรงชายหญิงนั้นต่างกัน นางคงวิ่งหนีได้ไม่ไกล อีกทั้งยังไม่รู้ทาง อยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้ไม่ปลอดภัยเสียเลย
เสียงของหลี่ถิงดังขึ้นด้านหลัง
เฮ่อหลันฉือตัดสินใจในชั่วพริบตา ผลักประตูห้องถัดไปของเรือนปีกแล้วเข้าไปหลบในนั้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลี่ถิงที่อดทนกับความเจ็บปวดวิ่งตามออกมาจากในห้อง ไม่นานก็วิ่งออกไปจากลานเรือน
เฮ่อหลันฉือเพิ่งจะระบายลมหายใจ พอหันหลังมาก็ปะทะกับดวงตาดอกท้อที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เด็กหนุ่มสง่างามในชุดเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ประสานมือคำนับอย่างเคารพราวกับตระหนักถึงการเสียมารยาทของตน เนื้อผ้าเบาดุจปุยเมฆพลิ้วขึ้นเบาๆ ในอากาศ ก่อนจะทิ้งตัวลงไปอย่างเงียบเชียบ ด้วยแผ่นหลังตั้งตรงและรูปร่างสูงโปร่ง เขาแสดงอากัปกิริยาเหล่านี้อย่างงดงามและลื่นไหลชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นมารยาทตามแบบฉบับ แต่ล้วนไร้ซึ่งท่าทีอวดดีหรือคร่ำครึ กลับมีลักษณะท่าทางเหมือนบุตรชายขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สง่าผ่าเผยราวกับสายลมและจันทร์กระจ่าง
Comments
