ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 2
ครั้นคำนวณเสร็จเฮ่อหลันฉือก็ถอนใจอย่างอดไม่อยู่ จวนของเรานี่ช่างขัดสนจริงๆ
จวนเล็กขนาดสามลานบ้านหลังปัจจุบันนี้เป็นจวนที่ฮ่องเต้พระราชทานมา เดิมทีฝ่าบาทอยากจะพระราชทานจวนหลังใหญ่กว่านี้ให้ แต่บิดานางคิดว่าพวกเขาทั้งครอบครัวมีแค่สามคน นับรวมบ่าวรับใช้ก็ไม่ถึงสิบ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในจวนหลังใหญ่เพียงนั้น จึงกราบทูลขอจวนขนาดเล็กด้วยตนเอง ฝ่าบาทซาบซึ้งและชมเชยบิดานางยกใหญ่ และมอบป้ายประกาศเกียรติคุณว่า ‘สองมือสะอาด’ ให้บิดานาง ซึ่งป้ายนั้นก็แขวนอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่ในตอนนี้
เฮ่อหลันฉือรู้สึกสับสนทุกครั้งที่เห็นป้ายแผ่นนั้น
แน่นอนว่านางยังคงรู้สึกขอบในความเมตตาของฝ่าบาทเป็นอย่างมาก และหวังอย่างจริงใจให้พระองค์มีอายุยืนยาวร้อยปี หาไม่แล้วด้วยการทำงานที่ล่วงเกินสหายขุนนางชั้นสูงโดยไม่กลัวตายของบิดานางนั้น นางเกรงว่าหากฝ่าบาทจากไป บิดานางก็คงต้องตามไปเช่นกัน
เฮ่อหลันฉือยังขบคิดไม่ทันจบ บิดานางที่จัดการพี่ชายเสร็จแล้วก็มาหาเรื่องนางต่อ
“เจ้ามานี่ซิ”
เฮ่อหลันฉือจำต้องวางสมุดบัญชีแล้วแข็งใจเดินตามบิดาออกไป
นางคาดเดาคำพูดที่บิดาอาจจะพูดอยู่ในหัว รวมถึงว่าตนจะโต้ตอบไปเช่นไร แต่เดินตามระเบียงทางเดินไปจนเกือบสุดระเบียงแล้ว บิดาก็ยังไม่เปิดปากพูด
ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว เงาแสงจากตะเกียงวูบไหวไปมา
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งบิดานางก็ถอนหายใจยาว ดูเหมือนแก่ชรากว่าเดิมหลายปี
“ข้าก็ไม่ได้คาดหวังให้เจ้าไปเกี่ยวดองสร้างสัมพันธ์หรือไต่เต้าหาความมั่งคั่งใดๆ แต่รูปลักษณ์เจ้าเช่นนี้ ต่อให้เป็นชาวบ้านไม่มีความผิด แต่มีหยกกับตัวจึงมีความผิดได้” เฮ่อหลันจิ่นเอ่ยด้วยเสียงทุ้มลึก “วันนี้มีเฉาซื่อจื่อ วันหน้าก็มีจ้าวซื่อจื่อ เฉียนซื่อจื่อ ข้าปกป้องเจ้าไม่ได้ทั้งชีวิต จึงเป็นกังวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…ข้าคิดแล้วว่าแผนรับมือในตอนนี้ ขอเพียงช่วยเจ้าจัดการเรื่องแต่งงานโดยไว ผ่านด่านนี้ไปให้เร็วที่สุด ถึงจะไม่ต้องใส่ใจข่าวลือเหล่านั้นอีก”
เฮ่อหลันฉือเงยหน้าทันที
เฮ่อหลันจิ่นหยุดฝีเท้า พูดขณะไพล่มือไปด้านหลัง “แน่นอนว่าข้าไม่มีทางให้เจ้าแต่งออกไปแบบส่งเดช ต้องเป็นคนดีมีความรู้ความสามารถมากพอถึงจะคู่ควร ในใจข้าก็พอจะมีตัวเลือกอยู่บ้าง…”
เฮ่อหลันฉือพยายามควบคุมตนเองให้ใจเย็น แต่ก็ยังอดถามไม่ได้ “ตัวเลือกใดเจ้าคะ”
ที่นางไม่อยากแต่งงานถึงเพียงนี้ยังมีเหตุผลอื่น
หลังจากนางล้มป่วยครั้งใหญ่ในวัยเยาว์ นางเคยแอบได้ยินหมอพูดกับบิดานางว่าโรคนี้ของนางทำลายสมดุลร่างกาย จำเป็นต้องใช้โอสถราคาแพงบำรุงรักษา ไม่อย่างนั้นเกรงว่าวันหน้าจะมีลูกไม่ราบรื่น ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ยากที่นางจะห้ามสามีรับอนุภรรยา
“เรื่องแต่งงานเดิมเป็นคำสั่งของบิดามารดาและวาจาของแม่สื่อ ข้าไม่ควรพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า…แต่เจ้าขาดมารดามาแต่เล็กแต่น้อย ข้าเองก็ไม่อยากแต่งงานใหม่ จึงทำให้หลายเรื่องไม่มีคนสั่งสอนเจ้า ไม่มีผู้ใดคอยพะวงดูแลเจ้า ข้ากลัวว่าหากเผลอละเลยไป เจ้าจะไปแต่งงานกับคนไม่ดี เรื่องฐานะครอบครัวเป็นลำดับรอง สิ่งสำคัญคือคนผู้นั้นต้องรักความก้าวหน้า อีกทั้งจริงใจต่อเจ้า” เฮ่อหลันจิ่นกล่าวถ้อยคำยืดยาวนี้จบจึงค่อยลูบเครากล่าวว่า “เจ้าคิดว่าคุณชายรองของใต้เท้าจางกรมอากรเป็นอย่างไร ปีก่อนเขาเคยเอ่ยกับข้าไว้”
บิดานางไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพรรค์นี้เลย
เฮ่อหลันฉือเริ่มระลึกเรื่องเก่าทันที “ได้ยินว่าเขาชอบไปเที่ยวหอคณิกาบ่อยๆ ทั้งยังมีสาวใช้ห้องข้าง ที่รักใคร่อย่างมาก…”
“ถ้าอย่างนั้นบุตรชายของใต้เท้าจ้าวกรมพิธีการ…”
“ได้ข่าวว่าเขานิสัยก้าวร้าวนัก เอะอะก็ด่าว่าบ่าวรับใช้” เฮ่อหลันฉือว่า
“เช่นนั้น…”
“ประพฤติมิชอบ เป็นคนเจ้าชู้”
“แล้ว…”
“อายุมากเกินไป”
เฮ่อหลันจิ่นพูดออกมากี่คนต่อกี่คนก็ถูกบุตรสาวปฏิเสธไปทั้งหมด เขาเป่าเคราเหลือกตาอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นบุตรชายใต้เท้าหลินจากกองพิธีบวงสรวงเป็นอย่างไร”
ครั้นพูดถึงหลินจาง เฮ่อหลันฉือชะงักไปนิดหนึ่ง หาข้อบกพร่องอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ
อีกฝ่ายเป็นวิญญูชนอย่างแท้จริง ประพฤติตนอยู่ในทำนองคลองธรรม กำเนิดจากครอบครัวบัณฑิตหลายชั่วรุ่น ความรู้ความสามารถใช้ได้ อายุอานามใกล้เคียงกับนาง ไม่เคยได้ยินข่าวลือว่ามีนิสัยไม่ดีไม่งามอะไร ปัญหาเดียวที่มีก็อาจจะเป็นว่าเขาถ่อมตนเกินไปหน่อย เจอนางทีไรก็หน้าแดง แต่นี่ไม่นับเป็นข้อบกพร่อง
นางไม่อาจบอกบิดาไปตามตรงว่านางไม่อยากแต่งงาน
เฮ่อหลันจิ่นเห็นนางไม่มีถ้อยคำปฏิเสธในที่สุดจึงลูบเครายาวพลางพูดรวบรัด “ในเมื่อเจ้าไม่มีความเห็นอื่น พรุ่งนี้ข้าจะให้พี่ชายเจ้าเรียกเซ่าเยี่ยนมาที่จวน บอกว่ามาประลองความรู้ ข้าจะถามเขาเป็นการส่วนตัว หากว่าเขาเห็นพ้อง ข้าจะให้คนส่งจดหมายไปที่จวนใต้เท้าหลิน”
ยามค่ำคืนเฮ่อหลันฉือตั้งสมาธิระหว่างอ่านหนังสือไม่ได้เพราะเรื่องนี้
นางไม่เคยมีความรู้สึกฉันชู้สาวอะไรกับหลินจางมาก่อน ต่างคนต่างก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเท่าไรนัก แต่หากจะต้องแต่งงานจริงๆ อีกฝ่ายก็จัดว่าเป็นตัวเลือกดีที่สุดในขอบเขตที่นางยอมรับได้ สกุลหลินเป็นครอบครัวที่รักษาจารีตประเพณี ชื่อเสียงสะอาดมาหลายชั่วรุ่น บิดาและน้าชายของหลินจางล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก อีกทั้งยังมีธรรมเนียมนิยมในครอบครัวว่าหากภรรยาอายุสี่สิบแล้วยังไม่มีบุตรถึงค่อยรับอนุภรรยา ซึ่งถือว่าเข้ากันได้กับเฮ่อหลันฉือเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่…
นางรู้สึกว่าตนเองกังวลในเรื่องที่เกินความจำเป็น เพราะต่อให้บิดาต้องการให้นางออกเรือน ก็ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการแต่งด้วย
ใช่ว่าเฮ่อหลันฉือไม่มั่นใจในรูปโฉมของตนเอง ตรงกันข้ามใบหน้านางโดดเด่นเกินไป ง่ายต่อการดึงดูดภัยเข้าหาตัว หลายคนที่ค่อนข้างเข้มงวดถึงกับมองว่ามิใช่คู่ครองที่ดีด้วยซ้ำ พวกเขามักชมชอบสตรีที่บริสุทธิ์ซื่อตรง รูปโฉมสะอาดสะอ้านเรียบง่ายมากกว่า
เฮ่อหลันฉือวางข้อศอกเท้าโต๊ะ พลิกหน้าหนังสือเบาๆ แขนเสื้อเลื่อนไหลลงเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อมือขาวส่วนหนึ่งที่ดูราวก่อหิมะถมหยก
เงาเทียนส่ายไหว หญิงงามใต้แสงตะเกียงยิ่งดูไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม
ซวงจือสาวใช้เหม่อมองอยู่ครู่หนึ่ง ถึงค่อยพูดขึ้นมาเป็นเชิงโน้มน้าว “คุณหนู บ่าวว่าคุณชายหลินต้องมีใจให้ท่านแน่ ทุกครั้งที่เขามาที่จวน แค่เห็นท่านอยู่ไกลๆ ก็หน้าแดงไปถึงใบหู…”
เฮ่อหลันฉือหัวเราะ อยากถามว่าหากนางไม่ได้หน้าตาเช่นนี้ ฝ่ายนั้นเคยสนทนาด้วยเพียงไม่กี่คำก็จะมีใจให้นางเสียแล้วหรือ
แต่คำถามนี้ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่หาเรื่องปวดหัวให้ตนเองเท่านั้น
ในที่สุดก่อนเข้านอนนางก็นึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้เหมือนจะเป็นวันประกาศผลสอบขุนนางแล้ว หลินจางอาจมาไม่ได้
Comments
