ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 3
บทที่ 3 เห็นใจในชะตาเดียวกัน
สุดท้ายแล้วหลังคาของจวนเฮ่อหลันก็ต้องจ้างช่างก่อสร้างมาซ่อมแซมอยู่ดี เฮ่อหลันฉือมองดูบัญชีรายจ่ายด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม ตัดสินใจว่าคราวหน้าจะลองทำใหม่อีกครั้ง
หลังคาเพิ่งจะซ่อมเสร็จก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือนที่หน้าประตู
ขบวนรถม้าของผู้สูงศักดิ์จอดที่หน้าประตูจวนอย่างเอิกเกริก แต่ถูกคนเฝ้าประตูขวางไว้ด้านนอก
“พวกท่านยังมาทำอะไรอีก!”
จวนขนาดสามลานบ้านของสกุลเฮ่อหลันมีขนาดเล็กจนน่าแปลกใจ จากประตูใหญ่ถึงประตูชั้นในห่างกันเพียงสองก้าว ดังนั้นเฮ่อหลันฉือแค่หันไปก็เห็นเงาคนที่ค่อนข้างคุ้นตานำอยู่หน้าสุด…ซึ่งก็คือที่ปรึกษาของจวนเฉากั๋วกงซึ่งเคยมาที่จวนนี้แล้วนางคิดว่าเขามาบอกให้นางอย่าคิดฝันเฟื่องนั่นเอง
ยามนี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะเอ่ยว่า “วันนี้พวกข้ามาขอขมาใต้เท้าเฮ่อหลันกับคุณหนูเฮ่อหลัน วันก่อนทางจวนเราล่วงเกินไปมาก ยามนี้กั๋วกงผู้เฒ่าสั่งสอนซื่อจื่ออย่างเข้มงวดแล้ว จะไม่มาเสียมารยาทต่อคุณหนูของจวนท่านอีกเป็นอันขาด วันนี้กั๋วกงผู้เฒ่าสั่งให้ซื่อจื่อเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาชดใช้ความผิดโดยเฉพาะ”
คนเฝ้าประตูพูดอย่างไม่เกรงใจ “ตอนนี้นายท่านไม่อยู่ พวกท่านกลับไปก่อนเถิด!”
“ไม่เป็นไรๆ คุณหนูเฮ่อหลันอยู่ก็เหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้พวกข้าได้มอบของขวัญก่อนเถิด”
เฮ่อหลันฉือคิดในใจ ดูท่าทางเรื่องราวคงจะใหญ่โตจริงๆ จนเดือดร้อนไปถึงเฉากั๋วกง จวนกั๋วกงถึงได้ยอมเสียหน้าเข้ามาขอโทษขอโพยเช่นนี้
ถึงอย่างไรพวกขุนนางที่สืบยศศักดิ์มาจากบรรพบุรุษเหล่านี้ก็ให้ความสำคัญต่อหน้าตาเป็นอย่างยิ่ง แม้ตกระกำลำบากก็ไม่ยอมก้มศีรษะ
หากเป็นขุนนางธรรมดาทั่วไปย่อมไม่ผูกพยาบาทกับพวกชนชั้นสูงแน่ แต่พวกเขาทำให้เรื่องใหญ่โตถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต่างอะไรกับการหักหน้ากันโดยสิ้นเชิง
เฮ่อหลันฉือสั่งซวงจือสาวใช้ทันที “ปิดประตูจวน เชิญพวกเขากลับไป”
นางเพิ่งหันตัวไป เสียงของหลี่ถิงก็ดังขึ้นด้านหลัง
“คุณหนูเฮ่อหลัน วันนี้ข้ามากล่าวขออภัยจากใจจริง วันนั้นข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ข้าไม่มีเจตนาจะล่วงเกินเจ้าแม้แต่น้อย”
หากว่ากันอย่างเป็นธรรม เสียงนี้นับว่าสำรวมและจริงใจอยู่เหมือนกัน แต่เสียดายที่ยามนี้เฮ่อหลันฉือได้ยินเสียงเขาแล้วกลับรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
“คุณหนูเฮ่อหลัน ใจคอเจ้าจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ อดีตเหล่านั้นของเราคืออะไร…”
เฮ่อหลันฉือชะงักฝีเท้า ความโกรธพวยพุ่ง
นี่เห็นว่าไม่มีหวังจะเจรจา เลยตั้งใจจะมาทำลายชื่อเสียงของข้าให้สิ้นซากไปอย่างนั้นหรือ
นางรู้ว่าชื่อเสียงของนางไม่ดีงามก็จริง แต่หากมีคนจงใจป้ายสีนางย่อมเป็นอีกเรื่อง
ซวงจือพูดอย่างอดโมโหไม่ได้ “เขาพ่นวาจาเหลวไหลอันใด! คุณหนูเคยไปเกี่ยวพันกับเขาสักนิดที่ใดกัน”
เฮ่อหลันเจี่ยนวิ่งออกมาหลังทราบข่าว พอได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ถิงก็เดือดดาล
เขาโยนพัดทิ้งแล้วออกไปตวาดโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “เจ้าสารเลวพล่ามอะไรออกมา! น้องสาวข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับลูกเศรษฐีเช่นเจ้าได้อย่างไร ล้างปากให้สะอาดหน่อยเถอะ! ระวังข้าจะสั่งสอน!”
ที่ปรึกษาของจวนเฉากั๋วกงเข้ามาขวางเบื้องหน้าเขาแล้วยิ้มเป็นเชิงขออภัย “คุณชายเฮ่อหลันอย่าเพิ่งโกรธ ซื่อจื่อของเราแค่อารมณ์ร้อนไปชั่วขณะถึงได้เผลอพูดไป…ซื่อจื่อไม่มีเจตนาร้าย…”
ด้านนอกจวนเฮ่อหลันมีคนกระจายข่าวคอยปักหลักอยู่เสมอ
ตั้งแต่ขบวนรถม้าของจวนเฉากั๋วกงมาถึงก็มีคนสอดรู้มามุงดูจำนวนไม่น้อย พอได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดก็เริ่มกระดิกลิ้นพ่นถ้อยคำนินทาทันที คนลือกันว่าซื่อจื่อของเฉากั๋วกงกับคุณหนูเฮ่อหลันลักลอบพบกันมานานแล้ว แต่ตลอดมาไม่มีหลักฐาน ยามนี้ยังมีสิ่งใดน่าเชื่อถือไปกว่าคนในยอมรับกับปากตนเองอีกเล่า
“…คุณหนูเฮ่อหลันเป็นหญิงใจดำจริงๆ”
“มิน่าเล่าก่อนนี้ซื่อจื่อถึงได้ยอมทำลายงานแต่งโดยไม่สนใจผู้ใด เพื่อให้ได้…”
“ให้ความจริงใจไปเสียเปล่าแล้ว!”
“นึกไม่ถึงเลย…”
หลี่ถิงยังคงเพิ่มน้ำมันเติมน้ำส้มอย่างไม่กลัวตาย “แต่ละถ้อยคำของข้าล้วนพูดมาจากใจ ในเมื่อคุณหนูเฮ่อหลันไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”
นี่หรือมาขออภัยซึ่งหน้า มาหาเรื่องถึงที่ชัดๆ
งานแต่งของหลี่ถิงพังไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดจะลากนางให้ลงหลุมไปด้วยกัน บิดานางยังเพิ่งถูกเรียกไปเข้าเฝ้าด้วย
เฮ่อหลันฉือใคร่ครวญเพียงชั่วอึดใจก็พูดอย่างเฉียบขาด “ซวงจือ เจ้าให้คนไปหยิบป้ายของท่านพ่อ ไม่สิ ของพี่หญิงเหยา ไปเชิญคนของกองปราบปรามเหนือมาที” พูดจบนางก็ก้าวยาวๆ ไปทางหน้าประตูด้วยแววตาเย็นชาราวน้ำค้างแข็ง ไม่แม้แต่จะสวมหมวกม่าน
เมื่อบานประตูของจวนเฮ่อหลันเปิดออกกว้าง ดวงหน้าของเด็กสาวก็เปิดเผยสู่ครรลองสายตาของทุกผู้คนโดยไร้สิ่งปิดบังอำพราง
คนที่ยังพูดคุยอยู่ต่างปิดปากเงียบไปตามๆ กัน
ไม่มีผู้ใดสั่งให้พวกเขาหุบปาก เพียงแต่เมื่อเห็นโฉมหน้านั้นชัดเต็มตา ผู้คนจำนวนมากต่างก็ลืมโดยพร้อมเพรียงกันว่าเมื่อครู่กำลังพูดอะไร กลัวว่าหากส่งเสียงกะทันหันจะไปรบกวนความงดงามราวภาพมายาเช่นนี้เข้า
…ทว่าคนแรกที่ทำลายความเงียบนี้กลับเป็นตัวเฮ่อหลันฉือเอง
“ซื่อจื่อ ข้ากับท่านไม่เคยพบกันเป็นการส่วนตัวเลยแม้แต่เสี้ยวเวลา ท่านทำร้ายข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านบอกว่าพวกเรามีความหลังต่อกัน มีหลักฐานหรือไม่”
น้ำเสียงนางนุ่มนวลเยือกเย็นดุจไข่มุกหล่นลงจานหยก ไพเราะเสนาะหูยิ่ง กล่อมให้คนฟังเคลิบเคลิ้ม แต่ระหว่างเอ่ยวาจากลับฉายความเย็นชาที่ทำให้คนยากมองข้าม
ถ้าบิดานางอยู่ย่อมไม่ยอมให้นางเผยตัวออกมาเผชิญหน้าเองเช่นนี้แน่ แต่นางทนมามากพอแล้ว
หลี่ถิงเหม่อมองเฮ่อหลันฉืออยู่พักใหญ่
ผ่านไปหลายวันใบหน้าเขาไม่ค่อยบวมช้ำเท่าไรแล้ว ยังพอมองเห็นความสง่างามเช่นเมื่อก่อนอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่เบื้องนอกหุ้มด้วยหยกทอง ภายในมีแต่ไส้สำลี
ไม่สิ…เฮ่อหลันฉือนึกถึงใครบางคนขึ้นมา ในใจคิดว่าหลี่ถิงผู้นี้ถือว่าภายนอกหุ้มด้วยหยกทองหรือไม่ยังต้องรอพิจารณาอีกที
เวลานี้หลี่ถิงได้สติแล้ว เขาล้วงจดหมายที่วันนั้นให้เฮ่อหลันฉือดูที่วัดเจวี๋ยเยวี่ยออกมาจากอกเสื้อโดยไม่แม้แต่จะคิด โบกไปมาพลางพูด
“คุณหนูเขียนจดหมายด้วยตนเอง ยังจะแก้ตัวอีกหรือ”
เฮ่อหลันฉือพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “มีแค่นี้หรือ”
หลี่ถิงย้อนถาม “แค่นี้ไม่พอหรือไร”
เฮ่อหลันฉือสีหน้าราบเรียบ สั่งบ่าวรับใช้ “เอาโต๊ะกับเครื่องเขียนมา”
เฮ่อหลันเจี่ยนที่อยู่ด้านข้างทำสีหน้ากระวนกระวายฉับพลัน ยื่นหน้าเข้ามากระซิบ “เจ้าจะเขียนจริงๆ หรือ…”
“ไม่อย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร”
“ถ้าอย่างไรก็…”
เฮ่อหลันฉือชำเลืองมองเขานิ่งๆ ด้วยหางตา
เฮ่อหลันเจี่ยนได้แต่หุบปาก
Comments
