ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 3
ไม่นานโต๊ะก็ถูกยกออกมา ทั้งพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกล้วนเตรียมพร้อม
คนที่มามุงดูหน้าประตูมีมากขึ้นเรื่อยๆ
เฮ่อหลันฉือให้หลี่ถิงวางจดหมายรักลงบนโต๊ะ
นางหยิบพู่กัน เลือกพู่กันขนตัดอย่างพิถีพิถัน จุ่มน้ำหมึกดำ ปาดปลายพู่กันข้างที่ฝนหมึกเบาๆ ก่อนจะตั้งสมาธิลงมือเขียน
เด็กสาวเกล้าผมเป็นมวยหัวใจดอกท้อ เส้นผมยาวดำขลับเคลียผ่านลำคอขาวเนียนปานหยกและทิ้งตัวลงที่หน้าสาบเสื้อประหนึ่งน้ำไหล เรียวนิ้วบางราวต้นหอมรวบแขนเสื้อไว้ มืออีกข้างยกพู่กันตั้งขยับข้อมือ ขนแพะชุ่มหมึกวาดเส้นเป็นตัวอักษร รอยหมึกปรากฏโฉมโดยไม่สงวนท่าทีตามหลังปลายพู่กันอันทรงพลัง ทุกหนแห่งที่ลากถึงประหนึ่งมังกรเขียวลงสมุทร ดุจมังกรบินร่อนนภา แต่ละเส้นแต่ละขีดกรีดกระดาษหนักแน่น แฝงจิตวิญญาณพิฆาตคน ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นต่างก็ต้องชื่นชมว่าเป็นตัวอักษรที่ดี
ผ่านไปอึดใจหนึ่งเฮ่อหลันฉือก็วางพู่กัน นางหยิบจดหมายรักแผ่นนั้นและกระดาษที่ตนเองเพิ่งเขียนขึ้นมาชูพร้อมกันเบื้องหน้าแล้วพูดอย่างสงบนิ่ง
“ซื่อจื่อ นี่ต่างหากลายมือของข้า ท่านดู มีจุดใดคล้ายคลึงกันสักครึ่งส่วนหรือไม่”
บนจดหมายรักเป็นอักษรตัวบรรจงขนาดเล็กที่สุดแสนธรรมดา ฝีพู่กันออกจะดูเหมือนเด็กด้วยซ้ำ แต่บนกระดาษของเฮ่อหลันฉือเป็นลายมือแบบเหยียนถี่* ที่อยู่ในขั้นต้น ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจว่าเป็นลายมือคนเดียวกันโดยเด็ดขาด
หลี่ถิงโซเซไปเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือสั่งให้คนนำกระดาษกับจดหมายรักไปให้ผู้คนดูโดยทั่วกัน
ต่อให้ไม่รู้หนังสือก็สามารถมองออกถึงความแตกต่าง
หลี่ถิงทำสีหน้าลนลาน ยังพยายามดิ้นรน “อาจจะ…อาจจะ…เจ้าอาจจะให้สาวใช้เขียนก็ได้…”
เฮ่อหลันฉือพูด “ท่านจะให้สาวใช้ของข้าเขียนให้ดูด้วยหรือไม่ หรือจะให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดในจวนข้ามาเขียนเทียบลายมือกับจดหมายรักของท่าน? ซวงจือ ไปหยิบพู่กันมา”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้น้ำเสียงของเด็กสาวนุ่มนวลอ่อนช้อย ไม่แฝงความขุ่นมัว แต่หลี่ถิงกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ยากอธิบายซึ่งขัดกับรูปลักษณ์ของนางโดยสิ้นเชิง ชั่วขณะนั้นเขาพลันรู้สึกว่านางเหมือนคนแปลกหน้า
หลี่ถิงพยายามเค้นสมองหาจุดน่าสงสัยให้ได้ “แต่…ลายมือของเจ้ากับของคุณชายเฮ่อหลัน…”
“ข้ากับพี่ชายเรียนหนังสือมาด้วยกัน ลายมือเหมือนกันมีอะไรแปลก”
เฮ่อหลันเจี่ยนที่อยู่ด้านข้างอดปาดเหงื่อบนหน้าผากไม่ได้
แต่เหงื่อของหลี่ถิงยังแตกพลั่กยิ่งกว่า เขาพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าหลอกข้า…”
เฮ่อหลันฉือโยนจดหมายรักกลับไปใส่ตัวหลี่ถิงทั้งหมด รู้สึกว่าได้ปลดปล่อยอารมณ์เสียที น้ำเสียงจึงยิ่งสงบนิ่งกว่าเดิม
“ซื่อจื่อมีสัญญาแต่งงานอยู่แล้ว แต่กลับลักลอบคบหากับหญิงอื่น ส่งจดหมายรักถึงกัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย แต่ซื่อจื่อกลับดึงดันจะผลักเรื่องนี้มาให้ข้า ช่างเหลวไหลสิ้นดี ส่วนของขวัญขอขมานั้นเชิญซื่อจื่อนำกลับไปเสียเถิด หวังว่าวันหน้าซื่อจื่อจะไม่มารบกวนความสงบของจวนเราอีก”
ซวงจือยื่นหน้ามาจากข้างหลัง ชูลายมือที่เพิ่งเขียนเสร็จขึ้นมาแล้วพูดเสียงเยาะว่า “เห็นชัดแล้วหรือไม่ อย่าคิดเข้าข้างตนเองเจ้าค่ะ!”
คราวนี้ผู้คนที่มุงดูอยู่ต่างก็เข้าใจแล้ว
“ที่แท้ซื่อจื่อเข้าใจผิดไปเองหรือ! ทั้งยังมากล่าวโทษคุณหนูเฮ่อหลัน…”
“อาจถูกคนกลั่นแกล้งก็เป็นได้ ทำให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โตโดยใช่เหตุ”
“ว่าไปแล้วจดหมายนั่นก็ไม่ได้เขียนชื่อสักหน่อย จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดเขียน!”
“จริงด้วย! คุณหนูเฮ่อหลันต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ช่างโชคร้ายจริงๆ…”
หลี่ถิงร่างกายซวนเซ ใบหน้าซีดเผือด ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก
องครักษ์เสื้อแพรจากกองปราบปรามเหนือมาถึงแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดมามุงอยู่หน้าจวนใต้เท้าเฮ่อหลันเช่นนี้! ผู้ใดมาสร้างความวุ่นวาย!”
คนของจวนเฉากั๋วกงต่อให้ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินอย่างไร เมื่อเจอกับดาวพิฆาตกลุ่มนี้แล้วก็ยังขยาด ไม่กล้าโต้เถียงต่อ ยกขบวนกลับไปแต่โดยดี
ไม่ผิดจากที่เฮ่อหลันฉือคาดไว้ หลังจากบิดานางกลับมาและทราบเรื่องก็เดือดดาลปานสายฟ้าฟาด พูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยถ้อยคำแบบเดิมๆ
“เจ้าเป็นสาวเป็นแส้ ออกไปโผล่หน้าส่งเดชอย่างนั้นไม่เหมาะสม ทั้งยังไปต่อปากต่อคำกับผู้อื่นเหมือนหญิงปากร้ายได้อย่างไร! เจ้าน่าจะรอให้ข้ากลับมาก่อน ข้าต้องช่วยเจ้าเอาคืนด้วยวิถีทางที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมแน่นอน เหตุใดเจ้าต้องออกหน้าด้วยตนเอง นี่ใช่ลักษณะที่กุลสตรีควรเป็นเสียที่ใด! นิสัยเปิดเผยมากเกินไปจะถูกคนนินทาว่าร้ายเอาง่ายๆ วันหน้าอาจทำให้บ้านแม่สามีไม่พอใจ เกิดความไม่ลงรอยในชีวิตสมรส…” พูดถึงตรงนี้เฮ่อหลันจิ่นก็ถอนหายใจยาว “อย่างไรเสียก็ควรจัดการเรื่องแต่งงานให้เจ้าโดยเร็ว เจ้ารู้หรือไม่ว่า…” คำพูดของเขาขาดช่วงไปกะทันหัน
เฮ่อหลันฉือสังเกตเห็นความผิดปกติอย่างว่องไว “ท่านพ่อ เข้าวังไปแล้วเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เจ้าคะ”
“แค่เรื่องเกี่ยวกับงานหลวงเท่านั้น” น้ำเสียงของเฮ่อหลันจิ่นเปลี่ยนไป “อีกไม่นานคำสั่งลงโทษซื่อจื่อของเฉากั๋วกงก็คงจะลงมา โทษคราวนี้น่าจะไม่เล็ก เพื่อป้องกันข่าวลือ เจ้าควรออกเรือนไปโดยเร็วที่สุดน่าจะเป็นการดี”
เฮ่อหลันฉือกัดริมฝีปาก นิ่งเงียบไป
เฮ่อหลันจิ่นมองดูบุตรสาวที่ทำตัวแข็งข้อขึ้นทุกวันนับตั้งแต่กลับมาจากบ้านเกิดในชิงโจวแล้วทอดถอนใจในอกอย่างอ่อนใจ
เขาเล่าออกไปครึ่งหนึ่ง และเก็บซ่อนไว้ครึ่งหนึ่ง
ข้อที่ทำให้เขาไม่สบายใจจริงๆ ก็คือเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเกินไป คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับรูปโฉมของเฮ่อหลันฉือที่เคยเล่าลือกันแค่ภายในกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด ครั้งนี้กลับแตกตื่นไปถึงวังหลวง
ถ้อยคำกึ่งสัพยอกขององค์ชายรองที่หน้าประตูวังยังคงทำให้เขาหวาดหวั่นจนถึงบัดนี้
‘ใต้เท้าเฮ่อหลัน ได้ยินว่าบุตรสาวท่านรูปโฉมงามล้ำเหนือผู้ใด แทบจะงามล่มเมืองก็ว่าได้ ไม่ทราบว่าจริงเท็จประการใดหรือ’
Comments
