ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 3
ส่วนพี่ชายนางเฮ่อหลันเจี่ยนก็ไปติดหนี้ก้อนใหญ่เข้าเพราะเหตุอันใดไม่ทราบได้
สถานการณ์ในจวนเฮ่อหลันปั่นป่วนในชั่วข้ามคืน
แล้วตัวนางในฝันนั้นก็รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลได้ จึงไปขอไหว้วานลูกศิษย์ลูกหาเก่าๆ ของบิดาให้ช่วยหาทางหนี จากนั้นก็เก็บข้าวของเดินทางออกจากเมืองหลวงกลับบ้านเกิดในช่วงกลางคืน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตงฉ่าง ขวางไว้ระหว่างทางและขังนางอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งในชานเมือง
ตกกลางคืนมีใครคนหนึ่งเข้ามาในบ้าน
หลังจากนั้นก็เป็นฉากสุดท้ายที่เห็น แต่น่าเจ็บใจนักที่นางดันตื่นขึ้นมาจังหวะนี้พอดี! ยังไม่ทันเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจนด้วยซ้ำ จำได้แต่เสียงเหมือนกับอสรพิษขู่ฟ่อที่พูดประโยคสุดท้ายนั้น
ความฝันนี้สมจริงอย่างยิ่ง ทุกรายละเอียดยังคงแจ่มชัดอยู่ในสมอง รวมไปถึงความรู้สึกตอนที่นางส่งบิดาออกจากเมือง ตอนที่นางได้รับข่าวว่าบิดาถูกปลดจากตำแหน่งและติดคุก และตอนที่ได้เผชิญกับความเปลี่ยนผันของผู้คนและสังคมแวดล้อมภายในบ้านที่เปล่าเปลี่ยว ยังมีตอนที่แม่สื่อใช้เรื่องของบิดานางมาบีบคั้นข่มขู่อย่างเปิดเผย ให้นางไปเป็นภรรยาคนที่สองหรืออนุภรรยาของชนชั้นสูงเพื่อช่วยบิดา ในฝันแม้แต่สีหน้าไม่ประสงค์ดีบนใบหน้าของหญิงมีอายุคนนั้นนางยังมองเห็นชัดเต็มตา แต่ละสิ่งแต่ละอย่างเรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ
และตอนสุดท้ายที่นางเร่งเดินทางยามค่ำคืนแต่ถูกจับและกักตัวไว้ ความรู้สึกอันรุนแรงที่ได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นกระทำตามใจชอบ ประหนึ่ง ‘คนอื่นคือมีด เราคือปลาบนเขียง’ เช่นนั้นทำให้นางหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
เมื่อสติสัมปชัญญะชัดเจนขึ้น ภาพทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้วงฝันก็เริ่มเลือนรางไป
เฮ่อหลันฉือไม่สนใจอาการปวดศีรษะ ลงจากเตียงแล้วไปคว้าพู่กันจดบันทึกรายละเอียดที่ยังพอจำได้
“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่…”
เฮ่อหลันฉือวางพู่กันเมื่อเขียนเสร็จ นางระบายลมหายใจแล้วกล่าวกับซวงจือว่า “ไม่มีอะไร ไม่ต้องเป็นห่วง” นางนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยสั่ง “ซวงจือ เจ้าออกไปก่อน ข้าอยากอยู่คนเดียวสักครู่”
นางใคร่ครวญถึงความฝันนี้อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนถึงตอนท้าย
แม้ว่าความฝันโดยมากจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่หากมันมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริงสักหนึ่งในหมื่นส่วนเล่า ยิ่งไปกว่านั้นความฝันของนางยังละเอียดถึงเพียงนี้
หลังจากคิดซ้ำไปซ้ำมานางก็ตัดสินใจว่าวันรุ่งขึ้นจะออกไปดูที่นอกเมืองเสียหน่อย
เฮ่อหลันฉือจำได้ว่าบ้านที่ขังนางหลังนั้นมีป่าท้ออยู่ด้านนอก บนป้ายหน้าประตูเขียนไว้ว่า ‘สวนจั้ง’ ทั้งยังแปะบทกลอนเหนือประตูแผ่นหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเลียนแบบอักษรของหวังไคว่จี แต่ในฝันนั้นนางเพียงแค่ชำเลืองมอง นึกย้อนกลับไปตอนนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้ว
ทว่าเช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่เฮ่อหลันฉือจะออกจากจวนซวงจือก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น
“คุณหนู! คุณหนู! ข้างนอก…ข้างนอกมีคนจากในวังมา แจ้งว่าให้คุณหนูเข้าวังเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันฉือนั่งบนเกี้ยวที่เดินทางเข้าวังด้วยความรู้สึกฉงน
แม้บิดานางจะเป็นขุนนางขั้นสองระดับเอก มีสิทธิ์พาสตรีในครอบครัวไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้ แต่เฮ่อหลันฉือไม่เคยไปเลยสักครั้งเดียว อีกอย่างนางก็มิใช่สตรีมีบรรดาศักดิ์ ไม่มีญาติอยู่ในตำหนักใน จู่ๆ ถูกเรียกเข้าเฝ้าก็ออกจะน่าแปลกอย่างยิ่ง
ขันทีด้านนอกเกี้ยวพูดเสียงเล็ก “คุณหนูเฮ่อหลันไม่ต้องกังวล นี่เป็นเรื่องมงคล”
เฮ่อหลันฉือฝืนหัวเราะ ไม่ตอบอะไร
เป็นเพราะความฝันเมื่อคืนนี้ นางจึงรู้สึกสังหรณ์ใจราวกับพายุใหญ่กำลังจะมาเยือน
เมื่อเกี้ยวเคลื่อนมาถึงหน้าวังหลวงก็จำต้องเปลี่ยนเป็นลงเดิน
ดวงตะวันโผล่ขึ้นทางบูรพาทิศ แสงอรุโณทัยส่องสว่าง ฟ้ายังไม่เปิดเต็มที่ ทางเข้าวังก็จุดโคมไฟสว่างไสวอยู่แล้ว
โคมสีแดงแขวนอยู่บนหอประตูเมือง มองเห็นโคมไฟที่ส่ายไหวได้ทุกหนแห่งตามเส้นทาง เสียงขึ้นลงรถม้าและเกี้ยวดังไม่หยุดหย่อน ความชื้นจากน้ำค้างยามเช้าในอากาศดูเหมือนว่าจะยังไม่สลายไป
เฮ่อหลันฉือลงจากเกี้ยว แลเห็นบัณฑิตกลุ่มใหญ่สวมชุดสำหรับจิ้นซื่อยืนออกันอยู่หน้าประตูวัง พวกเขาสวมหมวกแพรโปร่ง* ประดับด้วยดอกผ้าสักหลาดและใบเขียว มีปีกหมวกยื่นออกไปสองข้างผูกแถบผ้าปลิวไสว แขนยาวของเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มพลิ้วไปตามลม แต่ละคนสวมชุดสำหรับจิ้นซื่อก่อนเข้ารับตำแหน่ง ดุจต้นหยกสง่างามกลางสายลม
นางเพิ่งนึกได้ว่าการสอบหน้าพระที่นั่งจบลงไปแล้ว วันนี้เหมือนจะเป็นพิธีประกาศรายชื่อหน้าพระที่นั่ง ดังนั้นบิดานางจึงเข้าวังมาตั้งแต่เช้ามืด
เฮ่อหลันฉือเหลือบมองไปโดยไม่ตั้งใจ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดนั้นก็คล้ายจะสังเกตเห็นได้ เขาเงยหน้าขึ้นมา สบประสานสายตากันพอดิบพอดี
เมื่อก่อนยามเฮ่อหลันฉือเจอเขามักจะรู้สึกรำคาญใจเสมอ แต่คราวนี้ได้เห็นหน้าคนคุ้นเคยกัน นางกลับบังเกิดความรู้สึกสนิทชิดเชื้อขึ้นมาหลายส่วน เหมือนฝ่าเท้าที่เหยียบบนความว่างเปล่าไปครึ่งเท้าได้กลับมายืนบนพื้นมั่นคงในที่สุด…อีกอย่างในฝันนั้นลู่อู๋โยวก็ไม่ได้มาซ้ำเติมนางด้วย
คิดๆ ไปเฮ่อหลันฉือก็แย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
รอยยิ้มนี้ช่างเหมือนดั่งสายลมยามวสันต์ที่อุ่นขึ้น น้ำแข็งหิมะละลาย ม่านหมอกสลัวราง แสงโคมที่ส่องสว่างในยามอรุณรุ่งสะท้อนอยู่ในดวงตากระจ่างใสของนาง ช่างงดงามพร่างพราวดั่งหมอกเมฆ เป็นเอกเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
หมู่บัณฑิตต่างตะลึงงัน จนกระทั่งเฮ่อหลันฉือเดินจากไป
แทบจะในเวลาเดียวกับที่พวกเขาได้สติ สายตาร้อนแรงหลายสิบคู่ที่เพิ่งจับบนตัวเฮ่อหลันฉือเมื่อครู่ก็หันกลับมาที่ลู่อู๋โยวโดยพลัน
ลู่อู๋โยว “…”
“เมื่อครู่นี้คุณหนูเฮ่อหลันยิ้มให้พี่จี้อันใช่หรือไม่”
“ทั้งยังยิ้มเช่นนั้นด้วย…”
ใครบางคนพูดอย่างอิจฉาทันที “ไม่นึกเลยว่าลู่ฮุ่ยหยวนจะโด่งดังไปทั่วเมืองหลวงเช่นนี้ ขนาดคุณหนูเฮ่อหลันก็ยังหวั่นไหวกับเจ้า…”
“จี้อัน เจ้าคงไม่ได้มีบางอย่างกับคุณหนูเฮ่อหลันจริงๆ กระมัง…”
“ตั้งแต่เมื่อไร! หรือว่าเจ้าปิดบังพวกข้า?”
แม้แต่หลินจางก็ยังมองมาที่เขาด้วยสายตาสงสัยและเต็มไปด้วยคำถาม
ลู่อู๋โยวมองดูแผ่นหลังเย็นชาไร้เยื่อใยของดรุณีที่ส่งยิ้มแล้วจากไป รู้สึกโมโหจนเกือบจะหัวเราะ
เขานึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยดีบางอย่าง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันใด แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็คลายออก ใบหน้าเผยความสงสัยอย่างเหมาะสม พูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อและเคร่งขรึม
“ทุกท่านล้อเล่นแล้ว ข้ากับคุณหนูเฮ่อหลันเคยพูดจากันแค่ไม่กี่ประโยค เรื่องนี้เหลวไหลไม่มีมูลความจริง นางอาจจะ…” เขาพูดขึงขังขึ้น “แค่อยากแสดงมิตรไมตรีก็เป็นได้”
ทุกคน “…”
Comments
