ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 29
วันเวลาของพวกเขายังคงต้องดำเนินไปตามปกติ
เทียบกันแล้วสำนักชิงเหลียนเป็นกลุ่มที่จัดการค่อนข้างลำบากในโจรหลายกลุ่มในห่วงโจว เพราะไม่มีฐานที่ตั้งแน่นอน ประมุขสำนักชอบใช้วิธีเร้นลับตบตาคน จงใจหลอกลวงผู้อื่น เป็นกลุ่มโจรที่ซ่อนตัวใต้ดิน ทางการอยากจะจับ ชาวเมืองยังช่วยขัดขวางปิดบังอีก เงินทองถูกหลอกไปหมดแล้ว ไม่รู้จักกลับใจแก้ไข ยังคิดว่าหลังจากตายแล้วสามารถแลกเปลี่ยนความมั่งคั่งจากยมบาลได้ เหลวไหลสิ้นดีจริงๆ
มีผู้เฒ่าที่เป็นม่ายจำนวนหนึ่ง อายุมากแล้วกลับถูกคนหลอกเอาเงินที่หาได้จากการทำงานอย่างยากลำบากไปจนหมด สุดท้ายก็ตายอย่างน่าอนาถ
แต่เทียบกับกลุ่มอื่นแล้วสำนักชิงเหลียนร่ำรวยที่สุดเช่นกัน เล่ากันว่าในสำนักนอกจากประมุขสำนักแล้วยังมีแปดธรรมบาล สิบผู้คุมกฎ เศรษฐีจำนวนไม่น้อยก็ลอบติดต่อกับพวกเขาเช่นกัน
ลู่อู๋โยวส่งคนแทรกซึมเข้าไป เสียเวลาไปกว่าหนึ่งเดือนจึงพอเข้าใจโครงสร้างคร่าวๆ ได้ชัดเจน ที่ยากก็คือจะทำให้คนที่ถูกหลอกมีสติรู้ตัวได้อย่างไร
โชคดีที่บังเอิญสำนักชิงเหลียนจะเรียกรวมตัวผู้ศรัทธากลุ่มใหญ่ทุกเดือน จัดพิธีมอบของศักดิ์สิทธิ์หนึ่งครั้ง เนื้อหาส่วนใหญ่คือมีเทพแสดงอภินิหาร มอบพรแก่ผู้ศรัทธา และเก็บรวบรวมเงินบริจาคไปด้วย
ครั้งนี้เฮ่อหลันฉือแปลกใจมากเช่นกัน “ยังจะให้ข้าไปด้วยหรือ”
“ถูกต้อง แต่เจ้าจะเอาแต่ดูละครไม่ได้แล้ว”
เฮ่อหลันฉือสงสัย ลู่อู๋โยวดึงตัวนางเข้าหา จากนั้นก็จ้องมองใบหน้าของนางครู่หนึ่ง มองจนเฮ่อหลันฉือขนลุก กะพริบตาถามเขาอย่างงุนงง
“หน้าข้ามีอะไรหรือ”
ลู่อู๋โยวยื่นนิ้วไปลูบไล้ใบหน้าของนาง ผิวเรียบเนียนละเอียด ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย ประณีตราวกับเป็นของที่สวรรค์สร้าง มักจะให้ความรู้สึกห่างเหินสูงส่ง ไม่สามารถแตะต้องได้ ทว่าระยะนี้ยามเผชิญหน้ากับเขา นางไม่ค่อยสร้างกำแพงป้องกันแล้ว จึงดูอ่อนโยนน่ารังแกเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ไม่มีอะไร ดีมาก ดีเหลือเกิน ดังนั้นข้าจึงเตรียมเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้เจ้า อาจจะทำให้หนาวสักนิด แต่ข้าจะถ่ายกำลังภายในให้เจ้า”
หากจะพูดว่าเป็นเสื้อผ้า มิสู้พูดว่าเป็นสิ่งทอผืนหนึ่งที่ใช้ผ้าโปร่งบางเบาซ้อนกันหลายชั้นดีกว่า ถึงแม้จะปิดบังเรือนร่างไว้ทั้งหมด แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ได้ใส่อะไรเช่นกัน
หลังจากเฮ่อหลันฉือสวมชุดนั้นเสร็จก็พบว่าลู่อู๋โยวยังเตรียมเครื่องประดับเงินอัญมณีอีกจำนวนหนึ่ง ล้วนเป็นสีฟ้าน้ำทะเลหรือสีเงินสว่าง ส่องประกายวิบวับ แค่สร้อยมุกที่ห้อยจากเหนือศีรษะลงมาก็มีสองสามเส้นแล้ว ที่ลำคอ ข้อมือ และติ่งหูก็มีเครื่องประดับที่เข้าคู่เช่นกัน เหมือนเป็นเครื่องประดับครบชุด แต่สีสันอ่อนเกินไป และไม่สุภาพเคร่งขรึมมากพอ
นางพึมพำพลางคิดว่านี่เป็นความชอบแปลกๆ ของลู่อู๋โยว จากนั้นก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย
เขาหาช่างไม้มาต่อเตียงหลังใหม่ แต่อย่างน้อยถึงตอนนี้ก็ยังไม่ส่งมาให้เลยนะ
หลังจากนางใส่เครื่องประดับทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พอลู่อู๋โยวเข้ามาที่ห้องชั้นในก็ตะลึงงันไปอย่างที่คาด แววตาเปล่งประกาย
เฮ่อหลันฉือยืนตรงด้วยความระมัดระวังเล็กน้อย
ลู่อู๋โยวเดินไปหานางทีละก้าว ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวสร้อยมุกที่แกว่งไกวอยู่ข้างแก้มของนางขึ้นมา ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย
“เหมาะกับเจ้าจริงๆ”
“นี่มันก็…” นางรู้สึกว้าวุ่นใจ พวงแก้มแดงเรื่อ “แปลกเกินไป…”
นางยังพูดไม่จบเขาก็ลูบไล้ริมฝีปากของนางที่ยังไม่ได้ทาสีชาดแล้วเอ่ยว่า “เหมือนเทพธิดามาก”
เฮ่อหลันฉือ “…?”
ลู่อู๋โยวพูดจาเหลวไหลด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “พาให้คนอยากทำให้มีมลทิน”
เฮ่อหลันฉือรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องคิดเช่นนี้ “ถูก…” นางชะงักเล็กน้อยแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ถูกเจ้าทำให้มีมลทินนานแล้ว”
ลู่อู๋โยวช้อนตาขึ้นพลางยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะจุมพิตแก้มของนางทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าพูดจาส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ให้เจ้าแต่งชุดเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราะข้าอยากดู แต่เพราะมีเหตุจำเป็นพอดี”
เฮ่อหลันฉือเอ่ยถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากดูจริงหรือ”
“ก็ได้…ไม่ใช่เพียงเพราะข้าอยากดูเท่านั้น”
พิธีมอบของศักดิ์สิทธิ์ของสำนักชิงเหลียนครั้งนี้ตั้งแท่นบูชาที่สร้างขึ้นใหม่ตรงที่ราบภูเขาแห่งหนึ่ง ทำพิธีกลางดึก บรรยากาศลึกลับและเงียบสงัด
เหล่าผู้ศรัทธาถือคบไฟรออยู่เบื้องล่างแท่นบูชานานแล้ว ตั้งตารอคอยเทพอภินิหารและรับพรที่ประมุขสำนักจะมอบให้ในวันนี้ ที่ผ่านมาทุกครั้งเทพอภินิหารจะทำให้คนตื่นตะลึงอย่างมาก ยิ่งทำให้คนเชื่อว่าประมุขสำนักของพวกเขาเป็นเทพที่จุติลงมาจากสวรรค์!
รออยู่ราวหนึ่งเค่อประมุขสำนักในชุดนักพรตเต๋าสีดำก็ค่อยๆ ปรากฏตัวกลางอากาศ เขาสวมมงกุฎสีทอง มือถือไม้ขักขระ* อันหนึ่ง แต่งตัวผสมปนเปไม่เข้าพวก รอบแท่นจุดไฟส่องสว่าง สะท้อนจนเขาราวกับกำลังเปล่งแสง
ประมุขสำนักสวดมนต์เสียงเบาแล้วกางสองแขน ในมือพลันปรากฏลูกไฟสองดวงอย่างไร้สาเหตุ เมื่อลูกไฟเคลื่อนไหว เขาก็เหวี่ยงสองมือ ทุกคนโดยรอบคล้ายจะได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
ครู่ต่อมาเขาก็ใช้ผ้าคลุมลงบนหินก้อนหนึ่งตรงหน้าแล้วตวัดไม้ขักขระ ปากก็ท่องคำอะไรบางอย่างราวกับกำลังใช้พลังเวท จากนั้นไม่นานเขาก็เปิดผ้าผืนนั้นออก เห็นเพียงข้างในมีแสงทองส่องสว่าง เปลี่ยนหินให้เป็นทองไปแล้ว!
ผู้ศรัทธาเบื้องล่างแท่นต่างส่งเสียงร้องอย่างตื่นตกใจ ในตอนนี้เองก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นกลางอากาศ
เรื่องเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เสียงดังชัดเจน
มีคนตะคอกเสียงดังทันที “ใครกัน! ใครมาก่อกวน!”
ทันใดนั้นก็มีคนชุดดำปิดบังใบหน้าลอยตัวลงมากลางอากาศ ครั้นปลายเท้าแตะลงบนขอบแท่นบูชาก็ยื่นมือไปหยิบก้อนหินที่เมื่อครู่ถูกเปลี่ยนเป็นทองขึ้นมาแล้วโยนกะน้ำหนักดู ท่ามกลางแสงไฟมีคนเห็นใต้ฐานก้อนทองนั้นเหมือนมีสีผิดปกติ
Comments
