ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 29
ผู้มาเยือนพลิกมือ ชั้นกระดาษทองบนก้อนทองนั้นก็หลุดออก เผยให้เห็นก้อนหินที่อยู่ใต้นั้น เขายิ้มบางๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เก็บเงินจากผู้ศรัทธามากมาย เหตุใดแม้แต่ทองจริงสักก้อนก็ยังไม่คิดจะใช้เล่า”
ประมุขสำนักชิงเหลียนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พูดตะคอกว่า “นี่คือมารที่ผีร้ายส่งมา! จงใจทำลายเทพอภินิหารของข้า รีบจับตัวเขาไว้!”
ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วราวกับปลาว่ายน้ำ ไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย แต่คนที่ขึ้นมาจับตัวอีกฝ่ายกลับล้มลงไปบนพื้นทีละคน
องครักษ์ที่ประมุขสำนักใช้เงินก้อนใหญ่จ้างมาเหล่านั้นพยายามอย่างสุดกำลัง กลับไม่สามารถแตะแม้แต่ชายเสื้อคลุมของผู้มาเยือนได้เลย
ผู้มาเยือนยังคงพูดช้าๆ ต่อไป “ยังมีลูกไม้ของเจ้าเมื่อครู่”
เขาใช้เท้าเหยียบกระดานแผ่นหนึ่งของแท่นบูชาจนพังแล้วยกมือหิ้วคนคนหนึ่งขึ้นมา เห็นเพียงในมือคนคนนั้นถือแผ่นเหล็กบางมากที่ล้อมรอบตัวเขา ผู้มาเยือนจับแผ่นเหล็กมาเขย่าก็ได้ยินเสียงราวกับฟ้าร้องฟ้าผ่าดังขึ้นซึ่งก็คือเสียงที่ดังก่อนหน้านี้
ผู้ศรัทธาเบื้องล่างแท่นบูชาต่างก็ตกใจ
สุดท้ายผู้มาเยือนยังลอยตัวไปที่ข้างกายของประมุขสำนักชิงเหลียน กระชากปลอกหนังบนมือของอีกฝ่ายออก จากนั้นก็หยิบกลักจุดไฟออกมาจุดไฟบนมือ ลูกไฟลูกหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
“สวมปลอกหนังกันเอาไว้ก่อน แล้วทาน้ำมันชนิดพิเศษเอาไว้ สามารถสร้างลูกไฟได้ในระยะสั้นๆ ยังมีอะไรอีก ให้ข้าคิดสักนิด…สรุปก็คือเป็นฉากหลอกลวงคนทั้งหมด เทียบกับการเป็นประมุขสำนักแล้ว รู้สึกว่าเจ้าเหมาะจะไปเป็นคณะละครมากกว่า”
ประมุขสำนักชิงเหลียนตกใจจนถอยหลังหนึ่งก้าว รู้ว่าอีกฝ่ายมาอย่างไม่เป็นมิตร แต่รอบข้างมีผู้ศรัทธามากมายมองอยู่ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความหวาดกลัวออกมาได้
“เป็นมารกำลังพูดจาเหลวไหล! พยายามจะก่อกวนการมองเห็นการได้ยิน! พิธีวันนี้เกรงว่าคงยากจะทำให้เสร็จสิ้น! ทุกคนรีบถอยออกไปเถอะ!” พูดจบเขาก็คิดจะจากไป แต่กลับถูกคนคว้าคอเสื้อข้างหลังเอาไว้แล้วยกตัวขึ้น
“มารนอกรีตอย่างเจ้ายังคิดหนีอีกหรือ” ผู้มาเยือนพูดด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้ามาวันนี้ก็เพื่อกำจัดคนที่เป็นมารนอกรีต ทำให้ชื่อเสียงสำนักของข้าเสียหาย แค่สำนักชิงเหลียนเล็กๆ มีฝีมือน้อยนิดเท่านี้ หลอกลวงมอมเมาชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นสำนักที่ดีงามอีกหรือ”
ทุกคน “…?”
“คำพูดชั่วร้ายทำให้สับสน…” ประมุขสำนักชิงเหลียนยังพูดไม่ทันจบก็ถูกบีบคอเสียแล้ว
ผู้มาเยือนชี้นิ้วไปยังที่สูงแล้วเอ่ยว่า “ทางนั้นคือเทพธิดาในสำนักของข้า”
ทุกคนเงยหน้ามองไป เห็นเพียงบนหน้าผาสูงมีสตรีผู้หนึ่งสวมชุดขาวบริสุทธิ์ยืนอยู่ กระโปรงบางพลิ้วไหวราวกับม่านเมฆ ใครเห็นก็ต้องคิดว่าเป็นนางสวรรค์ บนตัวนางยังมีเครื่องประดับมากมายที่สะบัดปลิวราวกับไอเทพ ยังได้ยินเสียงดังกรุ๊งกริ๊งแว่วๆ อีกด้วย ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างเช่นนี้ทำให้นางดูคล้ายเป็นภาพลวงยิ่งขึ้น แต่ในความคิดดูเหมือนจะวาดภาพความงามเช่นนี้ออกมาไม่ได้
“เป็นเทพอภินิหาร!”
“นี่จึงจะเป็นเทพอภินิหาร!”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง พยายามทรงตัวให้มั่นคง แม้แต่ดวงตาก็พยายามกะพริบให้น้อยที่สุด ยังกังวลเล็กน้อยว่าจะมีคนจำได้ แต่ปกตินางจะปรากฏตัวอยู่เพียงในที่ว่าการเมืองสุยหยวน ผู้ศรัทธาทางสำนักชิงเหลียนนี้มาจากทุกพื้นที่ในห่วงโจว อาจจะไม่เคยเห็นนางทั้งหมด
ต่อให้เคยเห็นก็อาจจะไม่มั่นใจว่าเป็นนาง อย่างไรเสียลู่อู๋โยวไม่เพียงให้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งตัว ยังแต่งหน้าให้นางด้วยตนเองอีก แต่นางคิดไม่ถึงว่าใบหน้าของตนเองยังมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย
“แต่เหตุใดข้าจึงนึกถึงฮูหยินของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ขึ้นมา…”
“นั่นเป็นใคร เจ้าพูดเหลวไหลกระมัง นี่เป็นเทพธิดาชัดๆ!”
ลู่อู๋โยวกลับเอ่ยต่อท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทุกคน “มีเพียงมารนอกรีตจึงจะร้องขอให้คนอื่นมอบเงินทองของมีค่าจำนวนมากให้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับคำสัญญาที่เลื่อนลอยว่างเปล่า สำนักดีงามที่ชักนำคนไปในทางที่ดีอย่างแท้จริงจะบอกเจ้าว่าถ้าอยากมีชีวิตที่ดี ทำได้เพียงอาศัยความพยายามของสองมือตน พึ่งพาผู้อื่นไม่ได้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สวรรค์มีสังสารวัฏ นี่คือหนทางที่ถูกต้อง ถ้ามีคนที่ฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ เกียจคร้านไม่รับผิดชอบ จะเรียกว่าถูกต้องได้อย่างไร”
แต่เพียงพูดคำเหล่านี้คงยากมากที่จะทำให้คนเชื่อถือได้เช่นกัน ลู่อู๋โยวจึงออกแรงที่มือ ยกตัวประมุขสำนักที่หวาดกลัวคนนั้นขึ้นแล้วเอ่ย
“พวกเจ้ายังอยากจะดูเทพอภินิหารอย่างอื่นหรือไม่ ข้าเองก็แสดงได้เช่นกัน”
อย่างไรเสียตอนเขาห้าขวบก็สามารถใช้กลไกในสำนักมาทำให้น้องสาวเบิกบานใจแล้ว
เฮ่อหลันฉือรู้สึกว่านางไม่ต่างอะไรกับการไปดูละคร ยังได้ดูการแสดงของลู่อู๋โยวอีกด้วย แต่สวมเครื่องประดับเพชรพลอยทั้งตัวยืนอยู่นานเช่นนี้ นางยังคงรู้สึกหนักอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
หลังถูกลู่อู๋โยวรับตัวลงมาจากบนหน้าผาแล้วเข้าไปในรถม้าเพื่อกลับเรือน นางก็ทนไม่ไหวอยากจะดึงทิ้ง ผลปรากฏว่าถูกเขาขวางเอาไว้
“เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้”
“มันเกะกะมาก” นางยังง่วงมากอีกด้วย
สายตาของลู่อู๋โยวกวาดมองบนศีรษะที่หนักอึ้งของนาง สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจเลยว่าตนเองแต่งกายเช่นนี้น่าดูเพียงใด ถึงขั้นยังกลอกตามองบน ท่าทางจนใจอย่างมาก แต่อาจเพราะเป็นเช่นนี้จึงดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ลู่อู๋โยวถอนใจเบาๆ “ช่างเถอะ ข้าจะช่วยถอดให้เจ้า”
“อ้อ” เฮ่อหลันฉือพยักหน้า “เจ้าเบาสักนิด บางอันเกี่ยวผมข้าแล้ว”
ลู่อู๋โยวช่วยถอดมวยผมให้นางอย่างเบามือยิ่ง ดึงเครื่องประดับออกอย่างระวังทีละชิ้นราวกับกำลังทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดประณีตอะไรบางอย่าง นางเงยหน้ามองเขาแล้วกะพริบตา
“สำนักชิงเหลียนถือว่าจัดการได้แล้วหรือ”
“ไม่ถือว่าจัดการได้ สำนักเช่นนี้หยั่งรากลึกมาก ผู้คนล้วนถูกชักนำความคิด หากกำจัดเปลือกนอกไม่กำจัดราก ย่อมต้องมีชาวบ้านไปหลงเชื่ออีกอยู่ดี”
ลู่อู๋โยวช่วยเฮ่อหลันฉือถอดมวยผมด้วยความอ่อนโยน ผมยาวดำลื่นของนางค่อยๆ สยายลงมา ไหลผ่านซอกนิ้วของเขา
“ข้าจะหาคณะละครสักสองคณะไปแสดงตามท้องถนนแต่ละแห่งในห่วงโจว บอกชาวเมืองว่าเป็นเรื่องเท็จทั้งหมด นอกจากนี้…ในเมื่อมีบัณฑิตมามากมายอย่างนั้นก็อาจจะเปิดสำนักศึกษา ให้ลูกหลานชาวเมืองที่ออกแรงขุดขยายแม่น้ำสร้างทำนบไปเรียนโดยไม่เก็บเงิน ไม่จำเป็นต้องเรียนลึกถึงสี่ตำราห้าคัมภีร์ อย่างน้อยรู้หนังสือบ้าง อ่านได้ดูเป็น ดูเอกสารที่มาจากราชสำนักได้เข้าใจ รู้กฎหมายที่สำคัญหลายข้อ จะได้ไม่ถูกหลอกเสียเปล่า”
ในคดีที่พวกเขาเจอเป็นเช่นนี้ไม่น้อย ชาวเมืองที่ไม่รู้หนังสือถูกหลอกให้ประทับลายนิ้วมือ ไปเป็นวัวเป็นม้าให้บ้านเศรษฐี หรือถูกยุยงให้ขายที่นาบรรพชนในราคาต่ำ ยังไม่สามารถร้องขอความเป็นธรรมได้อีก
ถึงแม้ปากจะพูดว่าเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาสองคนสบายขึ้นบ้าง แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ลู่อู๋โยวทำก็เพื่อให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นสักนิด
Comments
