ตอนเขาอยู่สำนักราชบัณฑิตอย่างมากก็คอยดูเอกสารที่ติดต่อไปมา ไม่มีโอกาสได้ลงมือจริงจังถึงเพียงนั้น
ปิ่นปักผมของเฮ่อหลันฉือค่อยๆ ถูกลู่อู๋โยวถอดออก
ตอนที่นางเงยหน้าขึ้น สายตามองเห็นดวงตาของเขาที่หลุบลงได้พอดี เฮ่อหลันฉือค่อยๆ ผ่อนคลายลงเช่นกัน และนึกถึงความคิดหาเรื่องใส่ตัวขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้คำกล่าวหาของลู่อู๋โยวจะแปลกมาก แต่ก็ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายของเขาไปทั้งหมด
“ลู่จี้อัน…”
“เรียกชื่อไม่ต้องมีแซ่ นั่นจะแตกต่างอะไรกับการเรียกทั้งชื่อและแซ่”
ข้อเรียกร้องของเขาช่างมีมากเหลือเกิน
“จี้…อัน”
“อีกอย่าง…” ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เหตุใดเจ้าจึงไม่เรียกชื่อของข้า”
ข้อเรียกร้องของเขามีมากจริงๆ
เฮ่อหลันฉือลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “อู๋โยว…”
ลู่อู๋โยวพูดอีกว่า “ฉือฉือ เจ้าลองเรียกชื่อซ้ำคำ จะยิ่งดูสนิทกันมากขึ้น”
“…เจ้ายังจะให้ข้าพูดอยู่หรือไม่”
ลู่อู๋โยวยกมุมปากยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ได้ เจ้าว่ามา”
นางจ้องมองเขา ตอนที่เขาถอดปิ่นให้นางดูเบิกบานใจมาก ไม่พูดจาแต่หางตาก็ยังยกโค้ง มุมปากแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย เป็นยิ้มจางๆ แต่ทำให้คนใจเต้นได้เป็นพิเศษ
แท้จริงแล้วนางอยากจะเอ่ยชมเขายิ่งนัก รู้สึกว่าลู่อู๋โยวในตอนนี้ดีเป็นพิเศษ ดีกว่าตอนที่อยู่เมืองหลวงเสียอีก ถึงแม้เขาจะงานยุ่งเท้าแทบไม่ติดพื้นจนกลับมาที่ว่าการช้า นางก็ยังรู้สึกว่าเขาดีเป็นพิเศษ
แต่ยามเผชิญหน้ากับเขาจริงๆ ก็ยากมากที่จะพูดออกมาได้
เฮ่อหลันฉือลังเลใจ ลู่อู๋โยวปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว”
ผมยาวของนางสยายลงมาทั้งหมด เข้าคู่กับกระโปรงที่ราวกับมีเมฆหมอกปกคลุมนั้นแล้ว ให้ความรู้สึกบอบบางและน่าสงสารมาก
รถม้ายังเคลื่อนโคลงเคลงไปในค่ำคืนอันมืดมิด
“เจ้าอยากจะพูดอะไร”
ลู่อู๋โยวช้อนตาขึ้นมองนาง ริมฝีปากยังคงประดับรอยยิ้ม
เฮ่อหลันฉือคิดอีกว่าขีดจำกัดต่ำสุดของนางดูเหมือนจะต่ำลงได้อีกนิด ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย นางจึงค่อยๆ ขยับริมฝีปากเอ่ยขึ้น
“อันที่จริงนอกจากบนเตียงแล้ว ถ้าไม่ถูกใครเห็นเข้าก็ใช่ว่าจะ…”
นางยังพูดไม่จบก็พบว่าดวงตาดอกท้อของลู่อู๋โยวค่อยๆ มีสีเข้มขึ้น
เฮ่อหลันฉือเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “เจ้าช้าก่อน ช้าก่อน! ข้าไม่ได้หมายถึงในรถม้า! ลู่อู๋โยว!”
ถึงแม้นางจะคิดว่าตนเองทำได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำได้ถึงเพียงนี้
เส้นทางบนภูเขาสูงต่ำไม่เรียบ รถม้ากระแทกไปมาอยู่ตลอด นั่งก็ยังนั่งไม่ค่อยมั่นเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำอย่างอื่น ต้องเอียงซ้ายเอนขวาแน่นอน ก่อนหน้านี้เคยมีครั้งหนึ่งที่ลู่อู๋โยวจุมพิตนางจนเกินขอบเขตไปสักนิดก็เกือบจะ…
แต่เห็นชัดว่าลู่อู๋โยวขยับใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อครู่อยู่ใกล้กัน เวลานี้ยิ่งแทบจะตัวแนบชิด นิ้วยาวของเขาก็อยู่ไม่สุข ลูบไล้เส้นผมของนางพลางพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าก็ทำเกินไปหน่อยแล้วกระมัง เอาแต่ยั่วยวน ไม่สนใจจัดการให้เสร็จสิ้น…”
นางได้ยินเสียงลมหายใจ ไอร้อนเป่ารดใบหน้า เป็นกลิ่นกายของเขา
“ตัวเจ้าเองก็รู้ว่าพูดเช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าอยากทำอะไร” เขายังแฝงการกล่าวโทษไว้เล็กน้อยอีกด้วย
พอเฮ่อหลันฉือถูกกล่าวโทษก็รู้สึกผิดเล็กน้อยจริงๆ แต่นางดึงสติกลับมาแล้วเอ่ยว่า “นี่ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ”
ทั้งสองคนแค่นั่งอยู่ในรถม้า ตัวยังโยกไปมาอยู่เลย
“เหตุใดจะไม่สะดวก” ลู่อู๋โยวขยับเข้าใกล้อีกนิด ริมฝีปากราวกับใกล้จะแตะใบหูของนาง ยามเอ่ยปากเหมือนจะกรอกใส่หูของนางโดยตรง น้ำเสียงไม่กระจ่างใส แฝงความแหบแห้งเล็กน้อย “อีกครู่เจ้าสามารถนั่งบนตักข้าได้ เอามือพาดบนไหล่ข้า รถม้าโคลงเคลง ไม่แน่ว่าอาจจะประหยัดแรงเล็กน้อย…”
เฮ่อหลันฉืออดทนต่อไปไม่ไหว “เจ้าพูดให้น้อยลงสักนิดเถอะ!”
แค่คิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น นางก็แทบจะเงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว
ลู่อู๋โยวหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง นิ้วมือเกี่ยวพันเส้นผมของนาง ปลายนิ้วเขี่ยติ่งหูที่แดงก่ำ หัวเราะจนมีน้ำรื้นในดวงตา “เจ้าลนลานอะไร ข้าก็แค่คิดเท่านั้น…”
แม้ร่างกายจะมีท่าทีตอบสนองแล้วจริงๆ แต่อย่างไรก็ต้องคำนึงว่านางจะรับไหวหรือไม่
เหมือนมีไหน้ำตาลใบใหญ่วางอยู่ตรงหน้า สำหรับเขาแล้วสามารถหยิบจับได้ตามใจ กินได้อย่างเต็มที่ แต่กลับไม่กล้ากินรวดเดียวมากเกินไป จะได้ไม่เป็นการกินมื้อนี้ไม่มีมื้อหน้า
“เจ้า…เจ้า…” เฮ่อหลันฉือพูดว่า ‘เจ้า’ อยู่ครู่หนึ่งก็ผลักมือของเขาออก นวดหน้าแล้วจึงเอ่ยต่อ “เจ้าให้ข้าปรับอารมณ์ ทำความเคยชินสักนิดเถอะ”
ลู่อู๋โยวตกใจเล็กน้อย “หืม? คือ…หมายความว่าครั้งหน้าทำได้จริงๆ หรือ”
เฮ่อหลันฉือยื่นมือไปทุบไหล่ของเขาทีหนึ่ง พูดเสียงอู้อี้ “พูดให้น้อยสักนิดเถอะ ขอร้องเจ้าล่ะ”