ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 29
โชคดีที่เฮ่อหลันฉือใจกว้างไม่คิดอะไรมาก อย่างไรเสียก็เคยทำทุกอย่างกับบุรุษผู้นี้มาแล้ว แม้จะรู้สึกเขินอาย แต่จะเขินอายไปตลอดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสองคนยังมีงานที่ต้องปรึกษากันอีก
เวลานี้นางสามารถสงบสติลงได้มาก
ในเมื่อลู่อู๋โยวบอกว่าอยากจะเปิดสำนักศึกษาที่ห่วงโจว นางก็จะอาสาช่วยเขาทำงานเอง
เปิดสำนักศึกษาที่ห่วงโจวย่อมไม่สามารถทำให้มีขนาดเท่ากับสำนักศึกษาเจียงหลิวได้ สำนักศึกษาเจียงหลิวอยู่ใกล้ภูเขาลำน้ำ มีศาลาหอสูงกระจายไปทั่ว อยู่ในดินแดนมั่งคั่งรุ่งเรืองอย่างชิงโจว สร้างขึ้นราวกับแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์ ค่าเล่าเรียนก็เก็บแพงมาก หากไม่ใช่ท่านลุงของนางลอบส่งนางไป บิดาคงจ่ายไม่ไหวแน่นอน
แต่สำนักศึกษาของพวกเขานี้สร้างเพื่อลูกหลานของชาวบ้านทั่วไปเป็นหลัก ต้องทำทุกอย่างให้เรียบง่าย
ทว่าห่วงโจวก็มีข้อดีของห่วงโจว ราคาบ้านเรือนถูกมาก เฮ่อหลันฉือนำลูกคิดไปด้วยยังรู้สึกตกใจ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าบ้านหลังนี้ราคาไม่ถึงสิบตำลึง”
นายหน้าขายบ้านพูดด้วยรอยยิ้มเอาใจ “ถ้าฮูหยินไม่พอใจ บ้านขนาดประมาณนี้พวกเรามีมากมาย! ก็แค่มีหลายหลังไม่มีคนอยู่มานาน อาจจะต้องซ่อมแซมสักนิด”
เฮ่อหลันฉือคำนวณบัญชี เดินไปดูหลายหลัง ตกกลางคืนจึงปรึกษากับลู่อู๋โยว
คล้ายกับตอนที่ลู่อู๋โยวให้นางดูภาพวาดบ้านตอนที่จะแต่งงานอยู่หลายส่วน นางตั้งใจเปรียบเทียบราคาและตำแหน่งที่ตั้ง พิจารณาว่าเด็กเล็กเดินทางสะดวกหรือไม่ รอบข้างปลอดภัยหรือไม่ ยังต้องเหลือที่พักให้อาจารย์ผู้สอนด้วย นอกจากนี้ยังต้องเตรียมหอหนังสือและห้องครัวให้พร้อม สุดท้ายหลังจากนางใคร่ครวญแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“การทำความสะอาดสำนักศึกษามอบให้กับคนชราไร้บ้านจากสถานพักพิงคนไร้บ้าน ครั้งก่อนข้าเดินผ่านเห็นเข้าพอดี มีคนชราที่ลูกตายไปเร็วจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถออกแรงทำนาได้ ห่วงโจวเดิมทีก็ยากจนอยู่แล้ว ชีวิตของพวกเขาก็ยิ่งลำบาก การทำความสะอาดไม่นับว่าเหนื่อยมาก สามารถหาเงินเสริมได้ด้วย”
“พ่อม่ายแม่ม่าย คนไร้บ้าน และคนพิการต่างได้รับการเลี้ยงดูหรือ” ลู่อู๋โยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ตามใจเจ้าเลย แต่เรื่องนี้ดูเหมือนเจ้าจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษนะ”
กระตือรือร้นยิ่งกว่าการทลายรังโจรเสียอีก
เฮ่อหลันฉือยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย “อาจเป็นเพราะข้าคิดว่าได้เรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเคยเรียนหนังสือ ตอนนี้ข้าอาจจะยังงุนงงสับสนอยู่ก็ได้”
และคงไม่คิดจะต่อสู้ขัดขืนชะตาชีวิตของตนเอง ดังนั้นนางจึงอยากให้คนจำนวนมากขึ้นได้มีโอกาสเรียนหนังสือรู้อักษร
ตอนที่อยู่เมืองหลวงความคิดเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องแปลกประหลาดห่างไกลจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง
“ก็ไม่เลว ถือโอกาสจับเจ้าเด็กบ้าคนนั้นยัดเข้าไปได้พอดี” ลู่อู๋โยวเอ่ยรับคำก่อนจะถาม “อายุในการรับศิษย์มีจำกัดหรือไม่”
เฮ่อหลันฉือส่ายหน้า “ข้าคิดว่าถ้าเป็นคนชราที่อายุมากอยากจะมานั่งเรียนด้วยก็ทำได้เช่นกัน”
“แล้วศิษย์หญิงเล่า”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้าอย่างลังเลก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็วางแผนไว้เช่นกัน เจ้าคิดว่าทำได้หรือไม่”
ถึงจะเป็นสถานที่มั่งคั่งรุ่งเรืองอย่างชิงโจว คนที่ส่งบุตรสาวไปเรียนหนังสือก็ยังมีจำนวนน้อย นับประสาอะไรกับห่วงโจวสถานที่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้ นางยังกังวลอย่างยิ่งว่าจะหาคนไม่ได้
“มีอะไรไม่ได้ ในเมื่อเจ้าเป็นคนลงมือ ทุกอย่างให้เจ้าเป็นคนตัดสิน วางใจได้ หากเป็นการทำเพื่อให้บุตรสาวแต่งงานได้ดีสักนิด ต้องมีคนยินยอมแน่นอน”
เฮ่อหลันฉือมุมปากยกยิ้มอีกครั้ง “เช่นนั้นก็ดี”
ด้ามพู่กันตวัดเบาๆ กลางหว่างนิ้วขาวเนียนของเฮ่อหลันฉือ นางดูแล้วผ่อนคลายและมีความสุข สีหน้าเบิกบานเล็กน้อย หากเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง หางนั้นคงจะกำลังแกว่งไปมา
ลู่อู๋โยวเอ่ยถามขึ้นทันใด “เจ้าชอบห่วงโจวมากใช่หรือไม่”
เฮ่อหลันฉือตกใจ จากนั้นก็พยักหน้าตอบอย่างตรงไปตรงมา “อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ไกลมีอิสระมาก และข้าสามารถยุ่งกับการทำงานเช่นตอนนี้ได้”
ไม่ต้องกังวลเรื่องเซียวหนานสวินตลอดเวลา และไม่มีผู้มีอำนาจสูงหรือคุณชายตระกูลใหญ่ที่หมายปองนางมากมายถึงเพียงนั้น หมวกม่านอยากใส่ก็ใส่ ไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่ อยากออกจากบ้านก็ออก อยากอยู่ในเรือนพักก็อยู่ในเรือนพัก พูดจาทำเรื่องใดไม่ต้องหวั่นเกรงอะไรเช่นกัน
แน่นอนว่าเรื่องที่มีอิสระที่สุดก็คือนางไม่เพียงไม่ต้องคอยระวังตัวป้องกันตลอดเวลา ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตชาวบ้านในท้องถิ่นได้อีกด้วย ทำงานเพื่อชาวบ้านตามกำลังที่มี แม้จะมีงานยุ่งทุกวันก็รู้สึกว่ามีความหมายมากเช่นกัน
ตอนเด็กเห็นบิดาไปมารีบร้อน นางก็เคยปรารถนาว่าวันหน้าหลังจากตนเองเติบโตจะเป็นเหมือนบิดาที่ทำอะไรเพื่อราษฎรบ้าง ภายหลังตระหนักได้ว่าในฐานะสตรีนั้นมีเรื่องมากมายที่นางทำไม่ได้ จึงค่อยๆ ล้มเลิกความตั้งใจ
คิดไม่ถึงว่าชีวิตคนจะพบความพลิกผันที่ดีขึ้นได้
นางอยากจะพูดชมลู่อู๋โยวอีกครั้ง แต่ก็ยังคงปิดปากไว้ก่อนชั่วคราวดีกว่า
ลู่อู๋โยวยกมือเท้าแก้ม เอียงศีรษะมองนาง ยิ้มจนตายกโค้ง “ข้าก็ชอบเจ้าในตอนนี้มากเช่นกัน”
ในสถานการณ์ที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต่างคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เฮ่อหลันฉือยังคงอยู่ในที่ว่าการช่วยจัดการเอกสารที่ระยะนี้น้อยลงเรื่อยๆ จู่ๆ หนังตาก็กระตุก หัวใจวูบไหว คิดว่าอาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท กำลังจะยกมือขึ้นคลึงขมับก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกที่ว่าการและมีเสียงพูดดังขึ้นซ้อนกัน
“ใต้เท้ากลับมาแล้ว!”
“ใต้เท้าเจ้าเมือง!”
“คารวะใต้เท้าเจ้าเมือง!”
นางรีบเรียกซวงจือไปดู ทว่าไม่รอถึงซวงจือกลับมาผู้มาเยือนก็นำผู้ติดตามก้าวยาวเข้ามาในที่ว่าการแล้ว
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนหน้าเหลี่ยม อายุราวสี่สิบห้าสิบปี ตัวไม่สูง อาจจะสูงกว่าเฮ่อหลันฉือเล็กน้อย สวมชุดขุนนางขั้นสี่ระดับเอก กลางอกเสื้อปักลายห่านป่าดั้นเมฆ ไม่มีความสง่างามเท่าไรนัก แต่บารมีขุนนางกลับฉายชัดยิ่ง
เฮ่อหลันฉือไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นเหยียนเหลียงเจ้าเมืองสุยหยวนที่พักฟื้นอยู่นอกเมืองตลอดไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น
ลู่อู๋โยวได้ยินข่าวก็รุดมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เหยียนเหลียงดูมีมารยาทมากอย่างเห็นได้ชัด หลังจากมองสำรวจลู่อู๋โยวตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็เอ่ยว่า “ตัวข้าก่อนหน้านี้สุขภาพไม่ดี ไม่สามารถมาพบเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ รู้สึกละอายใจมาก วันนี้ได้พบ เจ้าช่างดูสง่างามจริงๆ”
ปากพูดว่า ‘ละอายใจ’ แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย
…ผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร
เป็นจริงดังคาด พูดทักทายไม่กี่ประโยคเหยียนเหลียงก็พูดถึงจุดประสงค์ที่มาอย่างชัดเจน
“ถึงแม้งานในที่ว่าการก่อนหน้านี้จะมีผู้ช่วยหลิ่วกับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ดูแลชั่วคราว แต่เรื่องงานขุดคลองขยายแม่น้ำเป็นเรื่องใหญ่มาก ยังต้องให้ข้ามาดูแลจัดการด้วยตนเอง” เขาลูบหนวดเคราแล้วเอ่ยต่อ “ในเมื่อข้าเป็นขุนนางถือตราทางการของเมืองสุยหยวนย่อมต้องรับผิดชอบ จะผลักภาระให้คนอื่นไม่ได้ หลังจากนี้งานเหล่านี้ไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เหนื่อยใจแล้ว เจ้าเพียงแค่ดูแลชาวเมืองให้ดีก็พอ แน่นอนว่าเรื่องที่ให้ฮูหยินของเจ้ามาดูแลจัดการที่ว่าการนี้เป็นการไม่เหมาะสม แต่เห็นแก่ที่เจ้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ข้าจะไม่ถือสาเอาความ แต่ครั้งหน้าไม่ละเว้น”
ราวกับยังมอบบุญคุณอะไรให้อีกด้วย
เฮ่อหลันฉือสบตากับลู่อู๋โยวอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง เข้าใจในทันทีถึงความหมายของอีกฝ่าย
เรื่องใหญ่เช่นการขุดขยายแม่น้ำกับการสร้างทำนบนี้ หากทำสำเร็จก็เป็นผลงานที่เพียงพอให้เลื่อนตำแหน่งได้ ดังนั้นอีกฝ่ายมาเพื่อแย่งผลงานแน่นอน ไม่เพียงแค่แย่งผลงาน ยังคิดจะตัดลู่อู๋โยวออกไปด้วย เป็นเรื่องที่ขาดคุณธรรมไปสักหน่อยจริงๆ
แต่สามารถทิ้งงานในเมืองไว้ที่นี่โดยไม่ถามไถ่นานเช่นนี้ คิดดูก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีคุณธรรมจริยธรรมเช่นไร
ผู้ช่วยหลิ่วได้ยินก็ตกใจเช่นกัน กลั่นกรองคำแล้วเอ่ยว่า “แต่เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่เป็นคนดำเนินการด้วยตนเอง นี่เกรงว่า…”
“ผู้ช่วยหลิ่วพูดเช่นนี้ไม่ถูก งานขุดคลองขยายแม่น้ำนี้เดิมทีเป็นงานในหน้าที่ของข้า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่ถือว่าล้ำเส้นทำเกินหน้าที่แล้ว ข้าไม่ได้คิดจะเอาผิด ยังจะให้ข้ามอบรางวัลแก่เขาอย่างนั้นหรือ”
เฮ่อหลันฉือรู้สึกทึ่งอย่างยิ่ง แต่เวลานี้นางกับลู่อู๋โยวยังนับว่าสงบนิ่งสบายอารมณ์
ลู่อู๋โยวถึงขั้นยังมีอารมณ์พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ใต้เท้าเจ้าเมืองพูดมีเหตุผล แต่ไม่รู้ว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ท่านไปทำงานอยู่ที่ใด ตอนที่เอกสารในที่ว่าการกองเป็นภูเขา ท่านไปอยู่ที่ใด”
คำกล่าวนี้เอ่ยออกมาโดยไม่เกรงใจอย่างยิ่ง
เหยียนเหลียงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดทันที แววตาก็ดุดันขึ้นมา “เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ลู่หมายความว่าอย่างไร ต่อให้เจ้ามีชื่อเสียงในการสอบยอดเยี่ยม ตอนนี้ข้าก็เป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้า ที่ว่าการเมืองสุยหยวนก็ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะกำเริบเสิบสานได้!”
คนอื่นไม่รู้กระจ่าง แต่เขารู้ดีว่าชายที่เคยมีท่าทีหยิ่งผยองตรงหน้าคนนี้คือคนที่ล่วงเกินฮ่องเต้อย่างร้ายแรงจึงถูกลดตำแหน่งและส่งตัวมาที่นี่ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายมาที่นี่ยังต้องหาเรื่องเหนื่อยใจเหนื่อยกายอีก เพราะต่อให้พยายามเพียงใดอนาคตก็ไร้ความสดใสแล้ว
เฮ่อหลันฉือเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่ว่าใต้เท้าเจ้าเมือง ที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือ”
เหยียนเหลียงกำลังจะเอ่ยปากตำหนิ แต่พอเห็นโฉมหน้าของเฮ่อหลันฉือก็นึกถึงฐานะของนางขึ้นมา จึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน
“ที่ข้าทำก็เพราะมีเหตุผล ตอนนี้ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ย่อมต้องจัดการงานในที่ว่าการอย่างเต็มที่ พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ที่ปรึกษาจู ไปเก็บตราประทับของข้ากลับมา”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 มิ.ย. 68
Comments
