เด็กสาวที่ถูกขวางไว้นอกประตูก็เห็นลู่อู๋โยวแล้วเช่นกัน นางกำลังโบกมือให้เขา “ข้าเอง พี่ชาย”
หน้าตาเด็กสาวดูแล้วยังคงมอมแมม แบกสัมภาระใบเล็กของนางใส่หลัง ด้านข้างยังมีชายหนุ่มหน้าตามอมแมมเช่นเดียวกันตามมาด้วย
ลู่อู๋โยวเชิดปลายคางขึ้นแล้วเอ่ยถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งฮวาเว่ยหลิงก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าเล็กที่สกปรกของตนเองแล้วเอ่ยว่า “ท่านจะส่งเขาไปที่บ้านภูเขาถิงเจี้ยนให้ได้มิใช่หรือ เห็นเขาน่าเวทนา ข้าผ่านทางพอดีจึงเดินทางไปส่ง ท่านไม่รู้หรอกว่าระหว่างทางเขาจะเจอคนลอบฆ่าอีก! และแต่ละครั้งก็อันตรายขึ้นทุกที หากปล่อยไว้ไม่สนใจข้าคิดว่ายังไม่ถึงที่หมู่บ้านเขาคงตายก่อนแล้ว ข้าจึงจำต้องไปกับเขาด้วย”
มู่หลิงที่อยู่ด้านข้างใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดคราบสกปรกอย่างสุภาพเรียบร้อยมากเช่นกัน
“เดินๆ หยุดๆ มาถึงกลางทางก็ได้ข่าวว่าท่านถูกจับเข้าคุกหลวง! ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้เคยบอกว่าคุกหลวงกับคุกปิดตายใน ‘บันทึกล้างมลทิน’ น่ากลัวเหมือนกัน ข้าจึงคิดว่าจะปล่อยท่านไว้ไม่สนใจไม่ได้ ข้าต้องไปปล้นคุก…ดังนั้นข้าจึงย้อนกลับไปที่เมืองหลวง”
เฮ่อหลันฉือ “…?” ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ
“สุดท้ายข้ายังไม่ทันถึงเมืองหลวงท่านก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ได้ยินว่ามาที่ห่วงโจว ข้าก็เลยต้องตามมาดูว่าท่านสบายดีหรือไม่” ฮวาเว่ยหลิงเช็ดหน้าสะอาดแล้วก็จัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อย “เมื่อครู่อยู่ที่ท่าเรือเจอกับชายฉกรรจ์ที่ยิ้มได้น่ากลัวมากคนหนึ่ง ข้าต่อสู้กับเขาด้วย แล้วก็ได้ยินเขาบอกว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าเลยมาหา”
เฮ่อหลันฉือเอ่ยขึ้น “อาจจะเป็นซุนหลี่กระมัง”
ฮวาเว่ยหลิงเกาศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังคิดว่าเป็นคนมาขวางทางเสียอีก”
มู่หลิงพูดด้วยรอยยิ้มจนใจเล็กน้อย “ข้าคิดจะขวางแต่ขวางไม่อยู่ อันตรายที่พวกเราพบเจอตลอดทางนี้มีมากเกินไปหน่อยจริงๆ”
ลู่อู๋โยวมองเขาด้วยแววตาน่ากลัวปราดหนึ่งแล้วพูดกับฮวาเว่ยหลิง “ข้าไม่เป็นไร ว่าแต่เจ้ามาที่นี่มีคนตามเจ้ามาหรือไม่”
“ไม่มี ข้าสลัดหลุดไปหมดแล้วจริงๆ รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่ช่างง่ายดายเช่นนี้”
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว” ลู่อู๋โยวมองไปที่มู่หลิงอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “คุณชายมู่ ขอพูดคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่”
มู่หลิงเข้าใจความหมาย ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้”
ผลปรากฏว่าเพิ่งเดินไปถึงหัวมุมบนมือของลู่อู๋โยวก็ปรากฏคมมีดออกมา ปลายมีดจ่อไปที่มู่หลิงแล้วเอ่ยถามช้าๆ
“เจ้าจงใจหาเรื่องมาใช่หรือไม่ เจ้าติดตามน้องสาวข้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
มู่หลิงชูสองมือขึ้น พูดด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ “ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าความจำเสื่อม นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก”
“ความจำเสื่อมกับเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์เป็นคนละเรื่องกัน”
มู่หลิงก้มหน้ามองปลายมีดที่เป็นประกายเยียบเย็นแล้วยื่นมือไปแตะด้ามมีดให้ห่างออกไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อช้าๆ “แต่ถ้าไม่มีแม่นางฮวา ตอนนี้ข้าอาจจะตายไปแล้ว ใต้เท้าลู่ ข้าไม่มีจุดประสงค์ร้ายจริงๆ”
อีกด้านหนึ่งเฮ่อหลันฉือมองหน้าฮวาเว่ยหลิง อยากพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยั้งไว้แล้วเอ่ยเพียง “ข้าพาเจ้าไปเปลี่ยนชุดก่อนดีหรือไม่”
ฮวาเว่ยหลิงกำลังคิดจะพยักหน้าก็ได้ยินเสียงท้องร้องขึ้นมา นางลูบท้องพลางสูดจมูกแล้วเอ่ยว่า “กลิ่นอะไรน่ะ หอมยิ่งนัก ตลอดทางนี้ไม่มีอะไรอร่อยเลย”
โจวหนิงอันเห็นลู่อู๋โยวเดินจากไปแล้วก็ฉวยโอกาสพูดว่า “ท่านแม่ เนื้อหั่นได้เท่าไรแล้ว พวกเรากินน้ำแกงโบราณกันก่อนเถอะ! ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว!”
ฮวาเว่ยหลิงได้ยินเสียงก็มองโจวหนิงอันแล้วพูดอย่างตกใจ “พี่สะใภ้ พวกท่านมี…โตถึงเพียงนี้แล้วหรือ ช้าก่อน ข้าเป็นเหมือนในบทละครที่ข้ามผ่านเวลาไปหลายปีใช่หรือไม่…”
เฮ่อหลันฉือขยี้ผมของนาง “ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ลูกที่คลอดเอง ไม่ต้องกังวล” นางมองไปทางทิศที่ลู่อู๋โยวเดินไปแล้วเอ่ยอย่างลังเล “รอเขาอีกครู่ดีหรือไม่”
อย่างไรเสียเมื่อครู่เขาก็ดูหิวแล้วเช่นกัน