ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 30
ลู่อู๋โยวหลีกเลี่ยงเรื่องที่ฮวาเว่ยหลิงถูกมู่หลิงทำให้เดือดร้อนไม่ได้ หากเขายังคิดจะอยู่ในแวดวงขุนนางต้ายงต่อไปก็ต้องทำให้ฐานะของมู่หลิงถูกต้องตามกฎหมาย
“ข้าสงสัยมากเรื่องหนึ่ง” มู่หลิงพูดว่า “ตามที่ข้าเห็น ต่อให้ใต้เท้าลู่ออกจากราชสำนักต้ายงก็สามารถทำงานใหญ่อื่นได้ เหตุใดต้องยึดติดเช่นนี้ด้วย…เจ้าถูกลดตำแหน่งย้ายมาที่นี่ กล่าวตามจริงแล้วไม่มีอำนาจใดให้พูดได้เลย ได้ยินว่าระยะนี้ถูกเจ้าเมืองดึงอำนาจไปหมดอีก เจ้าเสียแรงใจแรงกายที่นี่ อาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้”
ในคำพูดของมู่หลิงเหมือนแฝงความไม่เข้าใจจริงๆ
ลู่อู๋โยวได้ฟังแล้วก็หัวเราะ ทว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก เฮ่อหลันฉือก็ทนไม่ไหวพูดขึ้นก่อน
“ข้าก็สงสัยมากเรื่องหนึ่งเช่นกัน ข้าเคยอ่านบทความขององค์รัชทายาทไหวจิ่น เขาเป็นห่วงแผ่นดินเป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริง อยากจะทำงานหนักปกครองแผ่นดิน มีปณิธานกว้างไกล ถ้าคุณชายมู่เป็นทายาทขององค์รัชทายาทไหวจิ่นจริง จะไม่เข้าใจได้อย่างไร”
ถึงแม้คำพูดของมู่หลิงนี้อาจจะเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ลู่อู๋โยวอย่ายึดติดกับแวดวงขุนนางก็ตาม
มู่หลิงชะงักไปเล็กน้อยคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าสูญเสียความทรงจำแล้ว”
ดูเหมือนข้ออ้างนี้สามารถใช้ได้แปดร้อยรอบ
เฮ่อหลันฉือรู้สึกโกรธเล็กน้อย นางไม่คิดว่าลู่อู๋โยวกำลังทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ “คุณชายมู่ ข้าคิดว่าเป็นขุนนางไม่ได้ทำเพื่ออำนาจเท่านั้น ถ้าเจ้าคิดเพียงเท่านี้ เช่นนั้นไม่จำเป็น…”
นางกำลังกลั่นกรองว่าทำอย่างไรจึงจะไม่พูดตรงเกินไปนัก
ลู่อู๋โยวกลับกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “อาจเป็นเพราะพวกเขาแซ่เซียวไม่มีความคิดใดกระมัง องค์รัชทายาทไหวจิ่นก็คุยโวมากกว่าลงมือจริง”
มู่หลิงพูดขึ้นทันใดว่า “ก็ไม่ใช่เช่นนั้น”
ลู่อู๋โยวเลิกคิ้วพูดอย่างสบายใจ “หืม?”
“เขาอยากเป็นฮ่องเต้ที่ดี ก็แค่ตั้งใจมากเกินไป จึงได้ถูกระแวง ถูกทำร้ายจนตายก็เพราะแนวคิดไปขัดผลประโยชน์ของตระกูลใหญ่ ถ้าทำตามความคิดของเขาอาจจะทำให้ทะเลสงบไร้คลื่นลม ราษฎรไร้กังวลเรื่องกินอยู่ ใต้หล้าสงบสุขได้จริง”
ลู่อู๋โยวเอ่ยถาม “เจ้าสูญเสียความทรงจำแล้วมิใช่หรือ”
มู่หลิงพูดอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าใจไม่เต้น “เมื่อครู่เพิ่งนึกขึ้นได้”
“เช่นนั้นยังมีอะไรน่าถามอีก”
ฮวาเว่ยหลิงฟังแล้วก็กึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ นางไม่สนใจราชสำนักต้ายงเลยสักนิด ติดตามบิดามารดาอยู่ในยุทธภพตั้งแต่เด็ก บุกเหนือตะลุยใต้ดูประเพณีผู้คนไปทั่ว ระหว่างทางเห็นความอยุติธรรมก็ชักดาบเข้าช่วย แต่ก็พอจะรู้เรื่องเหล่านั้นอยู่บ้าง
นางหันหน้าไปมองมู่หลิงแล้วถามว่า “เจ้าจะได้เป็นฮ่องเต้จริงหรือ”
ตอนมู่หลิงพูดคุยกับนางน้ำเสียงก็อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว “ไม่ค่อยมั่นใจ”
ฮวาเว่ยหลิงถามต่อ “แล้วจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่”
มู่หลิงได้แต่พูดด้วยรอยยิ้มเศร้า “เรื่องนี้เจ้าทำให้ข้าลำบากใจเล็กน้อย”
ฮวาเว่ยหลิงพูดอย่างตกใจ “เจ้าอยากเป็นฮ่องเต้ทรราชหรือ!”
มู่หลิงเอ่ยอธิบาย “ข้าไม่แน่ว่าจะได้เป็นฮ่องเต้ต่างหาก”
“อ้อ” ฮวาเว่ยหลิงพยักหน้า “เช่นนั้นถ้าเป็นแล้ว เจ้าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้หรือไม่ แบบที่ไม่ทำให้ราษฎรต้องอดอยาก ตอนข้าช่วยเจ้ากลับมา อ้า เจ้าคงจำไม่ได้แล้ว ระหว่างทางเจอผู้ประสบภัยที่หิวโหยมากมาย ข้ายังซื้ออาหารแจกโจ๊กอีกด้วย ยังมีระหว่างทางที่พวกเราออกจากเมืองหลวงยังได้เห็น…ตอนนั้นเจ้าก็รู้สึกว่าน่าเวทนามากมิใช่หรือ ถึงแม้…” นางพร่ำบ่น “พวกเราดูไปแล้วเหมือนหนีตายเช่นกัน”
มู่หลิงพูดอย่างเงียบๆ ว่า “นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น…”
ฮวาเว่ยหลิงยิ้มจนเห็นลักยิ้มเล็กน้อยพูดว่า “เรื่องอยู่ที่คนทำ เจ้าลองพยายามดู เจ้าดูสิ บทละครร้ายกาจเพียงนั้นเจ้ายังเขียนได้เลย…”
มู่หลิง “…”
นี่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ลู่อู๋โยวตบไหล่มู่หลิงทีหนึ่งเป็นการกลบเกลื่อน “ฟ้ามืดเกินไปแล้ว กลับไปนอนเถอะ คุณชายมู่เจ้าใคร่ครวญให้ดี ข้าจะคอยระวังความเคลื่อนไหวขององครักษ์เสื้อแพรในห่วงโจวคนอื่น ก่อนที่พวกเขาจะพบเจ้า ทางที่ดีเจ้าควรให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้า”
กำจัดคนกลุ่มนี้ทิ้งก็ยากมากพอแล้ว เขาเองก็ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรูกับต้ายงจริงๆ
เฮ่อหลันฉืออ้าปากหาวเช่นกัน ตบศีรษะของฮวาเว่ยหลิงเบาๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าก็รีบนอนได้แล้ว”
ระหว่างทางกลับ กลางดึกไร้ผู้คน
เฮ่อหลันฉือจึงกล้าพูดเสียงเบาว่า “เจ้าจริงจังอย่างนั้นหรือ”
ลู่อู๋โยวเอ่ยตอบ “อย่างไรก็ต้องยุให้เขาฟื้นคืนฐานะก่อน กว่าจะถึงตอนที่เขาถูกจับตัวก็ยังมีเวลาอีกสักพัก ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เซียวไหวจั๋วคงแค่เพียงส่งคนไล่ฆ่าเขาเป็นนิสัย ที่อีกฝ่ายกลัดกลุ้มยิ่งกว่าน่าจะเป็นเรื่องการสืบทอดบัลลังก์ของรัชทายาท”
เฮ่อหลันฉือครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยถาม “แล้วมีความเป็นไปได้หรือไม่”
“ยกทัพก่อกบฏอย่าคิดเลย ต่อให้องค์รัชทายาทไหวจิ่นมีอำนาจบารมีในกองทัพ ตอนที่บันทึกประวัติศาสตร์เซวียนฮ่องเต้ข้าจำได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าขององค์รัชทายาทไหวจิ่นมีบางคนเป็นแม่ทัพชายแดนที่ห่วงโจวนี้…ถ้าเริ่มต่อสู้กันต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายรุนแรงมาก และความขัดแย้งภายในต้ายงรังแต่จะทำให้เป่ยตี๋ได้ประโยชน์ไปเท่านั้น แม้จะได้ข่าวว่าองค์ชายหลายคนของเป่ยตี๋ตอนนี้ก่อเรื่องวุ่นวายมากเช่นกัน แต่ก็บอกได้ไม่แน่นอนว่าจะบุกมาเมื่อไร” ลู่อู๋โยวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เดินเส้นทางบีบให้สละราชบัลลังก์นั้นไม่แน่ว่าอาจจะมีหวังอยู่บ้าง ดูว่าเซียวหนานสวินกับเซียวหนานป๋อจะสู้กันจนตายไปทั้งสองฝ่ายได้หรือไม่ แล้วค่อยรอตักตวงผลประโยชน์ เซียวไหวจั๋วก็อาศัยสิ่งนี้ขึ้นตำแหน่งมิใช่หรือ อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องสกุลเซียวของพวกเขา ขุนนางราชสำนักไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรก อาศัยชื่อเสียงขององค์รัชทายาทไหวจิ่น ไม่แน่ว่ายังมีคนสนับสนุน เรื่องอื่นไม่พูด สวีเก๋อเหล่าก่อนหน้านี้ก็เคยบรรยายตำราแก่องค์รัชทายาทไหวจิ่นมาก่อน”
“ยังมีองค์ชายองค์อื่นอีกมิใช่หรือ แต่ถ้าทุกคนยังเด็กอยู่ เรื่องนั้นก็…”
เห็นนางตั้งใจใคร่ครวญ ลู่อู๋โยวจึงขยับเข้าไปเล็กน้อย จับผมปอยหนึ่งของนางมาพันนิ้วมือเล่น “เจ้าคิดจะมองดูเขาขึ้นตำแหน่งจริงหรือ”
นางมาอย่างเร่งรีบ ผมเผ้าไม่ได้เกล้ามวยดี เพียงแค่มัดอย่างเรียบง่ายไว้หลังศีรษะ
Comments
