ทว่าในใจนั้นยังคงประหลาดใจอยู่บ้าง เนื่องจากเมื่อครู่เขาได้ยินการดีดไล่เสียงอยู่จุดหนึ่ง
เพลงนี้ตรงจุดนี้เดิมไม่มีการไล่เสียง เป็นเขาเพิ่มเข้าไปเอง เสียงพิณของคนผู้นี้คล้ายกับข้าก็ช่างเถอะ แต่ไฉนจุดการไล่เสียงนี้ก็ยัง…
ในสมองเขาอดจะมีภาพหลังแบบบางที่ได้เห็นเมื่อสองวันก่อนปรากฏขึ้นมาไม่ได้ ในใจแอบคิดกับตนเอง ไม่รู้ว่าแม่นางผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่ บางทีอาจต้องลองถามดู
เดิมทีเขาไม่มีความสนใจต่อหญิงสาวผู้นั้นสักนิด คิดเพียงว่าแม่นางผู้นี้ให้ขึ้นเรือมา ยินดีพาเขาติดไปเมืองหลวงด้วย แม้นางจะยังไม่ยอมรับค่าเรือจากเขา แต่รอให้ถึงเมืองหลวง หลังลงเรือแล้ว เขาจะจ่ายค่าเรือให้อีกเป็นเท่าตัว ทว่าตอนนี้เขาพลันอยากรู้บ้างแล้วว่านางเป็นผู้ใด
ในใจเขากำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ กลับได้ยินฉีหมิงพูดกระซิบรัวเร็ว “คุณชาย ท่านรีบดูด้านหน้าสิขอรับ”
หลี่ซิวเหยาเงยหน้ามองไป
เห็นผิวแม่น้ำกว้างใหญ่ถูกสายลมราตรีพัดจนเกิดริ้วคลื่นสุดลูกหูลูกตา ทว่าตลอดแนวพงอ้อเหี่ยวเฉาสองฝั่งกลับมีเรือเล็กโผล่ออกมาราวสามสิบสี่สิบลำ
บนเรือเล็กแต่ละลำมีคนอยู่สี่ห้าคน สองคนพายเรือ ที่เหลือล้วนจับอาวุธ แสงจันทร์กระจ่างส่องลงบนอาวุธเหล่านี้เกิดเป็นแสงแยงตา
หลี่ซิวเหยาขมวดคิ้วยาวทั้งสอง
เขารู้…นี่เป็นไปได้มากว่าจะเจอโจรสลัดเข้าแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาเป็นแม่ทัพลาดตระเวนอยู่ที่เมืองเหลียว เนื่องจากระยะก่อนเขาปราบโจรสลัดจนมีความดีความชอบ เมื่อเรื่องถูกรายงานขึ้นไป กรมขุนนางถึงได้ให้เขากลับเมืองหลวงไปรายงานตัวที่กรมทหาร ดังนั้นพอเห็นบรรดาโจรสลัดตรงหน้า ในใจเขาจึงไม่หวาดหวั่นสักนิด เพียงสั่งฉีหมิงเสียงเข้มว่า “กลับห้องไปเอาธนูข้ามา!”
ฉีหมิงเองก็เคยติดตามหลี่ซิวเหยาออกปราบโจร แต่ทุกครั้งล้วนมีทหารกองใหญ่ไปด้วย สภาพที่มีแค่เขากับหลี่ซิวเหยาเพียงสองคนบนเรือเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ในใจเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่นอยู่บ้าง ครั้นได้ยินเสียงสุขุมมั่นคงของหลี่ซิวเหยาเขาก็พยายามตั้งสติเต็มกำลัง ก่อนวิ่งฉิวกลับห้องไปหยิบธนูมา
หลี่ซิวเหยารับคันธนูมาไว้ในมือ พาดลูกธนูเข้ากับคัน น้าวสายจนคันโก่งเป็นวงเดือน จากนั้นก็ปล่อยมือ ได้ยินเพียงเสียงฟิ้วดังขึ้น ลูกธนูดอกนั้นพุ่งแหวกอากาศไปปักลงบนหัวเรือเล็กลำหน้าสุด ฝังลงเนื้อไม้หลายชุ่นขนหางยังคงสั่นไม่หยุด
คนบนเรือเล็กตกใจสะดุ้งโหยง แม้แต่ฝีพายยังลืมพาย
ครั้นแล้วก็ได้ยินหลี่ซิวเหยาพูดขึ้นเสียงดังฟังชัด “ตรงหน้านั้นเป็นผู้ใด! รีบถอยไปเสีย มิเช่นนั้นธนูในมือข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!”
เริ่มด้วยการเตือน…ขู่ขวัญก่อนก็ถือเป็นเรื่องดี ด้วยบนเรือมีสตรีอยู่จำนวนมาก หากเกิดการปะทะขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าจะพลอยทำให้พวกนางลำบาก
เวลานี้คนบนเรือเล็กกำลังมองลูกธนูที่ปักอยู่บนหัวเรือ มีคนเอ่ยไปทางชายร่างสูงใหญ่เคราเฟิ้มเต็มหน้าด้วยความลังเล “ไฉนเรือลำนี้จึงมีคนต่อสู้เป็นอยู่ด้วย หัวหน้าใหญ่ พวกเราถอยก่อนจะดีกว่า”
หัวหน้าใหญ่ผู้นั้นกลับแค่นเสียงเย็นออกจมูก มองหลี่ซิวเหยาที่เบื้องหน้า ในดวงตามีประกายเหี้ยมเกรียมวาบผ่าน พูดว่า “สองหมัดยากชนะสี่มือ ต่อให้บนเรือมีคนต่อสู้เป็นแล้วอย่างไร พวกเรามีคนตั้งมากยังต้องกลัวเขาอีกหรือ หนึ่งคนหนึ่งดาบก็เพียงพอจะสับเขาให้เละเป็นกองเนื้อแล้ว พายต่อไปข้างหน้า อย่าหยุด!”
ตอนกลางวันเขาส่งคนมาดูลาดเลาแล้ว รู้ว่าเรือลำนี้จะไปเมืองหลวง บนเรือส่วนใหญ่เป็นสตรี ทั้งยังดูเหมือนมาจากครอบครัวร่ำรวย เงินทองและสิ่งของมีค่าต้องมีไม่น้อยแน่ มิหนำซ้ำตามที่คนของเขาบอกมา แม่นางผู้นั้นก็งดงามปานเทพธิดาบนสวรรค์ แม้แต่คนงามในภาพวาดยังเทียบนางไม่ติด หัวหน้าใหญ่ผู้นี้เป็นพวกบ้าตัณหา ด้วยเหตุนี้จึงเกิดความคิดมุ่งร้ายหวังจะมาชิงทรัพย์ฉุดคน
เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่บนเรือตรงหน้ามีคนต่อสู้เป็นคนเดียวเลย ต่อให้มีเป็นสิบคน เขาก็ไม่ยอมถอยแน่นอน
เขาสะบัดดาบโค้งในมือจนเป็นประกาย ตวาดสั่งลูกน้องให้พายเรือ และตวาดสั่งบรรดาคนที่ด้านหลังให้ตามมาโดยเร็วทันที
หลี่ซิวเหยาเห็นว่าการขู่ขวัญของตนไม่ทำให้คนเหล่านี้ล่าถอย ซ้ำตอนนี้เขาก็แน่ใจแล้วว่าคนเหล่านี้เป็นโจรสลัดจริงๆ โดยมิต้องสงสัย จึงไม่ยั้งมืออีก
เขาเอื้อมมือไปหยิบลูกธนูจากในกระบอกมาทีเดียวสามดอก พาดกับคันธนูแล้วปล่อยออกไปพร้อมกันทีเดียว บนเรือลำหน้าสุดมีคนล้มลงสามคนทันควัน