เสิ่นหยวนพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ท้องฟ้านอกหน้าต่างยังคงสลัว นางได้ยินเสียงลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดกระโชก รวมถึงเสียงฝนกระทบเปาะแปะบนประทุนเรือ
ในห้องพักเงียบกริบ ไฉ่เวยผู้เป็นสาวใช้กำลังหลับอยู่บนพื้นกระดาน ระหว่างสะลึมสะลือได้ยินเสียงเสิ่นหยวนลุกขึ้นนั่ง นางก็สะดุ้งตื่น ลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามทันที “คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนตอบรับในลำคอเบาๆ คำหนึ่งแล้วถามนางว่า “ตอนนี้ยามใดแล้ว”
ไฉ่เวยมองเทียนที่จุดไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวเล็กแวบหนึ่งก่อนตอบ “เพิ่งจะเข้ายามอิ๋น เจ้าค่ะ คุณหนูนอนต่ออีกหน่อยเถิด”
เสิ่นหยวนพยักหน้า เอนตัวนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
ทว่าผ่านความฝันเมื่อครู่นี้มา ยามนี้นางได้หายง่วงแล้ว จึงเพียงนอนอยู่บนเตียง ฟังเสียงฝนที่ดังเปาะแปะอยู่ด้านนอกพลางคิดเรื่องในใจ
ถ้าพูดออกมาเกรงว่าผู้อื่นคงได้คิดว่านางเป็นภูตผีปีศาจ หากแต่ตัวนางเองรู้ดี นางเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งจริงๆ และตอนนี้หากว่ากันจริงๆ ควรต้องนับเป็นชาติที่สองของนางกระมัง
นางเป็นบุตรสาวคนโตสายตรงของสกุลเสิ่น บรรพบุรุษก็เคยครองบรรดาศักดิ์โหว เพียงแต่สืบทอดแค่สามรุ่น คนรุ่นหลังส่วนใหญ่ได้ดีจากการสอบขุนนาง เดิมทีนับเป็นตระกูลบัณฑิตเช่นกัน ทว่านับแต่รุ่นทวดลงมากลับมีเพียงบิดาของนางที่สอบขุนนางได้
ตอนนี้บิดามีตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกองงานไท่ฉางแล้ว และท่านตาของนางยิ่งไต่เต้าไปได้ถึงตำแหน่งรองผู้ตรวจการฝ่ายซ้าย หลังจากนั้นก็เกษียณกลับบ้านเกิด ซ้ำนางยังมีท่านป้าที่กินตำแหน่งเสียนเฟย อยู่ในวังอีกคน
เสิ่นหยวนลอบถอนหายใจเงียบๆ
นางถูกมารดาประคบประหงมตามอกตามใจมาตั้งแต่เล็กจนโต เดิมควรมีอนาคตดีงามปานโรยด้วยบุปผชาติ ทว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนางมีใจรักในตัวหลี่ซิวหยวน ไม่คำนึงถึงเรื่องที่สตรีพึงรักนวลสงวนตัว ทั้งเขียนจดหมายให้เขา ทั้งมอบถุงหอมให้เขา สุดท้ายเรื่องเหล่านี้ไม่รู้ถูกบิดาทราบเข้าได้อย่างไร บิดาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของบุตรสาวอย่างที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร รู้สึกว่านางทำเช่นนี้ทำให้เขาขายหน้ายิ่งนัก ด้วยอารามโกรธจัดจึงจะส่งนางไปปฏิบัติธรรมที่สำนักชี ท้ายที่สุดมารดาต้องร้องไห้คุกเข่าขอร้องอยู่เป็นนาน บิดาถึงตอบตกลงตามข้อเสนอของมารดาว่าจะส่งนางไปอยู่ที่บ้านท่านตาสักพักหนึ่ง
วันถัดมามารดาส่งนางขึ้นเรือไปฉางโจวทั้งน้ำตาอาบหน้า กำชับกำชานางอย่างละเอียดเสร็จก็บอกว่ารอสักพักให้บิดาหายโกรธแล้ว จะส่งคนไปรับนางกลับมาทันที
เวลานั้นเสิ่นหยวนไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย เพียงคิดว่าแค่ไปเที่ยวเล่นบ้านท่านตาไม่กี่วันประเดี๋ยวก็กลับมาได้ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าคำกำชับของมารดาช่างน่ารำคาญเหลือเกิน
แต่นางคิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่นางได้พบหน้ามารดา
มารดาของนาง…มารดาที่รักนางปานแก้วตาดวงใจล้มป่วยสิ้นใจไปหลังนางจากเมืองหลวงได้ไม่ถึงครึ่งปี น่าแค้นใจที่ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ถึงอาการป่วยของมารดาสักนิด ซ้ำยังส่งจดหมายวิงวอนให้มารดาผลักดันเรื่องการแต่งงานของนางกับหลี่ซิวหยวนให้สำเร็จอยู่หนแล้วหนเล่า
ถึงแม้นางจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในชาตินี้ แต่ก็กลับมาในช่วงที่นางมาถึงบ้านท่านตาที่ฉางโจวและมารดาสิ้นใจไปแล้ว
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้นางล้วนไม่ได้พบหน้ามารดาเป็นครั้งสุดท้าย
เสิ่นหยวนคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกขอบตาร้อนผ่าว หัวใจคล้ายมีมีดคมกริบกำลังกรีดอยู่ตลอด เจ็บจนนางแทบจะหายใจไม่ออก
นางพยายามตั้งสติ ก่อนพลิกตัวนอนตะแคง เสียงเสื้อผ้าเสียดสีสวบสาบได้ยินชัดเป็นพิเศษในราตรีอันเงียบสงัด
ไฉ่เวยเพิ่งจะเริ่มเคลิ้มหลับ กลับถูกทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก
“คุณหนู” นางเรียกเสิ่นหยวนเสียงเบา “ท่านหลับหรือยังเจ้าคะ”
เสิ่นหยวนลืมสองตาขึ้นยิ้มให้นาง “ยัง ข้ากระหายน้ำอยู่บ้าง เจ้ารินน้ำมาให้ข้าดื่มที”
ไฉ่เวยตอบรับ รีบลุกไปหยิบกาน้ำชาดินม่วงในถังชาเก็บความร้อนที่วางอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กด้านข้างมารินน้ำ แล้วยื่นส่งมาให้ตรงหน้าเสิ่นหยวนด้วยสองมือ “คุณหนู ดื่มน้ำเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนลุกขึ้นนั่ง มือขวารับถ้วยมา ดื่มน้ำอุ่นๆ ลงไปสองอึกเสร็จก็ยื่นถ้วยคืนให้ไฉ่เวย “ตอนเช้ายังต้องเร่งเดินทาง เจ้าเองก็นอนเถอะ”