ภายใต้แสงเทียนสลัวรางไฉ่เวยมองเห็นได้ว่าใต้ดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่น่ามองของเสิ่นหยวนมีสีคล้ำจางๆ วงหนึ่ง สีหน้าก็ซีดเซียวอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นผลจากการไม่ได้พักผ่อนให้เต็มที่
ในใจไฉ่เวยรู้ดีว่าคุณหนูไม่ชินกับการนั่งเรือ ซ้ำหลังจากพวกนางขึ้นเรือที่ท่าเรือฉางโจวก็อยู่บนเรือมาสิบวันแล้ว เป็นธรรมดาที่คุณหนูจะรู้สึกไม่สบาย
ทว่าคุณหนูที่เดิมเป็นคนบอบบางรักสบายเพียงนั้น ในสิบวันนี้กลับไม่เคยได้ยินนางปริปากบ่นสักคำ และไม่เคยเห็นนางพาลโกรธใครเหมือนในสมัยก่อนที่เวลาไม่พอใจก็จะหาข้ออ้างมาระบายอารมณ์ลงกับบ่าวไพร่
ตลอดหลายเดือนมานี้คุณหนูเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ไฉ่เวยทอดถอนใจ ก่อนจะรีบยื่นสองมือไปรับถ้วยแล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่กี่วันมานี้เรือล้วนแล่นตามลม เรือของพวกเราแล่นได้เร็ว อีกไม่กี่ชั่วยามก็น่าจะถึงเมืองเหลียวในซานตง พอเรือผ่านเมืองเหลียว คำนวณระยะทางดู อีกห้าวันก็น่าจะถึงเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ”
เสิ่นหยวนพยักหน้า เอนตัวนอนลงบนเตียง หลับตาลง
ทว่าสิ่งที่ว้าวุ่นอยู่ในสมองล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชาติก่อนเหล่านั้น ประเดี๋ยวเป็นภาพบิดาบริภาษนางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดว่า ‘ข้าไม่มีบุตรสาวที่ไร้ยางอายเช่นเจ้า!’ ประเดี๋ยวเป็นภาพมารดาคุกเข่ากับพื้น ร่ำไห้วิงวอนบิดาไม่ให้ส่งนางไปสำนักชี ประเดี๋ยวเป็นภาพหลี่ซิวหยวนมองนางด้วยความรังเกียจ พูดอย่างเย็นชาว่า ‘ข้าไม่เคยชอบเจ้า ผู้ที่ข้าชอบมีเพียงเจินเจินคนเดียวเสมอมา’ ประเดี๋ยวก็เป็นภาพนางตระหนกตกใจ คุกเข่าร่ำไห้กับพื้นขณะได้รู้ข่าวการตายของน้องชายและน้องสาว
ตลอดราตรีนี้มีความฝันมากมาย ทั้งยังหนักหนา เสิ่นหยวนนอนหลับไม่สบายอย่างยิ่ง ครั้นใกล้ฟ้าสางนางตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกเวียนศีรษะไปหมด
ไฉ่เวยคลุมเสื้อคลุมผ้าต่วนสีม่วงอมน้ำเงินอ่อนให้เสิ่นหยวน ประคองนางออกไปสูดอากาศที่หัวเรือ
ยามฟ้าสางเรือของพวกนางก็มาถึงเมืองเหลียวแล้ว คนคุมเรือรายงานเสิ่นหยวนผ่านประตูว่าเสบียงอาหารบนเรือหมดแล้ว ไม่แน่ว่าวันนี้อาจต้องจอดเรือที่นี่สักครึ่งวัน เขาต้องให้ลูกเรือสองคนขึ้นฝั่งไปหาซื้อเสบียง
เสิ่นหยวนอนุญาต
นางรู้ว่าเมืองเหลียวแห่งนี้เป็นแหล่งปลูกสาลี่เป็ดและพุทรากรอบชั้นดี เป็ดตุ๋นสี่มงคลก็โด่งดังในใต้หล้าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงให้ไฉ่เวยเรียกหญิงรับใช้สูงวัยนางหนึ่งมา แล้วยื่นเงินไปก้อนหนึ่ง ให้อีกฝ่ายลงเรือไปซื้อสาลี่เป็ดและพุทรากรอบ รวมถึงเป็ดตุ๋นสี่มงคลมาอีกสองสามตัว
หญิงรับใช้สูงวัยรับเงินแล้วก็ถอยออกไปอย่างเคารพนบนอบ เสิ่นหยวนยืนอยู่ที่หัวเรือ มองอีกฝ่ายเหยียบไม้กระดานลงจากเรือไป
บนฝั่งไร้ผู้คน มีต้นหลิวปลูกอยู่ไม่กี่ต้น ทว่ายามนี้เป็นช่วงที่อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใบหลิวจึงครึ่งเขียวครึ่งเหลือง ดูไปมีแต่ความเหี่ยวเฉา ปราศจากความมีชีวิตชีวาเฉกเช่นฤดูคิมหันต์ ยังมีต้นเฟิงขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่ใบเป็นสีแดงก่ำดุจอัคคีหลังต้องน้ำค้างแข็งฤดูสารท
เสิ่นหยวนยืนอยู่ที่หัวเรือได้ครู่หนึ่ง มองเห็นด้านข้างมีสตรีที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าโพกศีรษะไว้กำลังพายเรือเล็กร้องขายกระจับสดและรากบัวอยู่ นางคิดได้ว่าฉางหมัวมัวชอบกินกระจับกรอบๆ นี้เป็นที่สุด จึงให้ไฉ่เวยเรียกสตรีนางนั้น ให้พายเรือเล็กมาใกล้ๆ เพื่อจะซื้อกระจับสด
ไฉ่เวยรับคำแล้วกวักมือเรียกสตรีนางนั้นมา ก้มตัวลงบอกอีกฝ่ายเรื่องต้องการซื้อกระจับ สตรีนางนั้นตอบรับคำหนึ่งด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ก่อนเอื้อมมือไปหยิบตาชั่งที่วางอยู่ข้างเท้ามาชั่งกระจับ
ที่ผ่านมาเสิ่นหยวนไม่เคยเห็นตาชั่งมาก่อน ให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ จึงก้าวสองก้าวไปดูใกล้ๆ
ทว่าเวลานี้นางกลับได้ยินคนตะโกนขึ้นจากทางด้านหลัง “คนคุมเรือ! คนคุมเรือ! ไม่ทราบว่าเรือลำนี้ของเจ้าจะไปเมืองหลวงใช่หรือไม่”
เสิ่นหยวนหันหน้ากลับไปมอง เห็นคนท่าทางเหมือนผู้ติดตามคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นเฟิงตะโกนพูดกับคนคุมเรือตรงริมฝั่ง และที่ด้านข้างเขามีอีกคนหนึ่งยืนอยู่
บนตัวคนผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมสีเขียวคราม รูปโฉมหล่อเหลาผึ่งผาย ทว่าสีหน้าแววตากลับเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แม้แต่ใบเฟิงสีแดงก่ำปานอัคคีเหนือศีรษะเขาก็ยังข่มกลิ่นอายเย็นชาทั่วร่างเขาไม่ได้
เสิ่นหยวนตกใจยิ่งยวด
นางจำคนผู้นี้ได้
หลี่ซิวเหยา บุตรชายคนโตสายรองสกุลหลี่ พี่ชายของสามีในชาติก่อนของนาง ต่อมาภายหลังได้ช่วยสนับสนุนให้หลานชายเยาว์วัยของตนเองได้ขึ้นบัลลังก์ กลายเป็นพระญาติผู้มีอำนาจอันเปี่ยมล้นในพระราชสำนัก
ในใจเสิ่นหยวนยังคงตระหนกไม่คลาย คนคุมเรือที่กำลังง่วนกับการตวงข้าวทำอาหารกลับยืดตัวขึ้นมาพูดกับผู้ติดตามคนนั้น “เป็นเรือที่จะไปเมืองหลวง มีอะไรหรือ”
เสียงของผู้ติดตามคนนั้นดังกังวาน “ข้ากับคุณชายของข้าต้องการไปเมืองหลวง ขอติดเรือไปด้วยได้หรือไม่ เรื่องค่าจ้างมาคุยกันได้”
คนคุมเรือมองมาทางเสิ่นหยวนแวบหนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้คนผู้นั้น “เรือของข้ามีคนเหมาแล้ว ไม่สะดวกจะรับคนไปอีก น้องชายลองไปถามที่อื่นดูเถิด”