จากเรื่องที่จะสร้างความประหลาดใจจนกลายเป็นจับชู้ได้ฉากนี้ ในที่สุดก็บานปลายไปถึงเบื้องหน้าหลิ่วเมิ่งถังผู้เป็นประมุขสกุลหลิ่ว
เรื่องอัปยศในเรือนเยี่ยงนี้ แม้แต่ใต้เท้าราชบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลินก็ไม่สะดวกจะออกหน้าด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นซั่งอวิ๋นเทียนบุตรเขยของเขาในตอนนี้ก็เป็นใหญ่ในกรมขุนนาง เสมือนแขนซ้ายขวาของฮ่องเต้ เขาจึงต้องไว้หน้าบุตรเขยบ้าง
ด้วยเหตุนี้เมื่อใต้เท้าหลิ่วปิดประตูห้องหารือกับเหยาซื่อฮูหยินของตนเสร็จ จึงให้เหยาซื่อในฐานะมารดาเป็นผู้เจรจากับฉยงเหนียง
เหยาซื่อที่ไม่มีรอยยิ้มของมารดาผู้เปี่ยมเมตตาให้กับฉยงเหนียงอีกเลยนับแต่พบว่าอุ้มบุตรสาวมาผิดคน คราวนี้กลับดูอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก นางประดับยิ้มบนใบหน้าก่อนจะจูงฉยงเหนียงมาถึงริมหน้าต่างฉลุลายที่อยู่ทิศตะวันตกของห้องชั้นใน จากนั้นยื่นส่งถ้วยน้ำชาร้อนๆ ไปให้พลางกล่าว “ผิงเอ๋อร์เติบโตมาในตลาด ถึงอย่างไรก็บกพร่องธรรมเนียม เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้นางทำตามอำเภอใจโดยไม่ปรึกษาพวกเราพ่อแม่ได้อย่างไรกัน หากบอกออกมาแต่เนิ่นๆ เจ้าที่เป็นพี่สาวมีหรือจะไม่เข้าอกเข้าใจและอภัยให้นาง”
ถ้อยคำเกริ่นนำนี้ทำให้หัวใจของฉยงเหนียงดิ่งฮวบลงไม่หยุดยั้ง
เหยาซื่อเอ่ยปากต่อดังคาด “เพียงแต่…จะให้ผิงเอ๋อร์น้องสาวเจ้าเป็นอนุ พ่อกับแม่ก็ทำใจไม่ได้จริงๆ เดิมทีพวกเราคัดเลือกชายหนุ่มรูปงามมากความสามารถไว้ให้นางหลายคนแล้ว ขอเพียงแต่งเข้าไปนางก็คือฮูหยินเอก ทว่าที่ผ่านมาน้องสาวเจ้าล้วนไม่ยอมตกลงปลงใจ ในเมื่อสองคนนั้น…มาถึงขั้นนี้แล้ว ในใจเจ้าก็อย่าได้เคืองแค้นนางเลย ตอนนี้อวิ๋นเทียนเด็กคนนั้นเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ในเรือนจะปล่อยให้ว่างโหวงเรื่อยไปได้อย่างไรกัน หากนางแต่งเข้าไปอยู่ในเรือนเจ้า พ่อกับแม่กลับจะวางใจได้ยิ่งขึ้น อย่างไรเสียก็มีเจ้าคอยดูแลข้อบกพร่องของนาง นางเองก็สามารถช่วยเสริมในสิ่งที่เจ้าขาด เอ๋อหวงกับหนี่ว์อิงร่วมปรนนิบัติหนึ่งสามี* ก็นับเป็นเรื่องที่ดีงาม…ต่อให้นางแต่งเข้าไปแล้วมีฐานะเป็นภรรยาอีกคนเทียบเท่าเจ้า แต่นางไม่อาจให้กำเนิดบุตรก็ย่อมไม่ทำให้เจ้าลำบากนักมิใช่หรือ”
ถัดจากนั้นเหยาซื่อพูดอะไรอีกบ้างฉยงเหนียงล้วนฟังไม่รู้เรื่องแล้ว เดิมทีนางนึกว่าเหยาซื่อต้องไม่เห็นพ้องเรื่องตบแต่งชุยผิงเอ๋อร์บุตรสาวแท้ๆ ที่รักถนอมมาตลอดเป็นอนุ นางไม่ทันได้คาดคิดเลยว่าที่แท้เหยาซื่อตั้งใจจะให้ชุยผิงเอ๋อร์ขึ้นเกี้ยวเข้าจวนสกุลซั่งในฐานะภรรยาอีกคน
ในใจฉยงเหนียงแสนเศร้าสลด ทว่าเมื่อมองดูเหยาซื่อผู้ที่ตนเคารพเป็นมารดาแท้ๆ เสมอมา ความทุกข์ระทมนับพันหมื่นกลับไม่อาจจะระบายออก เพียงพูดได้ประโยคเดียวว่า “ท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร…ลูกไม่ยินยอม!”
เหยาซื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปจนสิ้น เพียงกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ผิงเอ๋อร์ได้รับความทุกข์ยากตั้งมากเพียงนั้น ใช่ว่าเจ้าไม่รู้! หากมิใช่สามีภรรยาสกุลชุยติดค้างนาง ไม่ดูแลนางให้ดี นางจะถึงกับถูกหลางอ๋องนั่นเอาตัวไปหรือ แต่พวกเราเคยตำหนิพ่อแม่บังเกิดเกล้าของเจ้าเมื่อไรกัน พวกเรารู้ว่าเจ้าถูกประคบประหงมมาแต่เล็ก ไม่มีทางจะกลับเข้าครอบครัวพ่อค้าชาวบ้านได้เด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่เคยเรียกให้เจ้าไปจากสกุลหลิ่ว ทั้งปฏิบัติกับเจ้าเสมือนลูกในไส้ สินเจ้าสาวกับสาวใช้ที่จัดเตรียมให้เจ้าในตอนนั้นมีสิ่งใดบ้างที่ไม่สมฐานะ เจ้ายังมีสิ่งใดไม่พอใจอีก!”
ฉยงเหนียงฟังมาถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขวับ จับจ้องเหยาซื่อตรงๆ พลางกล่าว “ท่านแม่ ลูกได้ยินคำสั่งเสียก่อนตายของแม่นมอิ่นผู้นั้นแล้ว เดิมทีใช่ว่าสกุลชุยอยากจะรับโชควาสนาเช่นนี้จากสกุลหลิ่ว…”
เหยาซื่อพลันถูกเปิดโปงรอยด่างดวงในอดีตจึงอึกอักอยู่บ้าง ทว่าไม่ช้าก็สงบสติตีหน้าขรึมโต้กลับไป “ตอนนี้ไม่อยากจะรับก็คงไม่ได้แล้ว…ชุยฉวนเป่าพี่ชายร่วมสายเลือดของเจ้าคนนั้นไม่รักดี ตีน้องชายภรรยาจนอาการสาหัสสุดจะยื้อชีวิตได้ บัดนี้ถูกจับขังคุกแล้ว คนสกุลชุยก็ช่างไร้ยางอาย แอบไปขอร้องทางผิงเอ๋อร์ ผิงเอ๋อร์ใจกว้างมีเมตตาจึงมาขอร้องให้พ่อของพวกเจ้าออกหน้าไกล่เกลี่ย นับดูแล้วถือว่านางไม่ผิดต่อสกุลชุยเลย แต่เจ้าเล่าจะไม่ยอมรับนางเยี่ยงนี้หรือ พ่อของพวกเจ้าหารือกับอวิ๋นเทียนและแม่ของเขาแล้ว แม่ของเขาชื่นชอบผิงเอ๋อร์มาแต่ไหนแต่ไร อวิ๋นเทียนเองก็บอกว่าหากเจ้ายินยอมก็จะยกผิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นภรรยาอีกคน”