บทที่สิบ
วันรุ่งขึ้นฉยงเหนียงตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากตักน้ำมาล้างหน้าหวีผมแล้ว นางก็เปลี่ยนสวมชุดกระโปรงที่เลือกออกมาเมื่อวาน ยังดีชุดกระโปรงที่ฉู่เสียมอบมาล้วนเป็นสีสันที่ไม่ฉูดฉาด ไม่มีลวดลายหลากสีละลานตาที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวง
เมื่อคืนหลังจากลองสวมชุดกระโปรงแพรระบายจีบสีเขียวถั่วลันเตาตัวหนึ่ง ฉยงเหนียงก็หยิบเข็มกับด้ายมาเย็บแก้แขนเสื้อกับช่วงเอว ทำให้ชุดกระโปรงตัวนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเข้ารูปงามสง่าขึ้นมาก
เดิมทีฉยงเหนียงก็เป็นคนที่รักสวยรักงามอย่างยิ่ง เพียงแต่หลังจากเกิดใหม่ไม่มีโอกาสได้สวมชุดกระโปรงที่งดงามเลย กระทั่งมีโอกาสวันนี้นางจึงอดไม่ได้ที่อยากจะแต่งตัวสักหน่อย ทว่านึกถึงฐานะของตนในปัจจุบัน อย่างไรเสียก็ยังคงต้องเบามือสักนิด
เมื่อมุ่นมวยสูงทรงเมฆาให้ตนเองดูสวยอยู่สักพัก นางก็รื้อออกแล้วหวีเป็นมวยอันเรียบง่ายอยู่หลังศีรษะ เพียงใส่ความคิดกับลูกผมตรงหน้าผากและริมจอน โดยถักเป็นเปียที่เล็กละเอียดหลายเส้นก่อนรวบเกล้าไปกับมวยผม ทำให้หน้าผากแลดูหมดจดสะอาดตา ลายเส้นของรูปหน้าก็ยิ่งงามละมุนละไม
สำหรับเครื่องประดับ ฉยงเหนียงเลือกเพียงปิ่นดอกอิงหนึ่งอัน กระทั่งต่างหูก็ไม่ใส่ แป้งชาดก็ไม่ได้ใช้ พอสะพายหีบใบเล็กที่ใส่แท่งหมึกกับพู่กันแล้ว นางก็ออกจากประตูมาด้วยรูปโฉมที่ดูสดใสอ่อนวัย
เนื่องจากวันนี้คือเทศกาลซั่งซื่อ ตามธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าหยวนแล้ว เชื้อพระวงศ์กับบุตรหลานของชนชั้นสูงที่ยังไม่แต่งงานล้วนเข้าวังร่วมฉลองเทศกาลได้
อย่างไรเสียสตรีชั้นสูงในวัยปักปิ่นเหล่านี้ต่างก็ต้องหาบุรุษที่เหมาะสมมาหมั้นหมาย หากสองฝ่ายฉวยโอกาสใช้เทศกาลซั่งซื่อมาทำความรู้จักกัน ได้เห็นรูปโฉมและความสามารถของสตรีชั้นสูงเหล่านี้ก่อนค่อยตัดสินใจ ก็จะลดการเกิดชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่นได้
ในเมื่อเป็นงานดูตัวทางอ้อม เดิมทีฉู่เสียจึงไม่อยากจะเข้าร่วม เพียงแต่ต่อมาพลันนึกสนุกถึงได้ตอบรับคำเชิญ
แม้จะต้องเข้าเฝ้า แต่อย่างไรเสียก็มิใช่การประชุมขุนนาง จึงไม่ต้องสวมชุดพิธีการ เขาเลือกเพียงชุดยาวตัวหลวมสีขาวแกมเทาอ่อนที่ทอจากใยปอเนื้อละเอียด คลุมทับด้วยเสื้อกั๊กแพรสีเทาโดยไม่รัดสายคาดเอว เข้าคู่กับเกี้ยวหยกครอบมวยสูง
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น การแต่งกายเช่นนี้เกรงจะถูกมองว่ารุ่มร่ามมอซอเกินไป แต่โชคดีที่เขารูปกายสูงใหญ่ ทั้งคิ้วตาก็เจือความเฉยเมยที่ผลักไสผู้อื่นไปไกลนับพันหลี่ จึงกลับกลายเป็นดูผ่าเผยผ่อนคลาย ไร้พันธนาการดั่งปุยเมฆที่ลอยล่อง ดุจกระเรียนในพงไพร
รอจนฉู่เสียเดินมาถึงหน้ารถม้า เหลือบไปเห็นถั่วลันเตาน้อยสีเขียวสดใสที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเมล็ดนั้นแล้ว เขาก็มุ่นคิ้วนิดๆ ก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดแต่งตัวเรียบง่ายถึงเพียงนี้เล่า”
เห็นฉู่เสียไม่พอใจ ฉยงเหนียงก็คิดว่าเขาคงรู้สึกว่านางกำลังเปิดโปงค่าตัวห้าเฉียนของตนเองอยู่ “ถ้าอย่างไร…ข้าน้อยจะกลับไปประดับปิ่นเพิ่มอีกสักหน่อย”
ฉู่เสียชำเลืองมองนางขึ้นลงอีกปราดหนึ่ง เขามิอาจไม่ยอมรับ ต่อให้ไม่ประดับปิ่น ไม่ทาแป้งแต้มชาด แม่นางน้อยผู้นี้ก็งดงามจนทำให้ผู้อื่นไม่อาจละสายตาแล้ว ดังนั้นเขาจึงขึ้นรถม้าพลางตอบ “ไม่ต้องหรอก รีบขึ้นรถม้าเตรียมตัวเข้าวังเถอะ”
ฉยงเหนียงผงกศีรษะ รีบไปขึ้นรถม้าคันเล็กที่อยู่ด้านหลังรถม้าของฉู่เสีย แล้วมองผ่านม่านรถไปยังถนนอันคุ้นเคย
ชาติก่อนนางเคยผ่านถนนเส้นนี้นับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ทุกครั้งที่มุ่งหน้าไปล้วนไม่มีแก่ใจจะชมดูทัศนียภาพนอกหน้าต่าง หัวใจทั้งดวงคิดถึงแต่หัวข้อต้องห้ามและขอบเขตที่จะสนทนากับผู้อื่นตอนเข้าวัง
ทว่าตอนนี้นางกลับสามารถชื่นชมภาพอันครึกครื้นบนท้องถนนด้วยหัวใจที่ไร้ภาระแล้ว