เนื่องจากเป็นวันเทศกาลซั่งซื่อ ทั่วถนนจึงเต็มไปด้วยหญิงสาววัยกำดัดละลานตา พวกนางต่างถือโคมสีสดปลิวไสว ศีรษะเสียบดอกไม้แซมผม เพียงแต่หญิงสาวเหล่านั้นล้วนมีบิดามารดาเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง ผิดกับนางที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดถึงจะได้กลับไปอยู่ข้างกายบุพการีอีกครั้ง…
รอจนเข้าสู่ประตูวังหลวง ฉยงเหนียงก็ลงจากรถม้า เดินติดตามข้างกายฉู่เสียในฐานะสาวใช้ประจำตัวเขา โดยมีคนในวังเป็นผู้นำทางไปจนถึงตำหนักจื่อซวินที่อยู่ติดกับอุทยานไม้ดอก
พอเข้าไปในตำหนักจื่อซวิน สายตาก็เห็นแต่ผู้คนในอาภรณ์หรูหราประดับเกี้ยวทองคำบนศีรษะ นั่งแยกกันซ้ายขวา โดยชายหนุ่มรูปงามที่ยังไม่แต่งงานล้วนนั่งอยู่ในโถงตะวันออก
“ท่านอ๋อง ไฉนเพิ่งมาถึงเล่า ขาดท่านแค่คนเดียว ก็ไม่อาจเป็นงานเลี้ยงอันยอดเยี่ยมแล้ว!” คุณชายชุดม่วงร่างผอมสูงผู้หนึ่งยืนขึ้นกวักมือเรียกฉู่เสีย
ฉยงเหนียงมองตามเสียงไป คุณชายผู้เปล่งเสียงเรียกนั้นนางก็รู้จัก เขามีนามว่าหลูเจวี้ยน ตอนนี้เป็นเพียงคุณชายรองของจวนเว่ยเหวินโหว* ที่ตกต่ำอยู่บ้าง ทว่าอีกสิบปีให้หลังนั้นไม่ธรรมดาทีเดียว เขาจะเป็นถึงรองเสนาบดีกรมทหาร ในมือกุมอำนาจใหญ่ ได้คุมไพร่พลทั้งของเมืองหลวงและเมืองหลวงสำรอง ทั้งยังเป็นศัตรูของซั่งอวิ๋นเทียนในราชสำนัก
เพียงแต่ตอนนี้ในชาติก่อน นางมัวแต่คิดว่าจะแสดงฝีมือวาดภาพเช่นไร จึงไม่เคยสังเกตว่าหลูเจวี้ยนกับฉู่เสียสนิทสนมกันอย่างยิ่ง
หลูเจวี้ยนกับชายหนุ่มหลายคนนั่งอยู่ตรงมุมไกลสุดของโถงตะวันออก คนที่นั่งร่วมโต๊ะนี้นอกจากหลูเจวี้ยนซึ่งเอ่ยนามได้ ก็ยังมีองค์ชายรองหลิวเหยี่ยนอยู่ในจำนวนนั้นด้วย
หลูเจวี้ยนเรียกฉู่เสียนั่งลงแล้วยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าหลายวันมานี้ท่านอ๋องเอาแต่ฆ่าเวลาอยู่ในคฤหาสน์ที่ชานเมืองหลวง ไม่ยอมเข้าเมืองมาเลย เป็นอะไรไป หรือว่ากลัวฉากวางอำนาจที่ ‘ท่านผู้นั้น’ แสดงให้ท่านดู?”
ฉู่เสียได้พบสหายในวัยเด็ก ท่าทีเฉยเมยต่อหน้าผู้อื่นจึงลดทอนลง หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้วถึงค่อยเหยียดยกมุมปาก “มิสู้บอกว่าคนผู้นั้นกลัวข้าจะเข้าเมืองไปหาเรื่องเขามากกว่า”
หลูเจวี้ยนย่อมรู้จักพฤติกรรมบ้าบิ่นของสหายผู้นี้ จึงอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างก่อนส่งสายตาให้ “ ‘ท่านผู้นั้น’ มองท่านอยู่ตลอดเลยเชียว!”
ฉยงเหนียงอาศัยว่ายืนในตำแหน่งอันสะดวกที่ด้านหลังฉู่เสีย จึงมองตามสายตาของหลูเจวี้ยนไป เห็นรัชทายาทหลิวซีฉาบยิ้มบนใบหน้านิดๆ สายตาราวเผอิญพลิ้วมาทางนี้พอดี
พอเห็นฉู่เสียหันหน้ามา รัชทายาทก็ชูจอกอมยิ้มแฝงนัย ก่อนจะดื่มสุราในจอกจนหมด
สองฝ่ายแค่เพียงมองตอบกันโดยบังเอิญเที่ยวเดียว ฉยงเหนียงที่เป็นผู้ชมก็ใจสั่นขวัญผวาแล้ว ฉู่เสียกระทำการอุกอาจเสมอมา ทั้งสนิทสนมกับองค์ชายรองมาก ไม่แปลกเลยหากเขาจะยิ่งกลายเป็นเสี้ยนหนามที่ตำตาตำใจรัชทายาท
ตอนนี้เมื่อหวนนึกถึงอุบัติเหตุรถม้าที่ตำบลฝูหรงหนนั้น ฉยงเหนียงก็รู้สึกว่าผู้วางยาพิษม้าอาจเป็นคนที่รัชทายาทซึ่ง ‘อมยิ้มชูจอก’ ผู้นั้นส่งมา…
ข้าจะต้องรีบหาเงินให้หลุดพ้นทะเลแห่งทุกข์ หลีกลี้ให้ไกลจากโจรกบฏผู้นี้โดยเร็ว! ฉยงเหนียงปลุกเร้าตนเองในใจอีกครั้ง
ตอนนี้เองเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วของหญิงสาวก็แว่วมาจากโถงตะวันตก เหล่าตัวเอกของเทศกาลซั่งซื่อในวันนี้ต่างพากันเดินเฉิดฉายเข้ามาในชุดอาภรณ์แพรพรรณอันวิจิตร
หลูเจวี้ยนชะเง้อคอมองดูสตรีชั้นสูงวัยกำดัดเหล่านั้น สายตาสอดส่ายไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนเอ่ยอย่างผิดหวัง “ได้ยินคนแอบพูดกันว่าบุตรีภรรยาเอกสกุลหลิ่วเพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความสามารถอย่างไร้ผู้เปรียบ ไฉนข้าทอดตามองไปกลับไม่เห็นสักคนที่โดดเด่น”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ทำทีว่าเผอิญเหลือบเห็นเงาร่างสีเขียวถั่วลันเตาที่อยู่ด้านหลังของฉู่เสีย “ทว่า…ท่านอ๋องกลับไม่ต้องกลุ้มใจแล้ว คนงามนี้เสาะหามาจากที่ใดกันนี่”
คิ้วตาของฉยงเหนียงไม่ได้ช้อนขึ้น เพียงรู้สึกว่าคนประเภทเดียวกันถึงมารวมกลุ่มกันได้ ที่แท้ว่าที่รองเสนาบดีกรมทหารผู้นี้ในวัยหนุ่มก็ไม่สำรวมวาจาเช่นกัน พึงรู้ว่าเขาในอีกสิบปีข้างหน้ายามพบปะนางในงานเลี้ยงทุกครั้งล้วนปฏิบัติตนเป็นสุภาพชนเสมอ
คนอื่นๆ ได้ยินหลูเจวี้ยนกล่าวเช่นนี้ก็พากันช้อนตาไปมองฉยงเหนียง ดวงตาแต่ละคู่ล้วนพลันสว่างวาบ ล้วนเห็นเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลางอ๋องรู้จักเสพสุขมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กินน้ำแกงข้นที่กลมกล่อม ลิ้มอิสตรีที่โฉมงาม ของดีหายากในใต้หล้าล้วนไปอยู่ในจวนของเขาทั้งสิ้น
ฉู่เสียหันหน้าไปเอ่ยกับฉยงเหนียงทันที “จงไปรอที่ด้านข้าง”