ด้านข้างที่เขาเอ่ยถึงก็คือระเบียงยาวข้างโถงตำหนัก สาวใช้ผู้ติดตามของเหล่าผู้สูงศักดิ์ส่วนใหญ่ล้วนคอยอยู่ที่นั่น เนื่องจากเป็นเทศกาลซั่งซื่ออันรื่นเริง ให้ความสำคัญกับบรรยากาศอันคึกคักครึกครื้น บรรดาข้ารับใช้ซึ่งคอยอยู่ที่ทางระเบียงจึงได้รับน้ำชากับลูกอมด้วย
ฉยงเหนียงรับลูกอมที่นางกำนัลแจกจ่ายให้ แล้วไปนั่งกินแกล้มน้ำชาบนเก้าอี้ยาวของทางระเบียง พอมองผ่านแนวเสาระเบียงไป นางก็เห็นหลิ่วผิงชวนยืนอยู่ด้านหลังองค์หญิงยงหยางด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
การเสริมบรรยากาศด้วยภาพวาดและบทกวีในช่วงเปิดงานเทศกาลซั่งซื่อของวังหลวงนั้นเป็นธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าหยวน หลังจากแสดงภาพวาดและโคลงกลอนแล้ว ผู้คนในโถงตะวันออกและตะวันตกก็มักจะรวมตัวกันดื่มสุราสรวลเส ถัดจากนั้นก็คือการจุดและลอยโคมดอกบัวริมแม่น้ำวั่งโยว
เพื่อให้เห็นว่าราชวงศ์มีความเที่ยงธรรม ลำดับที่จะออกมาแสดงฝีมือจึงใช้วิธีจับสลาก แม้แต่สตรีสูงศักดิ์ในราชวงศ์ก็เช่นกัน
หลิ่วผิงชวนจับสลากแล้วเห็นว่าลำดับของตนอยู่ท้ายๆ ก็พลันโล่งใจ ชาติก่อนฉยงเหนียงก็จับได้ลำดับท้ายสุด ข้อดีของการออกแสดงเป็นคนสุดท้ายก็คือทำให้ผู้คนตื่นตะลึง และกลายเป็นการแสดงปิดท้ายอันเยี่ยมยอด
พออารมณ์พลันผ่อนคลาย นางก็เงยหน้าสอดส่ายสายตาไปทั่ว จนกระทั่งเห็นเจ้าของชุดสีเขียวถั่วลันเตาที่อยู่ตรงทางระเบียง หางคิ้วจึงเชิดขึ้นนิดๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ถึงกับตกอับเพียงนี้เชียวหรือนี่
หลังจากสตรีชั้นสูงสองนางแสดงฝีมือวาดภาพจบ หลิ่วผิงชวนก็อ้างว่าจะไปปลดเบาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง รอจนเดินมาถึงทางระเบียงก็ปรายตามองฉยงเหนียงปราดหนึ่งราวไม่ตั้งใจทว่าก็คล้ายเจตนา
ผ่านไปสักพัก ยามที่นางออกมาจากห้องปลดเบาก็เห็นฉยงเหนียงยืนอยู่ไม่ไกลดังคาด
“ไยพี่สาวจึงอยู่ที่นี่ได้” หลิ่วผิงชวนเบิกตากลม ทำทีเป็นถามอย่างฉงน
ฉยงเหนียงช้อนตามองประกายมุกเต็มศีรษะของ ‘น้องสาว’ ผู้นี้ก่อนยิ้มตอบ “ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก แค่เพียงอยากเตือนน้องสาวสักหน่อย ปิ่นปักผมหากเสียบมากเกินไป คงไม่แคล้วดูสามัญราวอยู่ตามตรอกถนน”
ในเมื่อชาติก่อนสองคนเคยอยู่ร่วมกันช่วงเวลาหนึ่ง ฉยงเหนียงย่อมรู้ว่าจุดอ่อนของหลิ่วผิงชวนคือสิ่งใด
พอคำว่า ‘สามัญ’ หลุดออกจากปากก็ทำให้หลิ่วผิงชวนหน้าเปลี่ยนสีดังคาด นางจ้องฉยงเหนียงตาเขม็ง แม้อีกฝ่ายไม่ได้เขียนคิ้วผัดแป้ง แต่กลับมีความงามเฉพาะตัวไปอีกแบบหนึ่ง สองฝ่ายเปรียบกันแล้ว ปิ่นมุกเต็มศีรษะของตนแลดูจงใจพยายาม เป็นรองกว่าจริงเสียด้วย
หลิ่วผิงชวนแค้นใจที่ฉยงเหนียงข่มเหนือศีรษะตนไปเสียทุกด้าน กระทั่งตกอับเป็นข้ารับใช้แล้วก็ยังทำตัวสูงส่งเชิดรูจมูกมองคนอยู่เช่นนี้
หลิ่วผิงชวนคร้านจะเสแสร้งต่อไป จึงยกยิ้มมุมปากก่อนกล่าว “เหล่านี้คือเครื่องประดับเก่าที่เป็นสินเจ้าสาวของท่านแม่ข้า ย่อมไม่มีราศีตลอดร่างเฉกเช่นของพี่สาว ได้ยินว่าหลางอ๋องมือเติบกับหญิงงามยิ่งกว่าเรื่องใด ยามนี้ดูแล้วมิใช่คำเท็จเลย เพียงไม่รู้ว่าพี่สาวไปเอาอกเอาใจหลางอ๋องเช่นไรกัน เขาถึงได้ยอมพาท่านเข้าวังมาเปิดหูเปิดตาเช่นนี้”
ฉยงเหนียงถูกประชดประชันแต่กลับคลี่ยิ้มโดยไม่มีโทสะแม้สักนิด จวบจนเสียงโห่ร้องชื่นชมเป็นระลอกแว่วจากโถงตำหนักมาเข้าหู นางถึงเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ได้ยินว่าน้องสาวใช้ความสามารถสยบผู้คน ออกหนังสือรวมบทกวีไม่พอ วันนี้ยังจะตวัดพู่กันต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทด้วย หากข้าอยู่ที่ตำบลฝูหรงย่อมได้แต่นั่งเศร้าทอดถอนใจอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่คาดคิดเลยว่าหลางอ๋องจะเมตตา ยอมพาข้าเข้าวังมาเปิดหูเปิดตาด้วย ข้าย่อมต้องดูสักหน่อยว่าหากน้องสาวไม่มีผู้ตวัดพู่กันแทน ฝีมือวาดภาพจะเป็นเช่นไร”
ถึงจะรู้ว่าฉยงเหนียงพูดถากถางที่ตนขโมยบทกลอนของนาง หลิ่วผิงชวนก็ยังคลี่ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่ค่อยจริงใจก็ตามที “มีผู้โดดเด่นเช่นพี่สาวเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ก่อน น้องสาวไหนเลยจะกล้าเกียจคร้าน อีกประเดี๋ยวท่านคอยดูก็แล้วกัน รับรองว่าท่านจะต้องตื่นตะลึงแน่!”
ฉยงเหนียงมองดูสีหน้าอันคุ้นตานั้น ชาติก่อนตอนถูกจับได้คาเตียงว่าเล่นชู้กับสามีผู้อื่น อีกฝ่ายก็คลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้จักยางอายเช่นเดียวกันนี้