ตอนนั้นนางเผชิญกับความหน้าด้านหน้าทนของหลิ่วผิงชวนอย่างอับจนปัญญา แต่ครานี้นางวางใจลงได้แล้ว
ประเสริฐแท้ กลัวก็แต่ว่าน้องสาวที่แสนดีผู้นี้จะไม่ยอมเลียนแบบตามอย่าง ‘ผู้โดดเด่น’ ตอนนี้ฉยงเหนียงแน่ใจเต็มร้อยแล้วว่าคุณหนูหลิ่วผู้นี้จะใช้ลูกไม้เก่า แสดงฉากความสำเร็จของนางในชาติก่อนซ้ำอีกรอบ
หลิ่วผิงชวนพูดถ้อยคำนี้จบก็คร้านจะสนทนากับข้ารับใช้ในจวนอ๋องผู้หนึ่งให้มากความอีก จึงยกเท้าเดินกลับเข้าโถงตำหนักไป
พอเห็นหลิ่วผิงชวนกลับมา เหยาซื่อก็เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่พอใจ “เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา ถึงกับไปนานเยี่ยงนี้ พลาดการแสดงความสามารถขององค์หญิงยงหยางไปแล้ว”
ปากหลิ่วผิงชวนเอ่ยขออภัยต่อเหยาซื่อ แต่ในใจหาได้แยแสไม่ อย่าเห็นว่าตอนนี้องค์หญิงยงหยางได้รับความเอ็นดูจากจยาคังตี้เชียว เพราะอีกไม่กี่ปีอีกฝ่ายก็จะถูกหมางเมินไม่ใช่คนโปรดแล้ว องค์หญิงที่ใกล้จะสูญเสียความโปรดปรานไปยังมีอันใดน่าประจบประแจงกันเล่า
ขณะชมดูดอกเหมยเหมันต์แต้มแล้วแต้มเล่าจากการตวัดพู่กันของเหล่าสตรีชั้นสูงที่ลงสนามประชันฝีมือ ในใจหลิ่วผิงชวนก็ยิ่งมีความมั่นใจ รอจนถึงยามที่นางลงสนาม นางก็เดินไปถึงกึ่งกลางโถงตำหนักพร้อมกระโปรงยาวที่พลิ้วไหวกับท่วงท่าอันอ่อนช้อย
นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างนำกระดาษเซวียนจื่อแผ่นใหม่มาวางคลี่ให้เรียบแล้วคอยหลิ่วผิงชวนตวัดพู่กัน
เมื่อหลิ่วผิงชวนยื่นมือไปวาดกิ่งเหมยที่แข็งแรงมีพลังลงบนกระดาษหลายกิ่ง คุณชายตระกูลขุนนางผู้หนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกับหลิ่วเมิ่งถังก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชม “เพียงจรดพู่กันไม่กี่หนก็มองออกว่ามีพื้นฐานฝีมือดี กิ่งเหมยให้ความรู้สึกถึงไอหนาวของฤดูเหมันต์ และความทระนงเฉกเช่นนักปราชญ์”
หลิ่วผิงชวนกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจ หลังจากนางแต่งเติมดอกตูมหลายแต้มไว้บนกิ่งเหมยนั้น ก็รับถ้วยน้ำที่นางกำนัลด้านข้างยื่นส่งมาให้ นางอมน้ำสะอาดไว้หนึ่งคำก่อนจะพลันพ่นละอองน้ำลงบนกระดาษวาดภาพ พอหยดน้ำซึมลงไปก็กระจายตัวไปตามลายเส้นก่อนหน้านี้ ถึงกับทำให้ดอกตูมกลายเป็นเหมยเหมันต์ที่เบ่งบานดอกแล้วดอกเล่าอย่างสมจริงยิ่งนัก!
ชั่วขณะนั้นในโถงตำหนักเงียบกริบถึงขีดสุด
หลิ่วผิงชวนทางหนึ่งใช้ผ้าซับริมฝีปาก อีกทางหนึ่งใช้หางตากวาดมองโดยรอบ พบว่าเหล่าขุนนางใหญ่กับบุตรหลานชนชั้นสูงทั้งหลายล้วนเบิกตาโตจับจ้องนางอยู่ ท่าทางคล้ายกำลังตกตะลึงอย่างที่สุด
ในใจหลิ่วผิงชวนรู้ว่าต้องให้พวกเขาตั้งสติกันสักครู่หนึ่ง นางจึงถอนสายตาคืนมา ถวายพระพรอย่างเป็นธรรมชาติไปทางจยาคังตี้ที่เมื่อครู่มาชมการวาดภาพที่นี่ จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเดินกลับที่นั่งของตน
ทว่าขณะนั่งลง นางกลับพบว่าสีหน้าของเหยาซื่อผู้เป็นมารดาดูเหมือนไม่ถูกต้องนัก ผิวหน้าทั้งดวงขึงตึงราวฉาบทาด้วยแป้งเปียกอย่างไรอย่างนั้น
หลิ่วผิงชวนชำเลืองดูด้านหลังปราดหนึ่ง เห็นมีคุณหนูตระกูลขุนนางหลายคนกำลังจับกลุ่มหัวเราะเสียงเบา
“หญิงเก่งแห่งสกุลหลิ่วอันใดกัน ความคิดแค่นี้ก็ยังไม่มี ผู้อื่นขำจะตายอยู่แล้ว!”
“ก็นั่นสิ ต่อให้วิธีที่เตรียมมาซ้ำกันจริงๆ ก็ควรเลี่ยงคำครหาถึงจะถูก นี่มิใช่ตงซือเลียนมุ่นคิ้วหรือไร”
“ได้ยินว่าสกุลหลิ่วเพิ่งจะเปลี่ยนตัวกลับมา เมื่อก่อนเลี้ยงอยู่ในครอบครัวอันต่ำต้อย อย่างไรเสียก็ย่อมขาดท่าทางของคนจากตระกูลใหญ่”
แรกเริ่มหลิ่วผิงชวนฟังด้วยความงุนงง จวบจนฟังต่อไปอย่างละเอียดถึงเริ่มหน้าเปลี่ยนสีทีละนิด นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่าทีตอบสนองของทุกคนไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ!