ชาติก่อนภาพที่วาดด้วยการพ่นละอองน้ำนี้ฉยงเหนียงเคยแสดงให้นางดู แม้แต่วิธีวาดกิ่งเหมยนั้นฉยงเหนียงก็เป็นผู้สอนด้วยตนเอง หรือว่าคำเล่าลือในอดีตที่บอกว่าเรียกเสียงโห่ร้องชื่นชมได้จากคนทั้งโถงตำหนักนั้นผิดพลาด?
ตอนนี้เองจยาคังตี้ผู้นั่งเป็นสง่าอยู่บนตำแหน่งสูงก็เอ่ยปากกล่าว “หาได้ยากที่คุณหนูสกุลหลิ่วคิดไปในทางเดียวกับธิดาของเรา แม้เป็นวิธีวาดเดียวกัน ทว่าต่างก็มีจุดเด่น ใต้เท้าหลิ่วชี้แนะมาดี สมควรตกรางวัล”
รอจนสิ่งของพระราชทานส่งมาถึงตรงหน้าหลิ่วผิงชวน นางก็พบว่ารางวัลคราวนี้มิใช่สิ่งล้ำค่าทั้งสี่แห่งห้องหนังสือ ของปรมาจารย์หานขู่ที่ฉยงเหนียงได้รับในชาติก่อน ทว่าเป็นทองหยวนเป่าที่หลอมขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตกรางวัลตามปกติในวังหลวง แม้นี่ก็เป็นสิ่งล้ำค่าเช่นกัน ทว่าห่างชั้นกับของปรมาจารย์หานขู่ชนิดไม่อาจเทียบได้
หัวใจของหลิ่วผิงชวนเต้นสะดุดวูบ รีบขบคิดว่าเกิดเหตุผิดพลาดตรงที่ใดกันแน่ ถึงทำให้ผลออกมาต่างจากชาติก่อน
ยามนี้ภาพวาดขององค์หญิงยงหยางที่ได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่งก็ถูกนำออกมาแสดง หลิ่วผิงชวนย่นคิ้วพินิจมอง ค่อยพบว่าภาพขององค์หญิงยงหยางถึงกับวาดด้วยวิธีพ่นละอองน้ำเช่นกัน ทว่าดอกเหมยขององค์หญิงมีสีแก่อ่อนถี่ห่างต่างกันไป แรกเริ่มดูคล้ายวาดส่งๆ ในอึดใจเดียว ซ้ำจุ่มน้ำหมึกมากเสียจนเข้มเกินไปด้วย
แต่เมื่อถูกน้ำพร่างพรมลงไป ดอกเหมยภายใต้หยดน้ำที่กลิ้งผ่านนั้นกลับเปลี่ยนจากถี่แน่นเป็นดูกระจายตัว ดอกที่ยิ่งอยู่ไกลจากลำต้นก็ยิ่งมีสีสันที่อ่อนลง ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องภาพวาดก็ยังมองออกว่าวิธีวาดและห้วงศิลป์ของภาพนี้เหนือกว่าของหลิ่วผิงชวนไม่รู้ตั้งกี่ขั้น
ชั่วขณะนี้หลิ่วผิงชวนเพิ่งจะเข้าใจกระจ่างแจ้ง ดวงหน้าพริ้มเพราจึงพลันแดงซ่าน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว
องค์หญิงยงหยางแสดงฝีมือวาดภาพด้วยการพ่นละอองน้ำอยู่ก่อน ตนก็ยังอุตส่าห์ใช้ลูกเล่นซ้ำ ทำตัวเป็นตงซือเลียนมุ่นคิ้วอย่างที่ผู้อื่นว่าจริงๆ มิน่าเล่าแม้เมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงคลี่ยิ้มชมเชยเพื่อช่วยแก้สถานการณ์ให้ ทว่าซีกุ้ยเฟย พระมารดาขององค์หญิงยงหยางกลับยังคงมีสีหน้าหยามเหยียด…
ยามนี้ในสายตาของผู้คน หลิ่วผิงชวนผู้นี้ก็คือตัวโง่เง่าที่มีตาแต่ไร้แววโดยสิ้นเชิง! กระทั่งเหล่าคุณชายที่เพิ่งเอ่ยชมนางก็พากันเงียบเสียงไปแล้ว
ขณะอับอายระคนขุ่นแค้น หลิ่วผิงชวนอดไม่ได้ต้องขบคิดว่าที่แท้เกิดความผิดพลาดขึ้นตรงที่ใด ไฉนองค์หญิงยงหยางก็รู้จักวิธีวาดภาพด้วยการพ่นละอองน้ำที่ยอดเยี่ยมเพียงนี้
ระหว่างที่ในโถงตำหนักเกิดเหตุพลิกผันดุจพายุซัดโหม ฉยงเหนียงยังคงนั่งกินลูกอมม่ายหยาถัง แกล้มกับชาพุทราแดงอยู่บนเก้าอี้ยาวของทางระเบียงมาโดยตลอด รอจนกินลูกอมหนึ่งห่อหมดเกลี้ยง ก็พอดีเห็นเหยาซื่อพาหลิ่วผิงชวนลุกขึ้นขอตัวกลับก่อนเวลา
ดูจากประสบการณ์ของฉยงเหนียงในชาติก่อน รอจนกลับถึงจวนสกุลหลิ่วแล้ว หลิ่วผิงชวนต้องถูกดุด่าจนปวดหัวเป็นแน่ ครั้งนี้เหยาซื่อที่รักหน้าตาเสมอมาต้องอับอายต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ กลับไปแล้วมีหรือจะยอมเลิกราแต่โดยดี
เพียงแต่ผู้ที่อึดอัดขัดใจยังมีฉู่เสียอยู่อีกคน เขาดื่มสุราไปไม่กี่จอกก็หมดความอดทนกับเสียงอึกทึกในงานเลี้ยง หลังจากถวายบังคมจยาคังตี้แล้ว พอเห็นสหายสนิทหลายคนโอภาปราศรัยอยู่กับเหล่าคุณชายตระกูลขุนนาง เขาก็ฉวยจังหวะเดินออกมาจากโถงตำหนักทันที
“ไป!” ฉู่เสียโยนหนึ่งคำไปทางฉยงเหนียงแล้วออกเดินนำหน้า
ฉยงเหนียงรีบปัดๆ เศษลูกอมบนมือ ก่อนตามหลังฉู่เสียออกจากตำหนักจื่อซวิน