หลิวซื่อกำลังต้มชาบนเตาที่เรียบง่ายพลางร้องเรียกคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่คุ้นเคยกัน คนต่างถิ่นตาไม่ถึง ผิดกับคนในตำบลที่ล้วนชื่นชอบรสหวานแท้ๆ ของขนมต้นตำรับสกุลชุย ซึ่งกินแกล้มน้ำชาได้ดีที่สุด ดังนั้นแผงเล็กๆ ขนาดสามโต๊ะจึงมีลูกค้านั่งอยู่ครบทุกโต๊ะ
ตอนนี้เองหลิวซื่อเงยหน้าเห็นบุตรสาวกับบุตรชายเดินมาด้วยกัน จึงรีบเอ่ยถาม “พวกเจ้ามาทำอันใดกัน”
ฉยงเหนียงยืดคอดูขนมหลากชนิดเต็มสามถาดใหญ่บนชั้นวางที่อยู่ข้างแผง ก่อนคลี่ยิ้มตอบ “ลูกอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงมาดูว่าจะช่วยงานท่านพ่อท่านแม่ได้หรือไม่ ลูกเคยเห็นพ่อค้าแม่ขายในเมืองหลวงชอบวาดลวดลายบนขนมเพื่อเพิ่มความน่ากิน ท่านแม่ ลูกเคยเรียนวาดภาพอยู่บ้าง จึงอยากขอวาดลวดลายบนขนมเหล่านี้ ดูว่าจะดึงดูดลูกค้ามาชิมได้หรือไม่”
รอผ่านไปอีกไม่กี่วันขนมเหล่านี้ก็เสียรสชาติแล้ว สามีภรรยาสกุลชุยทำการค้ายึดถือความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง ต่อให้ขนมยังกินได้อยู่ก็จะไม่ขายให้เสียชื่อเสียงประจำตระกูลของตนเด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากบุตรสาวอยู่ว่างอยากจะวาดภาพก็ตามใจนางแล้วกัน นางจะได้ไม่ฟุ้งซ่านกลัดกลุ้มอยู่ทั้งวัน ดังนั้นหลิวซื่อจึงตอบรับในทันที
เพียงแต่รูปโฉมของฉยงเหนียงดึงดูดสายตาเกินไป เดิมทีเรื่องที่สกุลชุยแลกคืนบุตรสาวก็โจษจันจนคนรู้กันทั้งถนนแล้ว นางออกมาเผยโฉมเช่นนี้จะไม่ล่อตาล่อใจพวกเจ้าชู้เสเพลหรือ หลิวซื่อจึงรีบเรียกชุยฉวนเป่ายกขนมโก๋ถั่วเขียวหนึ่งถาดไม้ใหญ่กลับบ้านไปให้ฉยงเหนียงวาดเล่น
เมื่อสองพี่น้องกลับมาถึงบ้าน ฉยงเหนียงก็หยิบจานก้นแบนใบเล็กๆ มาละลายผงหงฉวี่ก้อนนั้น เมื่อผสมน้ำจนได้สีแก่อ่อนตามที่ต้องการแล้ว นางก็ม้วนแขนเสื้อจับพู่กันเริ่มวาด
ชุยฉวนเป่าไม่สนใจเรื่องอักษรภาพวาดเหล่านี้ จึงออกไปหาพวกพ้องที่ถนนด้านหน้าเพื่อจะไปตัดฟืนบนเขานอกตำบลด้วยกัน
รอจนเขาตัดฟืนกลับมามัดใหญ่ก็เป็นตอนเที่ยงวันแล้ว เขาแวะล้างคราบเหงื่อไคลเต็มใบหน้าที่ริมแม่น้ำด้านนอกก่อนเข้าบ้าน
หลังจากเดินเข้าลานเรือนผ่านไปใต้ร่มต้นหม่อนแล้วเหลือบเห็นขนมถาดนั้นโดยบังเอิญ เขาก็พลันตกตะลึงจนลืมขยับฝีเท้าเลยทีเดียว
บนขนมนั้นล้วนเป็นภาพบ้านเรือนบนถนนย่านการค้า ซึ่งวาดได้ละเอียดประณีตจนผู้พบเห็นต้องตาค้าง
ฉยงเหนียงเพิ่งออกมาจากห้องชั้นในก็เห็นพี่ชายยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เด็กสาวจึงเอ่ยปนยิ้ม “ข้าเสียเวลาวาดตลอดช่วงสายจนแขนหมดแรงแล้ว กลัวว่าระหว่างส่งกลับไปที่แผงจะทำถาดไม้พลิกคว่ำ จึงต้องขอรบกวนพี่ชายช่วยส่งขนมกลับไปอีกครั้ง”
ชุยฉวนเป่าตะลึงมองขนมอีกพักใหญ่จึงค่อยได้สติคืนมา จากนั้นมองพิจารณาน้องสาวแท้ๆ ของตนอย่างละเอียด…ภาพวาดแม้จะประณีต แต่ขนมก็ยังคงเป็นขนม จะขายออกได้แน่หรือ ชุยฉวนเป่านึกฉงนอยู่ในใจ
ทว่าคิดอีกที ขนมนี่ก็แค่ให้น้องสาวได้มีความสุขกับการวาด ถึงขายไม่ออกจะเป็นไรไปเล่า เขาจึงรีบม้วนแขนเสื้อแล้วยกถาดไม้นำผลงานของนางไปอวดบิดามารดาโดยไม่รอช้า
ชุยฉวนเป่าออกไปได้ไม่นาน ฉยงเหนียงก็ไปพักงีบสักครู่หนึ่ง ไม่รู้หลับไปนานเท่าใดจึงแว่วเสียงเกือกม้าอยู่ไม่ไกลจากประตูลานเรือน จากนั้นครู่เดียวก็มีคนเคาะประตูดังก๊อกๆๆ
ฉยงเหนียงลุกขึ้นจัดแต่งผม ค่อยออกจากตัวบ้าน เดินผ่านลานเรือนไปส่องร่องประตูดูเบื้องนอก นางพลันชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูออกในทันที
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสายตาคือสตรีวัยกำดัด อายุราวสิบสี่สิบห้าปีเช่นกัน เรือนผมของอีกฝ่ายมุ่นเฉียง สวมอาภรณ์หรูหรา ตัวเสื้อสีขาวแขนทิ้งชาย ช่วงเอวที่สอบเข้านิดๆ กับส่วนชายที่บานออกล้วนแตกต่างจากชุดกระโปรงที่มีขายในตอนนี้
ทว่าฉยงเหนียงเห็นแล้วคุ้นตายิ่ง เพราะนี่คือรูปแบบชุดที่ชาติก่อนนางเป็นผู้วาดขึ้นเองต่อหน้าธารกำนัลในงานเลี้ยงหนหนึ่ง ทั้งยังเชิญช่างมาตัดเย็บตามแบบที่นางคิดค้นนี้ด้วย เป็นเหตุให้เหล่าสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงพากันแต่งตัวตามนาง
หากไม่มองหน้าผู้สวมใส่ ฉยงเหนียงก็เผลอนึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือตนเองในชาติก่อน…เครื่องแต่งกายทั้งร่าง ตลอดจนเรือนผม ล้วนไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมือนตัวนางในอดีต!
นึกมาถึงตรงนี้ ความคิดพิกลอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นโดยไร้คำอธิบาย สายตาฉยงเหนียงเพ่งมองใบหน้าที่เคยรู้จักมักคุ้นกันดีนั้นแน่วนิ่งพลางเอ่ยถามเสียงเย็น “ชุยผิงเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่มีธุระอันใด”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ม.ค. 65 เวลา 12.00 น.